ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้นในกลุ่มสายการบิน อาทิ บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) , บมจ.การบินไทย (THAI), บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) และ บมจ.สายการบินนกแอร์ (NOK) ต่างปรับตัวลดลงแรงตอบรับข่าว กระทรวงการคลังขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินเป็น 4 บาทต่อลิตร จากเดิม 20 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจากการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินเมื่อวันที่ 25 ม.ค.จะกระทบกับกำไรสุทธิของหุ้นในกลุ่มสายการบินทั้งกลุ่มในปี 2560 นี้ลดลง 30% หรือราว 2.5 พันล้านบาท จากกำไรทั้งกลุ่ม 7.5 พันล้านบาท หากสายการบินไม่สามารถผลักภาระภาษีดังกล่าวไปยังผู้บริโภคผ่านการปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารได้ ซึ่งมองว่าสายการบินจะไม่สามารถผลักภาระนี้ออกไปได้ในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากได้ขายตั๋วล่วงหน้าในช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้ว
ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ลงทุนในกลุ่มสายการบินและเตรียมปรับลดเป้าราคาเหมาะสมหุ้นสายการบินลง หลังจากการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินหลายเท่าตัวในครั้งนี้ รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นจากปีที่ผ่านมา และแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่าส่งผลกระทบต่อต้นทุนการซื้อน้ำมันดิบจากต่างประเทศด้วย แม้สถานการณ์นักท่องเที่ยวของไทยจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่วนการปรับลดราคาเป้าหมายจะต้องรอความชัดเจนจากบริษัทสายการบินก่อนว่าจะมีวิธีการผลักภาระภาษีออกไปอย่างไรและจำนวนเท่าใด
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรสามิต กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอไปเมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ในการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินและจัดเก็บภาษีน้ำมันหล่อลื่น โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลไปเมื่อวันที่ 25 ม.ค. ส่งผลให้น้ำมันเครื่องบินถูกเก็บภาษีในอัตรา 4 บาทต่อลิตร จากเดิมเก็บที่ 20 สตางค์ต่อลิตร ส่วนน้ำมันหล่อลื่นถูกจัดเก็บอัตราลิตรละ 5 บาทต่อลิตรหรือกิโลกรัม จากเดิมไม่มีการจัดเก็บ
การจัดเก็บภาษีน้ำมันทั้ง 2 ชนิดดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มปีละประมาณ 8 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นจากภาษีน้ำมันเครื่องบิน 4 พันล้านบาท จากภาษีน้ำมันหล่อลื่น 4-5 พันล้านบาท เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันธุรกิจเดียวกัน
หุ้นสายการบินกอดคอกันร่วง เหตุคลังเก็บภาษีน้ำมันเพิ่ม ฟากโบรกฯหวั่นกำไรกลุ่มวูบหาย 2.5 พันล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจากการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินเมื่อวันที่ 25 ม.ค.จะกระทบกับกำไรสุทธิของหุ้นในกลุ่มสายการบินทั้งกลุ่มในปี 2560 นี้ลดลง 30% หรือราว 2.5 พันล้านบาท จากกำไรทั้งกลุ่ม 7.5 พันล้านบาท หากสายการบินไม่สามารถผลักภาระภาษีดังกล่าวไปยังผู้บริโภคผ่านการปรับขึ้นราคาตั๋วโดยสารได้ ซึ่งมองว่าสายการบินจะไม่สามารถผลักภาระนี้ออกไปได้ในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากได้ขายตั๋วล่วงหน้าในช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้ว
ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้ลงทุนในกลุ่มสายการบินและเตรียมปรับลดเป้าราคาเหมาะสมหุ้นสายการบินลง หลังจากการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินหลายเท่าตัวในครั้งนี้ รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นจากปีที่ผ่านมา และแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่าส่งผลกระทบต่อต้นทุนการซื้อน้ำมันดิบจากต่างประเทศด้วย แม้สถานการณ์นักท่องเที่ยวของไทยจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่วนการปรับลดราคาเป้าหมายจะต้องรอความชัดเจนจากบริษัทสายการบินก่อนว่าจะมีวิธีการผลักภาระภาษีออกไปอย่างไรและจำนวนเท่าใด
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรสามิต กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอไปเมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ในการปรับขึ้นภาษีน้ำมันเครื่องบินและจัดเก็บภาษีน้ำมันหล่อลื่น โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลไปเมื่อวันที่ 25 ม.ค. ส่งผลให้น้ำมันเครื่องบินถูกเก็บภาษีในอัตรา 4 บาทต่อลิตร จากเดิมเก็บที่ 20 สตางค์ต่อลิตร ส่วนน้ำมันหล่อลื่นถูกจัดเก็บอัตราลิตรละ 5 บาทต่อลิตรหรือกิโลกรัม จากเดิมไม่มีการจัดเก็บ
การจัดเก็บภาษีน้ำมันทั้ง 2 ชนิดดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มปีละประมาณ 8 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นจากภาษีน้ำมันเครื่องบิน 4 พันล้านบาท จากภาษีน้ำมันหล่อลื่น 4-5 พันล้านบาท เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันธุรกิจเดียวกัน