สวัสดีค่ะ เป็นครั้งแรกที่มาเขียนเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกายในห้องนี้ ปกติสิงแต่ห้องหนังและการ์ตูน(----) กระทู้นี้ก็ไม่ใช่กระทู้ตั้งคำถาม ไม่ใช่กระทู้ที่เราฝ่าฟันอะไรสักอย่างจนสำเร็จแล้วมาเล่าแบ่งปันกัน น่าจะเรียกว่ากำลังตั้งใจจะฝ่าฟันแต่พึ่งเริ่มทำและยังไม่สำเร็จละกัน(----) แถมมีนิสัยเหล่าะแหล่ะเป่าะแป่ะ ไม่ใช่สายหักดิบฮาร์ดคอร์อีกต่างหาก (คนที่ไม่ใช่สายฮาร์ดคอร์มาอ่านแล้วอาจจะมีกำลังใจในการออกกำลังกายขึ้นมาหน่อย(---)) ประกอบกับเป็นคนคิดเยอะนำการกระทำเลยเอามาเล่าว่าคิดยังไงจึงมาเริ่มออกกำลังกายและคิดยังไงกับโลกรอบ ๆ ตัวที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายละกันค่ะ
.
อารัมภบทก่อน เราเป็นผู้หญิงชอบอยู่ในห้อง หน้าคอม ไม่ออกไปไหน เรียนเกี่ยวกับเอกสาร งานอดิเรกคือการวาดรูปวาดการ์ตูนโดยมีคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลัก เรียกว่าเกิน 60%ของเวลาชีวิตคือการอยู่ในห้อง นั่งบนเก้าอี้ และตัวติดโต๊ะ จนพ่อที่บ้านเตือนลอย ๆ ว่านั่งจนก้นบานบ่อย ๆ หมายจะให้เราลุกออกกำลังบ้างแต่ก็ไม่ทำ(------) ------ เป็นอย่างนี้มา 30 ปีแล้วพึ่งนึกขึ้นได้ว่า เอ้อ-----เรายังไม่เคยมีแฟนเลยนะ(----) ถ้าเวลายังไหลผ่านไปและอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทางเดียวที่จะทำให้เรายืดระยะเวลาหาแฟนได้(-----)คือต้องรักษารูปร่างและสุขภาพ (แรงบันดาลใจโก๊ะมาก) ด้านนิสัยกมลสันดาน(---)หรือเรื่องราวภายในใด ๆ ก็ทยอยปรับแก้ตามกันไปทีหลัง
.
เรามีความสูง 161 น้ำหนัก 52-53 kg บางคนก็บอกว่าผอมอยู่แล้ว ดีอยู่แล้ว แต่เวลาแก้ผ้าส่องกระจกในห้องตัวเองจะสังเกตุเห็นว่าก้นใหญ่ แขนเละ และสะโพกหย่อน(----) ต้นขาก็ไม่เรียวสวย เรียกว่าอิจฉาผู้หญิงที่ขาเรียวกว่าตัวเองได้ทุกคนบนโลก อยากจะเพรียวได้อย่างคนนั้นคนนี้มั่ง ก็เลยไปเข้าคอร์สฟิตเนสแอนด์โยคะที่เพื่อนสมัยเรียนปริญญาตรีด้วยกันมาเปิดสอน ซึ่งเขาก็พึ่งช่วงเริ่มเปิด กำลังต้องฝึกการเป็นเทรนเนอร์มือใหม่ ลูกค้ามือใหม่อย่างเราก็เลยได้อนิสงค์แบบwin-win ได้รับการดูแลและเวลามากกว่าค่าคอร์สที่จ่ายไป ------ สรุปว่าเรามีทัศนคติเกี่ยวกับการออกกำลังกายว่า 1. ได้รูปร่าง 2. ได้สุขภาพ 3. ได้บำบัดบริหาร 4. ได้วินัยและอะไรอีกก็ไม่รู้(-----) เรียกว่าไม่ค่อยมีแง่คิดด้านลบกับการออกกำลังกายหรอก ช่วงที่ขี้เกียจไม่ยอมทำก็จะโทษตัวเองมากกว่าไปคิดลบกับสิ่งอื่น และเชื่ออย่างนึงว่าถ้าร่างกายเราเจ็บปวดเพราะการทำงานผิดท่าหรือใช้ชีวิตไม่ถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกายนั้นแหล่ะคือยารักษาที่ดีที่สุดและถูกโรค ดังนั้นนอกจากเรื่องหวังรูปร่างแล้ว เราที่ใช้ชิวิตติดเก้าอี้ติดโต๊ะจนปวดหลังปวดไหล่มาเรื่อย ๆ ก็ควรคืนกำไรให้ร่างกายด้วยการบำบัดฟื้นฟูเขาบ้าง (ตอนนี้ไปฟิตเนสสม่ำเสมอ อาทิตย์ละ2-3ครั้งติดต่อ 2 เดือน.....น้ำหนักไม่ลดเลยจ้า แต่บรรเทาอาการปวดไหล่ปวดเอวและค้นพบว่าแข้งขาข้อเข่าเรายืดไม่ขึ้น ปวกเปียกเหล่าะแหล่ะสิ้นดี(----/สายกดดันตัวเอง))
.
ก็เรียกว่าเรามีความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับการออกกำลังกายจากการมโนในจินตนาการของตัวเอง(-----)เป็นหลัก เข้าคอร์สไปก็ไม่ได้เห็นผลทันตาทันที เทรนเนอร์กำชับให้ทานอาหารคลีน เน้นสมดุล ก็ทำได้ราว40-50%ของที่โค้ชคาดหวัง(----) ยังหักดิบตัวเองทานแต่อกไก่ต้มและปลาเผาไม่ไหว น้ำหนักก็เลยยังไม่ลงแต่ชีวิตได้ตัดแป้งและน้ำตาลออกไปมากขึ้น ได้คิดอะไรจุก ๆจิก ๆ และบังคับตัวเองเพื่อร่างกายตัวเองมากขึ้น จนบางทีรู้สึกสนิทกับตัวเองขึ้นมาเหมือนเราดูแลเขาแบบเพื่อนหรือแฟนอยู่(.....)------ แต่บางครั้งก็มีเรื่องสงสัย บางทีคนรอบตัวหรือคนใกล้ตัวเราเขาชอบบ่นว่าตัวเขามีปัญหาสุขภาพ ปวดเอวปวดหลังในระดับวิกฤตกว่าตัวเราหลายขุม ทนทรมานกับอาการปวดเรื้อรังเป็นเดือน ๆ อาศัยยาแก้ปวดทุกวันรวมเป็นกำ ๆ ฝืนร่างกายทำงานต่อได้เป็นเรื่องน่ายกย่อง สุดท้ายต้องส่งร่างกายไปถึงมือหมอให้หมอจับขึงเตียงช็อตไฟฟ้าและดัดกายภาพบำบัดสารพัด....เธอเล่าด้วยความหน้าชื่นตาบานประหนึ่งนักรบที่ผ่านสงครามร้ายแรงและรอดชีวิตมาได้อย่างภูมิใจ แต่พอเราแนะนำว่าให้ออกกำลังกายสิ ค่อย ๆ บริหารปรับและฟื้นฟูร่างกายเรื่อย ๆ เธอกลับมองเรากลับเหมือนถูกเราบอกตัดเพื่อน(-----) หรือบางทีเขาแค่อยากได้ยินเราบอกว่า "เป็นห่วงแกจังเลย สงสารแกจังเลย แกเก่งนะทนเจ็บมาได้ ผ่านหมอ ผ่านยามาได้ ต่อไปก็พยายามเข้านะ(ทนเจ็บ หาหมอ ทนเจ็บ หาหมอ) สู้ ๆ(?)" แค่นั้นมั้ง
.
นอกจากนั้นเรามีแรงบันดาลใจอีกแหล่งหนึ่ง ก็คือเพื่อนที่เปิดฟิตเนสและเป็นเทรนเนอร์ฝึกโยคะให้เรานี่แหล่ะ (เราชอบฝึกร่วมกับเทรนเนอร์ตรงที่เราได้ฟังความรู้จากเขา เขามองปัญหาเฉพาะตัวของเราและบอกวิธีแก้ให้เราได้ และความกระตือรือร้นของเขาก็ช่วยให้เรารู้สึกกระตือรือร้นขึ้น สนุกกว่าการพยายามฝ่าความขี้เกียจหรือความสำออยของตัวเองด้วยตัวคนเดียวมั้ง เรียกว่าต้องเสพย์ความรู้สึกรอบ ๆ ตัวมาเป็นแรงผลักดันมากกว่าการสะกดให้ตัวเองมุ่งไปสู่เป้าหมาย(-----)------- ส่วนคนที่สามารถทำได้ด้วยลำพังตัวเองเราก็นับถือและขอยอมใจเลยค่ะ) เทรนเนอร์คนนี้เรียนมาด้านกฎหมายและทำงานด้านกฎหมาย มีปัญหาสุขภาพติดตัวมาตั้งแต่อายุ 15 และน้ำหนักตัวเพิ่มสูงเพราะผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยยาและการทานอาหารหวานตามใจตัวเองเพื่อแก้เครียดเรื่องงาน งานด้านกฎหมายก็ไม่เป็นเวลาล่ำเวลา ทั้งเครียด ทั้งละเอียด ทั้งกดดัน แล้ววันหนึ่งเธอก็ถูกปัญหาเรื่องกระดูกสะโพกเกิดรอยร้าวประโคมใส่เข้าอีก ตอนฟังเธอเล่าอดีตเหล่านี้เธอก็บอกนะว่าช่วงเวลานั้นทรมานมาก และทนมาก(----) รวมทั้งมีข้ออ้างสารพัดครบทุกรูปแบบเพื่อไม่ออกกำลังกาย ทั้งเครียด ทั้งเหนื่อย ทั้งไม่มีเวลา (คนที่ทำงานเอกสาร ต้องต่อสู้ทั้งบรรดาผู้คนและเวลา รวมทั้งจราจรบนท้องถนนคงรู้ดี) สุดท้ายปวดร้าวจนทนไม่ไหว ถูกหมอบอกให้ฉีดสเตียรอยด์ ตอนแรกเธอนึกว่าเหมือนฉีดยาเข็มนึงทั่วไป จึ่กเดียวหายปวด แต่ปรากฎว่าต้องไปนอนขึงอยู่บนเตียงเพื่อฉายรังสีและฉีดเข็มก้านเบ้อเร้อเพื่อแทงไปให้ถึงจุดร้าวของกระดูกสะโพกค่ะ (แต่หลังจากนั้นก็ยังอุตส่าห์แบกความระบมของร่างหายไปดูหนังเดดพูลต่อได้เพราะเสียดายค่าตั๋ว(----)) และตรงนี้ก็เป็นจุดผลิกผันความคิดของเธอว่าต่อไปนี้จะปล่อยตัวและหวังพึ่งแต่ยาและการรักษาของหมอไม่ได้
.
เหตุการณ์ที่เล่าคือเรื่องราวเมื่อ1-2ปีก่อน ถ้าถามว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง ก็เรียกว่าทั้งชีวิตผ่านมรสุมเรื่องปัญหาสุขภาพมาหลายปี ผ่านการผ่าตัดมาหลายครั้ง-----ครั้งที่เฉียดว่าจะไม่รอดก็มี แต่อาศัยว่าเธอเป็นคนที่ถ้าตัดสินใจทำแล้วก็ต้องทำให้สุด----ทะลุสุด-----ปัจจุบันเทรนเนอร์โยคะของเราคนนี้ลดน้ำหนักตัวเองลงได้ 10 กิโลด้วยการออกกำลังกาย จากที่แค่เดินก็ลำบากแต่ตอนนี้เล่นท่าโยคะที่เราเห็นแล้วฮือฮานับถือได้ และมีความรู้บวกกับประสบการณ์มาแนะนำสอนโยคะให้เราได้ด้วย สุขภาพภายในร่างกายดีขึ้นเหมือนโกหก เรียกว่าการรักษาบำบัดอย่างซื่อตรงไม่ทรยศหักหลังเธอเลยจริง ๆ (บางทีสิ่งที่ร่างกายคนเราต้องการจากเราก็มีเพียงเท่านี้) ----- แต่ถามว่าทุกอย่างเรียบร้อยสวยหรูเหมือนชีวิตซินเดอเรลล่าหลังเจ้าชายพาตัวกลับวังเลยมั้ย ก็ไม่ซะทีเดียว ปัจจุบันเธอก็ยังต่อสู้และคอยระมัดระวังสังเกตกับอาการเจ็บป่วยบาดเจ็บของตัวเองเรื่อย ๆ ล่าสุดก็ปวดขาจัดเพราะไปฝืนทำงานและขับรถไปกลับศาล 4 ชม.ภายในหนึ่งวัน (เธอเขียนไดอารี่ไว้ในเพจนี้ค่ะ
https://www.facebook.com/mysantaros/ ใครที่อยากฟันฝ่าปัญหาสุขภาพด้วยการออกกำลังกายและอยากหาใครสักคนที่กำลังสู้อยู่กับสิ่งเหล่านั้นอยู่ไปด้วยกัน แนะนำให้ลองเข้าไปอ่านดูค่ะ เพราะตอนนี้เธอ(เทรนเนอร์)ของเราก็กำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้ มีอะไรให้ศึกษามากมายทั้งทางที่เป็นโทษทั้งทางที่เป็นคุณ) -------- ข้อสรุปที่ได้จากเรื่องราวตรงนี้ก็คือ การออกกำลังกายคือวิธีการขอบคุณร่างกายที่ดี ทำอย่างถูกวิธี พอเหมาะ พอดี ไม่โหม ไม่หย่อน และก็หาไลฟ์สไตล์และการดำเนินชีวิตที่ดีและเหมาะกับตัวเรา ชีวิตเรา ร่างกายเราจริง ๆ ให้เจอค่ะ (การกินของอร่อยหรือใช้ชีวิตตามใจคือการขอบคุณจิตใจตัวเรา การออกกำลังกายก็คือการขอบคุณร่างกายตัวเรา ?)
.
บางทีการลุกขึ้นมาออกกำลังกายก็คือการลุกขึ้นมาสังเกตและเข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็นจริง ๆ ทั้งร่างกายและจิตใจให้พบก็ได้นะคะ
.
เอาเป็นสรุปว่า-------- หากเห็นใครเขาเริ่มหรือจริงจังกับการออกกำลังกายก็อย่าไปหงุดหงิดแค่นแคะเขาเลย ชวนกินอะไรก็ไม่ไป เอะอะก็แคลอรี่ เอะอะก็ต้องเบิร์นออก ดูดัดจริต ดูเรื่องมาก ------- ความจริงแล้วการออกกำลังกายคือเรื่องลำบากมาก ช่วงเริ่มต้องฝืนทั้งใจฝืนทั้งร่างกาย แต่ที่ทำเพราะเห็นเป้าหมายเหมือนดาวลิบ ๆ และบอกตัวเองเสมอว่าที่ตรงนั้นมีจริงและเราไปถึงตรงนั้นได้ ที่เห็นคนหุ่นสวยหรือกล้ามขึ้นเล่าการออกกำลังด้วยรอยยิ้มหรือหัวเราะบันเทิงได้เพราะเขาผ่านช่วงลำบากมาแล้ว คนเราถ้าผ่านอะไรที่เราคิดว่าสิ่งที่ได้คุ้มกับสิ่งที่ลำบากเขาจะหัวเราะกันทั้งนั้นแหล่ะ และกว่าจะอยู่ตัวจนร่างกายเรียกร้องการออกกำลังเป็นกิจวัตรทุกวันมันก็ใช้เวลาจริง ๆ------ ใครที่อยากเริ่มหรือกำลังออกกำลังกายอยู่เพื่อบำบัดอาการเจ็บป่วยหรือเพื่อรูปร่างหรือเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเรียกสิ่งใหม่ ๆ มาสู่ชีวิตตัวเอง เราขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ เรามาพยายามไปด้วยกัน ตอนนี้เป้าหมายหลักเราก็เรื่องรักษารูปร่างและบำบัดร่างกายจากการใช้ชีวิตติดโต๊ะนี่แหล่ะค่ะ ร่างกายก็คือเพื่อนคนหนึ่งของเรา เราอยู่กับเขา เขาอยู่กับเรา ตั้งแต่เกิดจนถึงวันตาย ดูแลรักษาเขาหน่อย แล้วเขาก็จะเรียกเรื่องดีต่าง ๆ รอบตัวมาที่ตัวเราเองนี่แหล่ะ
.
ขอบคุณมากนะคะที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้
.
ปล. ปัจจุบันฝึกโยคะเพื่อบำรุงความยืดหยุ่นของร่างกายยืดเส้นยืดสาย ฝึกเวทเทรนเนอร์และคาร์ดิโอเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและกระชับรูปร่าง (ขอบคุณเทรนเนอร์ค่ะที่ให้เราเป็นนักเรียนลองคอร์ส------ประหยัดเราเลย ฮือ) ........ผลคือตอนนี้น้ำหนักก็ยังไม่ลง ไม่ขยับ ไม่ต่างจากตอนไม่ออกกำลังกาย #ฉึ่ง .....แต่อาการปวดหลังจากการนั่งพื้นเล่นคอมน้อยลง และคิดเอาเองว่าอย่างน้อยร่างกายเราก็คงสุขภาพดีกว่าตอนไม่ได้ออกล่ะ(-------) /การสะกดจิตตัวเองของสาวเหล่าะแหล่ะ
แรงบันดาลใจในการออกกำลังกายของสาวเหล่าะแหล่ะอายุ30+กับนน.ตัว53kg
.
อารัมภบทก่อน เราเป็นผู้หญิงชอบอยู่ในห้อง หน้าคอม ไม่ออกไปไหน เรียนเกี่ยวกับเอกสาร งานอดิเรกคือการวาดรูปวาดการ์ตูนโดยมีคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลัก เรียกว่าเกิน 60%ของเวลาชีวิตคือการอยู่ในห้อง นั่งบนเก้าอี้ และตัวติดโต๊ะ จนพ่อที่บ้านเตือนลอย ๆ ว่านั่งจนก้นบานบ่อย ๆ หมายจะให้เราลุกออกกำลังบ้างแต่ก็ไม่ทำ(------) ------ เป็นอย่างนี้มา 30 ปีแล้วพึ่งนึกขึ้นได้ว่า เอ้อ-----เรายังไม่เคยมีแฟนเลยนะ(----) ถ้าเวลายังไหลผ่านไปและอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทางเดียวที่จะทำให้เรายืดระยะเวลาหาแฟนได้(-----)คือต้องรักษารูปร่างและสุขภาพ (แรงบันดาลใจโก๊ะมาก) ด้านนิสัยกมลสันดาน(---)หรือเรื่องราวภายในใด ๆ ก็ทยอยปรับแก้ตามกันไปทีหลัง
.
เรามีความสูง 161 น้ำหนัก 52-53 kg บางคนก็บอกว่าผอมอยู่แล้ว ดีอยู่แล้ว แต่เวลาแก้ผ้าส่องกระจกในห้องตัวเองจะสังเกตุเห็นว่าก้นใหญ่ แขนเละ และสะโพกหย่อน(----) ต้นขาก็ไม่เรียวสวย เรียกว่าอิจฉาผู้หญิงที่ขาเรียวกว่าตัวเองได้ทุกคนบนโลก อยากจะเพรียวได้อย่างคนนั้นคนนี้มั่ง ก็เลยไปเข้าคอร์สฟิตเนสแอนด์โยคะที่เพื่อนสมัยเรียนปริญญาตรีด้วยกันมาเปิดสอน ซึ่งเขาก็พึ่งช่วงเริ่มเปิด กำลังต้องฝึกการเป็นเทรนเนอร์มือใหม่ ลูกค้ามือใหม่อย่างเราก็เลยได้อนิสงค์แบบwin-win ได้รับการดูแลและเวลามากกว่าค่าคอร์สที่จ่ายไป ------ สรุปว่าเรามีทัศนคติเกี่ยวกับการออกกำลังกายว่า 1. ได้รูปร่าง 2. ได้สุขภาพ 3. ได้บำบัดบริหาร 4. ได้วินัยและอะไรอีกก็ไม่รู้(-----) เรียกว่าไม่ค่อยมีแง่คิดด้านลบกับการออกกำลังกายหรอก ช่วงที่ขี้เกียจไม่ยอมทำก็จะโทษตัวเองมากกว่าไปคิดลบกับสิ่งอื่น และเชื่ออย่างนึงว่าถ้าร่างกายเราเจ็บปวดเพราะการทำงานผิดท่าหรือใช้ชีวิตไม่ถูกสุขลักษณะ ออกกำลังกายนั้นแหล่ะคือยารักษาที่ดีที่สุดและถูกโรค ดังนั้นนอกจากเรื่องหวังรูปร่างแล้ว เราที่ใช้ชิวิตติดเก้าอี้ติดโต๊ะจนปวดหลังปวดไหล่มาเรื่อย ๆ ก็ควรคืนกำไรให้ร่างกายด้วยการบำบัดฟื้นฟูเขาบ้าง (ตอนนี้ไปฟิตเนสสม่ำเสมอ อาทิตย์ละ2-3ครั้งติดต่อ 2 เดือน.....น้ำหนักไม่ลดเลยจ้า แต่บรรเทาอาการปวดไหล่ปวดเอวและค้นพบว่าแข้งขาข้อเข่าเรายืดไม่ขึ้น ปวกเปียกเหล่าะแหล่ะสิ้นดี(----/สายกดดันตัวเอง))
.
ก็เรียกว่าเรามีความคิดความเข้าใจเกี่ยวกับการออกกำลังกายจากการมโนในจินตนาการของตัวเอง(-----)เป็นหลัก เข้าคอร์สไปก็ไม่ได้เห็นผลทันตาทันที เทรนเนอร์กำชับให้ทานอาหารคลีน เน้นสมดุล ก็ทำได้ราว40-50%ของที่โค้ชคาดหวัง(----) ยังหักดิบตัวเองทานแต่อกไก่ต้มและปลาเผาไม่ไหว น้ำหนักก็เลยยังไม่ลงแต่ชีวิตได้ตัดแป้งและน้ำตาลออกไปมากขึ้น ได้คิดอะไรจุก ๆจิก ๆ และบังคับตัวเองเพื่อร่างกายตัวเองมากขึ้น จนบางทีรู้สึกสนิทกับตัวเองขึ้นมาเหมือนเราดูแลเขาแบบเพื่อนหรือแฟนอยู่(.....)------ แต่บางครั้งก็มีเรื่องสงสัย บางทีคนรอบตัวหรือคนใกล้ตัวเราเขาชอบบ่นว่าตัวเขามีปัญหาสุขภาพ ปวดเอวปวดหลังในระดับวิกฤตกว่าตัวเราหลายขุม ทนทรมานกับอาการปวดเรื้อรังเป็นเดือน ๆ อาศัยยาแก้ปวดทุกวันรวมเป็นกำ ๆ ฝืนร่างกายทำงานต่อได้เป็นเรื่องน่ายกย่อง สุดท้ายต้องส่งร่างกายไปถึงมือหมอให้หมอจับขึงเตียงช็อตไฟฟ้าและดัดกายภาพบำบัดสารพัด....เธอเล่าด้วยความหน้าชื่นตาบานประหนึ่งนักรบที่ผ่านสงครามร้ายแรงและรอดชีวิตมาได้อย่างภูมิใจ แต่พอเราแนะนำว่าให้ออกกำลังกายสิ ค่อย ๆ บริหารปรับและฟื้นฟูร่างกายเรื่อย ๆ เธอกลับมองเรากลับเหมือนถูกเราบอกตัดเพื่อน(-----) หรือบางทีเขาแค่อยากได้ยินเราบอกว่า "เป็นห่วงแกจังเลย สงสารแกจังเลย แกเก่งนะทนเจ็บมาได้ ผ่านหมอ ผ่านยามาได้ ต่อไปก็พยายามเข้านะ(ทนเจ็บ หาหมอ ทนเจ็บ หาหมอ) สู้ ๆ(?)" แค่นั้นมั้ง
.
นอกจากนั้นเรามีแรงบันดาลใจอีกแหล่งหนึ่ง ก็คือเพื่อนที่เปิดฟิตเนสและเป็นเทรนเนอร์ฝึกโยคะให้เรานี่แหล่ะ (เราชอบฝึกร่วมกับเทรนเนอร์ตรงที่เราได้ฟังความรู้จากเขา เขามองปัญหาเฉพาะตัวของเราและบอกวิธีแก้ให้เราได้ และความกระตือรือร้นของเขาก็ช่วยให้เรารู้สึกกระตือรือร้นขึ้น สนุกกว่าการพยายามฝ่าความขี้เกียจหรือความสำออยของตัวเองด้วยตัวคนเดียวมั้ง เรียกว่าต้องเสพย์ความรู้สึกรอบ ๆ ตัวมาเป็นแรงผลักดันมากกว่าการสะกดให้ตัวเองมุ่งไปสู่เป้าหมาย(-----)------- ส่วนคนที่สามารถทำได้ด้วยลำพังตัวเองเราก็นับถือและขอยอมใจเลยค่ะ) เทรนเนอร์คนนี้เรียนมาด้านกฎหมายและทำงานด้านกฎหมาย มีปัญหาสุขภาพติดตัวมาตั้งแต่อายุ 15 และน้ำหนักตัวเพิ่มสูงเพราะผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยยาและการทานอาหารหวานตามใจตัวเองเพื่อแก้เครียดเรื่องงาน งานด้านกฎหมายก็ไม่เป็นเวลาล่ำเวลา ทั้งเครียด ทั้งละเอียด ทั้งกดดัน แล้ววันหนึ่งเธอก็ถูกปัญหาเรื่องกระดูกสะโพกเกิดรอยร้าวประโคมใส่เข้าอีก ตอนฟังเธอเล่าอดีตเหล่านี้เธอก็บอกนะว่าช่วงเวลานั้นทรมานมาก