ถ้าเราไม่ได้ดูหนังเรื่อง Jackie เราคงคุยกับใครไม่รู้เรื่องแน่ๆ สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไฮไลท์ของหนัง ก็คือการแสดงของ Natalie Portman แต่สำหรับเราแล้ว เราสนใจในเรื่องราวและความรู้สึกของตัวละคร Jackie มากกว่า และเมื่อดูจบ เราได้สิ่งที่เราคาดหวังอย่างครบถ้วน
แต่เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่เหมาะกับทุกคนแน่ๆ หากไม่คุ้นเคยกับหนังสไตล์นี้ อาจจะเบื่อเอาได้ง่ายๆ หนังมีบทพูดเยอะมาก และตัดสลับช่วงเวลาอยู่ตลอด แต่ไม่ได้เข้าใจยากนะ แต่ส่วนตัว เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เล่าประวัติของ Jackie Kennedy ก็จริงอยู่ แต่หนังกลับมีสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารมากกว่าแค่เล่าชีวประวัติเท่านั้น และการสื่อความรู้สึกของตัวละครคือทีเด็ดของหนังเรื่องนี้
นี่คือผลงานการกำกับของ Pablo Larraín ผู้กำกับชาวชิลี ซึ่งยอมรับว่าเราไม่เคยรู้จักเค้าและไม่เคยดูหนังของเค้ามาก่อนเลย พอไปหาประวัติของเค้า ถือว่าเป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงพอสมควร จากผลงานหนังต่างประเทศที่เข้าชิงรางวัลเวทีใหญ่ๆอยู่เยอะมาก ซึ่งเราชอบผลงานเรื่องนี้ของเค้ามาก จนทำให้เราอยากไปหาผลงานเก่าๆของเค้ามาดูเลย
งานด้านถ่ายภาพและการลำดับภาพทำได้ดีมาก เราชอบการเลือกซีน มุมกล้อง ฉากที่ Jackie ถอดชุดที่เปื้อนเลือดออก เราว่าจังหวะการตัดต่อดีมากๆ รวมไปถึงการลำดับซีนช่วงท้ายก่อนจบ เราว่ามันเล่าสรุปหนังได้ยอดเยี่ยมมากเลย
ดนตรีประกอบคืออีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบมากในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะดนตรีตอนเปิดเรื่องก่อนที่จะตัดเข้าภาพแรก เจ๋งมากๆ อิมแพคตั้งแต่เปิดเรื่องเลยจริงๆ เรารู้สึกว่าดนตรีประกอบนี่แหละ คือสิ่งสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เราอินไปกับหนังและความรู้สึกของตัวละครได้ถึงขนาดนี้
เราเคยดูการแสดงของ Natalie Portman มา 6 เรื่อง คือ Closer, Paris, je t'aime, My Blueberry Night, Brothers, Black Swan, Knight of Cups ซึ่งผมชอบการแสดงของเธอเกือบทุกเรื่องนะ (ยกเว้น Knight of Cups เพราะดูไม่รู้เรื่อง 55 ยอมแพ้ Terrence Malick จริงๆ) พอมาถึงการแสดงเป็น Jacqueline Kennedy ในเรื่องนี้ เรา surprise มากๆ แม้จะได้ข่าวชื่นชมการแสดงของเธอมาอย่างหนาหู แต่พอเราได้สัมผัสด้วยตัวเอง กลับได้เกินกว่าความคาดหวังไว้อีกมาก
เรารู้สึกว่าเธอเล่นเรื่องนี้ได้แตกต่างมากๆ เหมือนเธอเป็นตัวละครอีกตัวที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง เราไม่ได้สนใจว่าเธอเล่นเหมือน Jackie ตัวจริงหรือไม่นะ แต่เราสนใจที่เธอเล่นเป็นคนอื่นได้ จนเราเชื่อว่านี่คือ Jackie ไม่ใช่ Natalie เราชอบที่ตัวละครต้องมี 2 ภาพลักษณ์ คือ ภาพลักษณ์ที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น และอีกภาพ คือสิ่งที่ตัวเธอเป็นและรู้สึกจริงๆ ซึ่งเราว่าเธอทำได้กลมกล่อมมากๆ
เรารู้สึกว่าบทนี้เล่นยากมาก เราคิดว่าเธอต้องทุ่มเทอย่างหนักเลยในการแสดงครั้งนี้ เกือบทั้งเรื่อง ตัวละครจะมีความรู้สึกที่ลึกสุดมากๆ แต่ต้องควบคุมการแสดงออกในแต่ละซีนให้เหมาะสม แค่การแสดงออกที่น้อยในบางครั้ง แต่ก็มีความรู้สึกข้างในที่มันไม่น้อยเท่าภายนอก แต่เรารับรู้ได้ โดยเฉพาะจากแววตาของเธอ เธอเล่นเรื่องนี้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ
ถ้าจะไม่เปรียบเทียบกับการแสดงของ Emma Stone คงจะไม่ได้ ส่วนตัวเราชอบการแสดงของ Emma จาก La La Land มากๆ เธอเล่นได้ "มีเสน่ห์" ถึงขีดสุดจริงๆ รอยยิ้มและสายตาในซีนจบ คือสุดยอดซีนเท่าที่นักแสดงคนหนึ่งจะสื่อสารได้ แต่...พอเราดู Jackie จบ เราคิดว่า "เสน่ห์" ของ Emma อาจไม่พอซะแล้ว เรารู้สึกว่า Natalie ทำได้ดีกว่า Emma ในภาพรวม เราว่าอารมณ์ของตัวละคร Jackie มันลึกกว่ามาก และมันต้องการการแสดงที่พอดีสุดๆ ถึงจะสื่อสารความรู้สึกนั้นๆออกมาได้พอในแต่ละซีน ซึ่งเราว่าดีกรีมันต้องพอดีจริงๆ มันขาดหรือเกินแม้แต่นิดเดียวไม่ได้เลยจริงๆ
สรุปคือ เรายังชอบการแสดงของ Emma มากๆ รอยยิ้มและสายตาในซีนจบ เราว่าเธอชนะ Natalie แต่ถ้าเอาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ภาพรวมเราว่า Natalie ทำได้ดีกว่า
ซีนที่เราชอบมาก คือ ซีนที่ Jackie เข้าไปบอกลูกทั้งสองคนว่า พ่อจะไม่กลับมาแล้ว เธอดูเหมือนจะเข้มแข็งมากๆในตอนที่เริ่มพูด แต่พอพูดไปเรื่อยๆ แววตาเธอค่อยๆเปลี่ยน น้ำในตาเริ่มค่อยๆเอ่อขึ้นมา มันสุดยอดมาก มันรับรู้ได้ มันปวดร้าว มันเจ็บปวด แต่ต้องพยายามเข้มแข็ง มันทำไม่ได้หรอก มันออกมาทางดวงตาจริงๆ
“Caroline, I need you to be a big girl.” นี่คือสิ่งที่เธอบอกกับลูกสาวเธอ ราวกับว่าเธอกำลังบอกกับตัวเธอเองเช่นกัน
Jackie เล่าเรื่องชีวิตของ Jacqueline Kennedy ภริยาของ John F. Kennedy ประธานาธิบดี คนที่ 35 ของอเมริกา ซึ่งเราคงไม่ต้องเล่าประวัติของ Jack (ชื่อเล่นของ John F. Kennedy) มากนัก เราพอรู้กันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้เล่า กลับเน้นไปที่ตัวละครอย่าง Jackie (ชื่อเล่นของ Jacqueline) ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่เราตื่นเต้นและสนใจอยากรู้เป็นอย่างมาก หนังเล่าเรื่องช่วงเวลาที่ Jack โดนลอบสังหาร และช่วงเวลา 1-2 สัปดาห์หลังจากนั้น และแน่นอน เราได้เห็นสิ่งที่ Jackie ได้ทำลงไป ทั้งหน้าฉากที่พวกเห็นผ่านสื่อ และหลังฉากที่เป็นความรู้สึกของเธอจริงๆ
หลังการตายของ Jack ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มันเร็วจนเธอแทบตั้งตัวรับไม่ทัน หนังเล่นประเด็นเรื่องรายการ White House Tour ที่โด่งดัง กับ เหตุการณ์ช่วงเวลาสุดท้ายที่เธอจะได้พักอยู่ที่นี่ มันดูเศร้ามาก การย้ายออกหลังจากประธานาธิบดีทำงานครบวาระ 4 หรือ 8 ปี มันก็คงใจหายระดับหนึ่ง แต่นั่นมันต่างกัน มันรู้ล่วงหน้า มันได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน ต่างจาก Jackie ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มุมหนึ่งมันก็สะท้อนสัจธรรมของชีวิตได้ดีทีเดียว ให้เราเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ก่อนเธอจะเข้าฉากถ่ายทำรายการ White House Tour จริงๆเธอค่อนข้างประหม่า สิ่งที่เราเห็นหน้ากล้อง นั่นคือสิ่งที่เธอพยายามสร้างให้เป็นคนที่ประชาชนอยากเห็น คนที่ประชาชนอยากให้เป็น รอยยิ้มที่เธอยิ้มตามที่แนนซี่ส่งสัญญานให้ยิ้ม มันดูไม่จริงมากๆ หรือช่วงเวลา ตอนที่เธอกำลังจะลงจากเครื่องบินที่ Texas เธอพยายามฝึกพูดภาษาสเปน (ไม่แน่ใจนักว่าภาษาอะไร) แน่นอนว่าเธอกำลังพยายามทำในสิ่งที่ผู้คนอยากเห็น อยากได้ยิน แต่ไม่รู้จริงๆเธออยากจะทำสิ่งนั้นมากน้อยแค่ไหน
Jackie ให้สัมภาษณ์ว่า "I have grown accustomed to a great divide between what people believe and what I know to be real." เธออยู่ตรงเส้นแบ่งระหว่าง "ความเชื่อของผู้คน" กับ "ความเป็นจริง" มาตลอด คงตั้งแต่สมัยเธอทำงานเป็นนักข่าวเลยแหละ จนเราคิดว่าเธออาจไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าอะไรคือสิ่งที่เธอควรจะเป็นจริงๆ จนกระทั่งเหตุการณ์หลังการตายของ Jack
เธอยังคงยึดติดกับสิ่งที่อยากให้ผู้คนเห็นอยู่ตลอดเวลา เสื้อสีชมพูที่เปื้อนเลือด เธอก็ไม่ยอมถอดมันออก เธอต้องการให้ผู้คนได้เห็นถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้น หรือแม้ว่าการเดินไปพร้อมขบวนศพของ Jack จะมีความอันตรายแค่ไหน แต่เธอก็ยังอยากให้คนเห็นภาพนั้น เธออยากให้ทุกคนจดจำ Jack ในฐานะประธานาธิบดีที่ดี ที่ยิ่งใหญ่ เฉกเช่นเดียวกับ Abraham Lincoln ที่ผู้คนจดจำเค้าในฐานะประธานาธิบดีที่นำประเทศผ่านพ้นสงครามกลางเมืองและการเลิกทาส ซึ่งไม่เหมือนกับ James A.Garfield หรือ William McKinley ที่ไม่มีใครจดจำพวกเค้าได้
เราชอบซีนที่ Bobby นั่งคุยกับ Jackie ในห้อง (เราเข้าใจว่าเป็นห้องที่มีเตียงนอนของ Lincoln แต่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่) เค้าตัดพ้อว่ามันไม่ยุติธรรมเลย เพราะ Jack มีเวลาไม่พอที่จะทำสิ่งให้ผู้คนจดจำเค้าได้อย่าง Lincoln เราโคตรอินเลยฉากนี้ เหมือนที่ Jackie พูดตอนให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ว่าเราต้องการประเพณี และประเพณีจะเกิดขึ้นได้ต้องมี "Time" เราต้องการเวลาที่เพียงพอ เพื่อที่จะทำอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นและเป็นที่น่าจดจำ
สิ่งที่เธอพยายามทำ คือสร้างสิ่งที่ทำให้ผู้คนจดจำทั้ง Jack และตัวเธอเอง เธอบอกว่า "People believe that the characters we read about on the page end up being more real than the men who stand beside us."
แต่ภาพที่พวกเราเห็นถึงความเข้มแข็งที่เธอพยายามแสดงออกมาให้โลกเห็น กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอพูดกับบาทหลวง เธอยอมรับว่าหลังจากวันที่ Jack ถูกลอบสังหาร เธออยากตาย "คืนนั้นและหลังจากนั้น ลูกภาวนาให้ลูกตาย" ซึ่งเราเข้าใจเธอ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันหนักมากจริงๆ
เธอเล่าให้ฟังถึงเรื่องส่วนตัวสุดๆของ Jack เธอบอกว่า Jack ชอบฟังเพลงละคร Camelot ก่อนเข้านอน
เธอพูดถึง เนื้อเพลง Camelot ว่า
"Don't let it be forgot that for one brief shining moment, there was a Camelot. There won't be another Camelot, not another Camelot."
เธอบอกว่า จะไม่มี Camelot ที่อื่นอีกแล้ว ถึงตอนนี้ เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จริงๆแล้ว ดินแดน Camelot มีอยู่จริงหรือไม่ แต่สำหรับเธอ Camelot มันมีจริง ช่วงเวลาแห่งความสุขของเธอมันมีจริง ดินแดน Camelot ของเธอมันมีจริง มันเป็นดินแดนที่เธอกับ Jack ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ได้ใช้เวลาร่วมกันในดินแดนนี้ และเธอบอกว่า มันจะไม่มี Camelot แห่งอื่นอีกแล้ว อเมริกาอาจจะมีประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งในอนาคต แต่จะไม่มีดินแดน Camelot นี้อีกแล้ว...โคตรเศร้าเลย ยิ่งตอน Flashback ฉากเต้นรำ ยิ่งกระทบความรู้สึกเราสุดๆ
เราชอบในตอนท้ายของหนัง เราเห็นว่าที่สุดแล้ว เธอก็ได้เข้าใจตัวเอง เธอยอมรับความจริงกับตัวเธอเองได้แล้ว เธอบอกกับบาทหลวงว่า "ลูกตระหนักได้ว่า ทุกอย่างที่ลูกทำและเรียกร้อง ไม่ใช่เพื่อ Jack แต่เพื่อตัวลูกเอง" ตอนนี้เธอแทบจะไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้ว สิ่งที่เธอพยายามทำเพื่อให้คนจดจำนั้น มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆก็ได้ ตอนนี้เธอไม่ได้แคร์ "ความเชื่อของผู้คน" แล้ว เธอกำลังอยู่กับ "ความเป็นจริง" ที่เธอรู้สึก
เธอตัดพ้อว่า "พระเจ้าไม่อยากให้ลูกไปอยู่กับสามีเหรอ"
ผู้คนต่างพยายามค้นหาความหมายของชีวิต "แต่สุดท้าย..ชีวิตไม่มีคำตอบให้" พรุ่งนี้ตอนเช้า เรายังต้องตื่นมากินกาแฟ แล้วออกไปทำงาน ไปทำสิ่งที่ต้องทำ และสุดท้ายก็ต้องกลับบ้านมานอน เพื่อรอเข้าสู่เช้าวันใหม่ของวันต่อไป
"ชีวิตมีเท่านี้หรือ"
ตอนท้ายบาทหลวงบอกว่า มันถูกกำหนดไว้แล้วว่า "ให้ชีวิตมีเพียงพอสำหรับเรา" จริงๆสิ่งที่เราทุกคนต้องเจอ มันไม่ใช่สิ่งที่มากหรือน้อยเกินไปหรอก มันพอดีแล้วสำหรับเราแต่ละคน มีสุขก็ต้องมีทุกข์เป็นของคู่กัน
บาทหลวงยังพูดปิดท้ายอีกว่า "ความมืดมนอาจไม่จางหาย แต่ใช่ว่าจะหนักหนาเสมอไป" เรายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะชีวิตที่เราทุกคนได้มา มันถูกกำหนดมาเแล้ว ใช้ชีวิตที่เราได้รับมาให้คุ้มค่าที่สุด
ตราบเท่าที่ลมหายใจของเรายังมีอยู่ นั่นก็แสดงว่า เราก็ยังมีสิ่งที่เราต้องทำต่อไปนั่นเอง
ช่วงเวลาในชีวิตที่เราแต่ละคนได้รับมา มันเพียงพอแล้วจริงๆ เราอาจจะได้รับเวลามาไม่เท่ากันก็จริงอยู่ แต่มันคงไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับว่าเราได้ใช้เวลาที่เราได้รับมานั้นให้มันคุ้มค่ามากแค่ไหน สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะทำให้คนจดจำเราได้นั้น มันอาจไม่ใช่พิธีศพอันยิ่งใหญ่ทรงเกียรติใดๆทั้งนั้น แต่มันมาจากสิ่งเราได้ทำเอาไว้ในช่วงเวลาชีวิตของเรานั่นเอง
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
Jackie - ให้ชีวิตมีเพียงพอสำหรับเรา (Spoil)
แต่เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่เหมาะกับทุกคนแน่ๆ หากไม่คุ้นเคยกับหนังสไตล์นี้ อาจจะเบื่อเอาได้ง่ายๆ หนังมีบทพูดเยอะมาก และตัดสลับช่วงเวลาอยู่ตลอด แต่ไม่ได้เข้าใจยากนะ แต่ส่วนตัว เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เล่าประวัติของ Jackie Kennedy ก็จริงอยู่ แต่หนังกลับมีสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารมากกว่าแค่เล่าชีวประวัติเท่านั้น และการสื่อความรู้สึกของตัวละครคือทีเด็ดของหนังเรื่องนี้
นี่คือผลงานการกำกับของ Pablo Larraín ผู้กำกับชาวชิลี ซึ่งยอมรับว่าเราไม่เคยรู้จักเค้าและไม่เคยดูหนังของเค้ามาก่อนเลย พอไปหาประวัติของเค้า ถือว่าเป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงพอสมควร จากผลงานหนังต่างประเทศที่เข้าชิงรางวัลเวทีใหญ่ๆอยู่เยอะมาก ซึ่งเราชอบผลงานเรื่องนี้ของเค้ามาก จนทำให้เราอยากไปหาผลงานเก่าๆของเค้ามาดูเลย
งานด้านถ่ายภาพและการลำดับภาพทำได้ดีมาก เราชอบการเลือกซีน มุมกล้อง ฉากที่ Jackie ถอดชุดที่เปื้อนเลือดออก เราว่าจังหวะการตัดต่อดีมากๆ รวมไปถึงการลำดับซีนช่วงท้ายก่อนจบ เราว่ามันเล่าสรุปหนังได้ยอดเยี่ยมมากเลย
ดนตรีประกอบคืออีกสิ่งหนึ่งที่เราชอบมากในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะดนตรีตอนเปิดเรื่องก่อนที่จะตัดเข้าภาพแรก เจ๋งมากๆ อิมแพคตั้งแต่เปิดเรื่องเลยจริงๆ เรารู้สึกว่าดนตรีประกอบนี่แหละ คือสิ่งสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เราอินไปกับหนังและความรู้สึกของตัวละครได้ถึงขนาดนี้
เราเคยดูการแสดงของ Natalie Portman มา 6 เรื่อง คือ Closer, Paris, je t'aime, My Blueberry Night, Brothers, Black Swan, Knight of Cups ซึ่งผมชอบการแสดงของเธอเกือบทุกเรื่องนะ (ยกเว้น Knight of Cups เพราะดูไม่รู้เรื่อง 55 ยอมแพ้ Terrence Malick จริงๆ) พอมาถึงการแสดงเป็น Jacqueline Kennedy ในเรื่องนี้ เรา surprise มากๆ แม้จะได้ข่าวชื่นชมการแสดงของเธอมาอย่างหนาหู แต่พอเราได้สัมผัสด้วยตัวเอง กลับได้เกินกว่าความคาดหวังไว้อีกมาก
เรารู้สึกว่าเธอเล่นเรื่องนี้ได้แตกต่างมากๆ เหมือนเธอเป็นตัวละครอีกตัวที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง เราไม่ได้สนใจว่าเธอเล่นเหมือน Jackie ตัวจริงหรือไม่นะ แต่เราสนใจที่เธอเล่นเป็นคนอื่นได้ จนเราเชื่อว่านี่คือ Jackie ไม่ใช่ Natalie เราชอบที่ตัวละครต้องมี 2 ภาพลักษณ์ คือ ภาพลักษณ์ที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น และอีกภาพ คือสิ่งที่ตัวเธอเป็นและรู้สึกจริงๆ ซึ่งเราว่าเธอทำได้กลมกล่อมมากๆ
เรารู้สึกว่าบทนี้เล่นยากมาก เราคิดว่าเธอต้องทุ่มเทอย่างหนักเลยในการแสดงครั้งนี้ เกือบทั้งเรื่อง ตัวละครจะมีความรู้สึกที่ลึกสุดมากๆ แต่ต้องควบคุมการแสดงออกในแต่ละซีนให้เหมาะสม แค่การแสดงออกที่น้อยในบางครั้ง แต่ก็มีความรู้สึกข้างในที่มันไม่น้อยเท่าภายนอก แต่เรารับรู้ได้ โดยเฉพาะจากแววตาของเธอ เธอเล่นเรื่องนี้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ
ถ้าจะไม่เปรียบเทียบกับการแสดงของ Emma Stone คงจะไม่ได้ ส่วนตัวเราชอบการแสดงของ Emma จาก La La Land มากๆ เธอเล่นได้ "มีเสน่ห์" ถึงขีดสุดจริงๆ รอยยิ้มและสายตาในซีนจบ คือสุดยอดซีนเท่าที่นักแสดงคนหนึ่งจะสื่อสารได้ แต่...พอเราดู Jackie จบ เราคิดว่า "เสน่ห์" ของ Emma อาจไม่พอซะแล้ว เรารู้สึกว่า Natalie ทำได้ดีกว่า Emma ในภาพรวม เราว่าอารมณ์ของตัวละคร Jackie มันลึกกว่ามาก และมันต้องการการแสดงที่พอดีสุดๆ ถึงจะสื่อสารความรู้สึกนั้นๆออกมาได้พอในแต่ละซีน ซึ่งเราว่าดีกรีมันต้องพอดีจริงๆ มันขาดหรือเกินแม้แต่นิดเดียวไม่ได้เลยจริงๆ
สรุปคือ เรายังชอบการแสดงของ Emma มากๆ รอยยิ้มและสายตาในซีนจบ เราว่าเธอชนะ Natalie แต่ถ้าเอาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ภาพรวมเราว่า Natalie ทำได้ดีกว่า
ซีนที่เราชอบมาก คือ ซีนที่ Jackie เข้าไปบอกลูกทั้งสองคนว่า พ่อจะไม่กลับมาแล้ว เธอดูเหมือนจะเข้มแข็งมากๆในตอนที่เริ่มพูด แต่พอพูดไปเรื่อยๆ แววตาเธอค่อยๆเปลี่ยน น้ำในตาเริ่มค่อยๆเอ่อขึ้นมา มันสุดยอดมาก มันรับรู้ได้ มันปวดร้าว มันเจ็บปวด แต่ต้องพยายามเข้มแข็ง มันทำไม่ได้หรอก มันออกมาทางดวงตาจริงๆ
“Caroline, I need you to be a big girl.” นี่คือสิ่งที่เธอบอกกับลูกสาวเธอ ราวกับว่าเธอกำลังบอกกับตัวเธอเองเช่นกัน
Jackie เล่าเรื่องชีวิตของ Jacqueline Kennedy ภริยาของ John F. Kennedy ประธานาธิบดี คนที่ 35 ของอเมริกา ซึ่งเราคงไม่ต้องเล่าประวัติของ Jack (ชื่อเล่นของ John F. Kennedy) มากนัก เราพอรู้กันอยู่แล้ว แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้เล่า กลับเน้นไปที่ตัวละครอย่าง Jackie (ชื่อเล่นของ Jacqueline) ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่เราตื่นเต้นและสนใจอยากรู้เป็นอย่างมาก หนังเล่าเรื่องช่วงเวลาที่ Jack โดนลอบสังหาร และช่วงเวลา 1-2 สัปดาห์หลังจากนั้น และแน่นอน เราได้เห็นสิ่งที่ Jackie ได้ทำลงไป ทั้งหน้าฉากที่พวกเห็นผ่านสื่อ และหลังฉากที่เป็นความรู้สึกของเธอจริงๆ
หลังการตายของ Jack ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มันเร็วจนเธอแทบตั้งตัวรับไม่ทัน หนังเล่นประเด็นเรื่องรายการ White House Tour ที่โด่งดัง กับ เหตุการณ์ช่วงเวลาสุดท้ายที่เธอจะได้พักอยู่ที่นี่ มันดูเศร้ามาก การย้ายออกหลังจากประธานาธิบดีทำงานครบวาระ 4 หรือ 8 ปี มันก็คงใจหายระดับหนึ่ง แต่นั่นมันต่างกัน มันรู้ล่วงหน้า มันได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อน ต่างจาก Jackie ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มุมหนึ่งมันก็สะท้อนสัจธรรมของชีวิตได้ดีทีเดียว ให้เราเตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ก่อนเธอจะเข้าฉากถ่ายทำรายการ White House Tour จริงๆเธอค่อนข้างประหม่า สิ่งที่เราเห็นหน้ากล้อง นั่นคือสิ่งที่เธอพยายามสร้างให้เป็นคนที่ประชาชนอยากเห็น คนที่ประชาชนอยากให้เป็น รอยยิ้มที่เธอยิ้มตามที่แนนซี่ส่งสัญญานให้ยิ้ม มันดูไม่จริงมากๆ หรือช่วงเวลา ตอนที่เธอกำลังจะลงจากเครื่องบินที่ Texas เธอพยายามฝึกพูดภาษาสเปน (ไม่แน่ใจนักว่าภาษาอะไร) แน่นอนว่าเธอกำลังพยายามทำในสิ่งที่ผู้คนอยากเห็น อยากได้ยิน แต่ไม่รู้จริงๆเธออยากจะทำสิ่งนั้นมากน้อยแค่ไหน
Jackie ให้สัมภาษณ์ว่า "I have grown accustomed to a great divide between what people believe and what I know to be real." เธออยู่ตรงเส้นแบ่งระหว่าง "ความเชื่อของผู้คน" กับ "ความเป็นจริง" มาตลอด คงตั้งแต่สมัยเธอทำงานเป็นนักข่าวเลยแหละ จนเราคิดว่าเธออาจไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเอง ว่าอะไรคือสิ่งที่เธอควรจะเป็นจริงๆ จนกระทั่งเหตุการณ์หลังการตายของ Jack
เธอยังคงยึดติดกับสิ่งที่อยากให้ผู้คนเห็นอยู่ตลอดเวลา เสื้อสีชมพูที่เปื้อนเลือด เธอก็ไม่ยอมถอดมันออก เธอต้องการให้ผู้คนได้เห็นถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้น หรือแม้ว่าการเดินไปพร้อมขบวนศพของ Jack จะมีความอันตรายแค่ไหน แต่เธอก็ยังอยากให้คนเห็นภาพนั้น เธออยากให้ทุกคนจดจำ Jack ในฐานะประธานาธิบดีที่ดี ที่ยิ่งใหญ่ เฉกเช่นเดียวกับ Abraham Lincoln ที่ผู้คนจดจำเค้าในฐานะประธานาธิบดีที่นำประเทศผ่านพ้นสงครามกลางเมืองและการเลิกทาส ซึ่งไม่เหมือนกับ James A.Garfield หรือ William McKinley ที่ไม่มีใครจดจำพวกเค้าได้
เราชอบซีนที่ Bobby นั่งคุยกับ Jackie ในห้อง (เราเข้าใจว่าเป็นห้องที่มีเตียงนอนของ Lincoln แต่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่) เค้าตัดพ้อว่ามันไม่ยุติธรรมเลย เพราะ Jack มีเวลาไม่พอที่จะทำสิ่งให้ผู้คนจดจำเค้าได้อย่าง Lincoln เราโคตรอินเลยฉากนี้ เหมือนที่ Jackie พูดตอนให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ว่าเราต้องการประเพณี และประเพณีจะเกิดขึ้นได้ต้องมี "Time" เราต้องการเวลาที่เพียงพอ เพื่อที่จะทำอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นและเป็นที่น่าจดจำ
สิ่งที่เธอพยายามทำ คือสร้างสิ่งที่ทำให้ผู้คนจดจำทั้ง Jack และตัวเธอเอง เธอบอกว่า "People believe that the characters we read about on the page end up being more real than the men who stand beside us."
แต่ภาพที่พวกเราเห็นถึงความเข้มแข็งที่เธอพยายามแสดงออกมาให้โลกเห็น กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอพูดกับบาทหลวง เธอยอมรับว่าหลังจากวันที่ Jack ถูกลอบสังหาร เธออยากตาย "คืนนั้นและหลังจากนั้น ลูกภาวนาให้ลูกตาย" ซึ่งเราเข้าใจเธอ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ต้องรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันหนักมากจริงๆ
เธอเล่าให้ฟังถึงเรื่องส่วนตัวสุดๆของ Jack เธอบอกว่า Jack ชอบฟังเพลงละคร Camelot ก่อนเข้านอน
เธอพูดถึง เนื้อเพลง Camelot ว่า
"Don't let it be forgot that for one brief shining moment, there was a Camelot. There won't be another Camelot, not another Camelot."