และทนมาก(----) รวมทั้งมีข้ออ้างสารพัดครบทุกรูปแบบเพื่อไม่ออกกำลังกาย ทั้งเครียด ทั้งเหนื่อย ทั้งไม่มีเวลา (คนที่ทำงานเอกสาร ต้องต่อสู้ทั้งบรรดาผู้คนและเวลา รวมทั้งจราจรบนท้องถนนคงรู้ดี) สุดท้ายปวดร้าวจนทนไม่ไหว ถูกหมอบอกให้ฉีดสเตียรอยด์ ตอนแรกเธอนึกว่าเหมือนฉีดยาเข็มนึงทั่วไป จึ่กเดียวหายปวด แต่ปรากฎว่าต้องไปนอนขึงอยู่บนเตียงเพื่อฉายรังสีและฉีดเข็มก้านเบ้อเร้อเพื่อแทงไปให้ถึงจุดร้าวของกระดูกสะโพกค่ะ (แต่หลังจากนั้นก็ยังอุตส่าห์แบกความระบมของร่างหายไปดูหนังเดดพูลต่อได้เพราะเสียดายค่าตั๋ว(----)) และตรงนี้ก็เป็นจุดผลิกผันความคิดของเธอว่าต่อไปนี้จะปล่อยตัวและหวังพึ่งแต่ยาและการรักษาของหมอไม่ได้
.
เหตุการณ์ที่เล่าคือเรื่องราวเมื่อ1-2ปีก่อน ถ้าถามว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง ก็เรียกว่าทั้งชีวิตผ่านมรสุมเรื่องปัญหาสุขภาพมาหลายปี ผ่านการผ่าตัดมาหลายครั้ง-----ครั้งที่เฉียดว่าจะไม่รอดก็มี แต่อาศัยว่าเธอเป็นคนที่ถ้าตัดสินใจทำแล้วก็ต้องทำให้สุด----ทะลุสุด-----ปัจจุบันเทรนเนอร์โยคะของเราคนนี้ลดน้ำหนักตัวเองลงได้ 10 กิโลด้วยการออกกำลังกาย จากที่แค่เดินก็ลำบากแต่ตอนนี้เล่นท่าโยคะที่เราเห็นแล้วฮือฮานับถือได้ และมีความรู้บวกกับประสบการณ์มาแนะนำสอนโยคะให้เราได้ด้วย สุขภาพภายในร่างกายดีขึ้นเหมือนโกหก เรียกว่าการรักษาบำบัดอย่างซื่อตรงไม่ทรยศหักหลังเธอเลยจริง ๆ (บางทีสิ่งที่ร่างกายคนเราต้องการจากเราก็มีเพียงเท่านี้) ----- แต่ถามว่าทุกอย่างเรียบร้อยสวยหรูเหมือนชีวิตซินเดอเรลล่าหลังเจ้าชายพาตัวกลับวังเลยมั้ย ก็ไม่ซะทีเดียว ปัจจุบันเธอก็ยังต่อสู้และคอยระมัดระวังสังเกตกับอาการเจ็บป่วยบาดเจ็บของตัวเองเรื่อย ๆ ล่าสุดก็ปวดขาจัดเพราะไปฝืนทำงานและขับรถไปกลับศาล 4 ชม.ภายในหนึ่งวัน (เธอเขียนไดอารี่ไว้ในเพจนี้ค่ะ https://www.facebook.com/mysantaros/ ใครที่อยากฟันฝ่าปัญหาสุขภาพด้วยการออกกำลังกายและอยากหาใครสักคนที่กำลังสู้อยู่กับสิ่งเหล่านั้นอยู่ไปด้วยกัน แนะนำให้ลองเข้าไปอ่านดูค่ะ เพราะตอนนี้เธอ(เทรนเนอร์)ของเราก็กำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้ มีอะไรให้ศึกษามากมายทั้งทางที่เป็นโทษทั้งทางที่เป็นคุณ) -------- ข้อสรุปที่ได้จากเรื่องราวตรงนี้ก็คือ การออกกำลังกายคือวิธีการขอบคุณร่างกายที่ดี ทำอย่างถูกวิธี พอเหมาะ พอดี ไม่โหม ไม่หย่อน และก็หาไลฟ์สไตล์และการดำเนินชีวิตที่ดีและเหมาะกับตัวเรา ชีวิตเรา ร่างกายเราจริง ๆ ให้เจอค่ะ (การกินของอร่อยหรือใช้ชีวิตตามใจคือการขอบคุณจิตใจตัวเรา การออกกำลังกายก็คือการขอบคุณร่างกายตัวเรา ?)