เธอบอกว่า จะไม่มี Camelot ที่อื่นอีกแล้ว ถึงตอนนี้ เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จริงๆแล้ว ดินแดน Camelot มีอยู่จริงหรือไม่ แต่สำหรับเธอ Camelot มันมีจริง ช่วงเวลาแห่งความสุขของเธอมันมีจริง ดินแดน Camelot ของเธอมันมีจริง มันเป็นดินแดนที่เธอกับ Jack ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ได้ใช้เวลาร่วมกันในดินแดนนี้ และเธอบอกว่า มันจะไม่มี Camelot แห่งอื่นอีกแล้ว อเมริกาอาจจะมีประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งในอนาคต แต่จะไม่มีดินแดน Camelot นี้อีกแล้ว...โคตรเศร้าเลย ยิ่งตอน Flashback ฉากเต้นรำ ยิ่งกระทบความรู้สึกเราสุดๆ
เราชอบในตอนท้ายของหนัง เราเห็นว่าที่สุดแล้ว เธอก็ได้เข้าใจตัวเอง เธอยอมรับความจริงกับตัวเธอเองได้แล้ว เธอบอกกับบาทหลวงว่า "ลูกตระหนักได้ว่า ทุกอย่างที่ลูกทำและเรียกร้อง ไม่ใช่เพื่อ Jack แต่เพื่อตัวลูกเอง" ตอนนี้เธอแทบจะไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้ว สิ่งที่เธอพยายามทำเพื่อให้คนจดจำนั้น มันอาจไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆก็ได้ ตอนนี้เธอไม่ได้แคร์ "ความเชื่อของผู้คน" แล้ว เธอกำลังอยู่กับ "ความเป็นจริง" ที่เธอรู้สึก
เธอตัดพ้อว่า "พระเจ้าไม่อยากให้ลูกไปอยู่กับสามีเหรอ"
ผู้คนต่างพยายามค้นหาความหมายของชีวิต "แต่สุดท้าย..ชีวิตไม่มีคำตอบให้" พรุ่งนี้ตอนเช้า เรายังต้องตื่นมากินกาแฟ แล้วออกไปทำงาน ไปทำสิ่งที่ต้องทำ และสุดท้ายก็ต้องกลับบ้านมานอน เพื่อรอเข้าสู่เช้าวันใหม่ของวันต่อไป
"ชีวิตมีเท่านี้หรือ"
ตอนท้ายบาทหลวงบอกว่า มันถูกกำหนดไว้แล้วว่า "ให้ชีวิตมีเพียงพอสำหรับเรา" จริงๆสิ่งที่เราทุกคนต้องเจอ มันไม่ใช่สิ่งที่มากหรือน้อยเกินไปหรอก มันพอดีแล้วสำหรับเราแต่ละคน มีสุขก็ต้องมีทุกข์เป็นของคู่กัน
บาทหลวงยังพูดปิดท้ายอีกว่า "ความมืดมนอาจไม่จางหาย แต่ใช่ว่าจะหนักหนาเสมอไป" เรายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะชีวิตที่เราทุกคนได้มา มันถูกกำหนดมาเแล้ว ใช้ชีวิตที่เราได้รับมาให้คุ้มค่าที่สุด
ตราบเท่าที่ลมหายใจของเรายังมีอยู่ นั่นก็แสดงว่า เราก็ยังมีสิ่งที่เราต้องทำต่อไปนั่นเอง
ช่วงเวลาในชีวิตที่เราแต่ละคนได้รับมา มันเพียงพอแล้วจริงๆ เราอาจจะได้รับเวลามาไม่เท่ากันก็จริงอยู่ แต่มันคงไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับว่าเราได้ใช้เวลาที่เราได้รับมานั้นให้มันคุ้มค่ามากแค่ไหน สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะทำให้คนจดจำเราได้นั้น มันอาจไม่ใช่พิธีศพอันยิ่งใหญ่ทรงเกียรติใดๆทั้งนั้น แต่มันมาจากสิ่งเราได้ทำเอาไว้ในช่วงเวลาชีวิตของเรานั่นเอง
https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/