.
บางทีการลุกขึ้นมาออกกำลังกายก็คือการลุกขึ้นมาสังเกตและเข้าใจสิ่งที่ตัวเองเป็นจริง ๆ ทั้งร่างกายและจิตใจให้พบก็ได้นะคะ
.
เอาเป็นสรุปว่า-------- หากเห็นใครเขาเริ่มหรือจริงจังกับการออกกำลังกายก็อย่าไปหงุดหงิดแค่นแคะเขาเลย ชวนกินอะไรก็ไม่ไป เอะอะก็แคลอรี่ เอะอะก็ต้องเบิร์นออก ดูดัดจริต ดูเรื่องมาก ------- ความจริงแล้วการออกกำลังกายคือเรื่องลำบากมาก ช่วงเริ่มต้องฝืนทั้งใจฝืนทั้งร่างกาย แต่ที่ทำเพราะเห็นเป้าหมายเหมือนดาวลิบ ๆ และบอกตัวเองเสมอว่าที่ตรงนั้นมีจริงและเราไปถึงตรงนั้นได้ ที่เห็นคนหุ่นสวยหรือกล้ามขึ้นเล่าการออกกำลังด้วยรอยยิ้มหรือหัวเราะบันเทิงได้เพราะเขาผ่านช่วงลำบากมาแล้ว คนเราถ้าผ่านอะไรที่เราคิดว่าสิ่งที่ได้คุ้มกับสิ่งที่ลำบากเขาจะหัวเราะกันทั้งนั้นแหล่ะ และกว่าจะอยู่ตัวจนร่างกายเรียกร้องการออกกำลังเป็นกิจวัตรทุกวันมันก็ใช้เวลาจริง ๆ------ ใครที่อยากเริ่มหรือกำลังออกกำลังกายอยู่เพื่อบำบัดอาการเจ็บป่วยหรือเพื่อรูปร่างหรือเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเรียกสิ่งใหม่ ๆ มาสู่ชีวิตตัวเอง เราขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ เรามาพยายามไปด้วยกัน ตอนนี้เป้าหมายหลักเราก็เรื่องรักษารูปร่างและบำบัดร่างกายจากการใช้ชีวิตติดโต๊ะนี่แหล่ะค่ะ ร่างกายก็คือเพื่อนคนหนึ่งของเรา เราอยู่กับเขา เขาอยู่กับเรา ตั้งแต่เกิดจนถึงวันตาย ดูแลรักษาเขาหน่อย แล้วเขาก็จะเรียกเรื่องดีต่าง ๆ รอบตัวมาที่ตัวเราเองนี่แหล่ะ
.
ขอบคุณมากนะคะที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้
.
ปล. ปัจจุบันฝึกโยคะเพื่อบำรุงความยืดหยุ่นของร่างกายยืดเส้นยืดสาย ฝึกเวทเทรนเนอร์และคาร์ดิโอเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและกระชับรูปร่าง (ขอบคุณเทรนเนอร์ค่ะที่ให้เราเป็นนักเรียนลองคอร์ส------ประหยัดเราเลย ฮือ) ........ผลคือตอนนี้น้ำหนักก็ยังไม่ลง ไม่ขยับ ไม่ต่างจากตอนไม่ออกกำลังกาย #ฉึ่ง .....แต่อาการปวดหลังจากการนั่งพื้นเล่นคอมน้อยลง และคิดเอาเองว่าอย่างน้อยร่างกายเราก็คงสุขภาพดีกว่าตอนไม่ได้ออกล่ะ(-------) /การสะกดจิตตัวเองของสาวเหล่าะแหล่ะ