สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมจะมารีวิวทริป BackPack ที่เมืองจีนครั้งแรกของผมเมื่อปีที่แล้ว 20/01/2016-25/01/2016 โดยจุดเริ่มต้นมาจากที่ผมไปเจอ review ของเพื่อน
http://pantip.com/topic/33830935 ทำเกิดความอยากไปบ้าง ประกอบกับไป airasia ลดราคาพอดีทำให้ ก็เลยจองกันไปเลย โดยพรรคพวกที่ไปกับผมก็เป็นเพื่อนสมัยเรียน โดยปกติพวกเราจะจัดทริปกันปีละครั้งสองครั้งอยู่แล้ว ทุกคนไม่สามารถพูดจีนได้เลย

ทำให้เกิดความกลัวหลายๆอย่าง จึงเริ่มเตรียมตัวกันมาค่อนข้างนานอยู่ 555 ขอให้ทุกคนที่ติดตามอ่านมาสนุกด้วยกันนะครับ

การเดินทางนี้ที่มีเป้าหมายคือ ภูเขาหิมะมังกรหยก Jade Dragon Mountain เป็นเป้าหมายหลัก พบกับปัญหาที่ต้องแก้ในหลายอย่างในจีน การเลือกทางที่ผิดอาจต้องเหนื่อยกว่าเดิมหลายเท่า ทริปนี้บอกเล่าบันทึกการเดินทางของผมที่ไปกับเพื่อนรวมกัน 5 ชีวิต ประสบอะไรมั้งมาดูกัน

===========================================================================
วันที่ 0 "การเตรียมตัวก่อนไปจีน"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับการเตรียมตัวก่อนไปจีนเรามาเริ่มกันที่การทำวีซ่าก่อนเลยดีกว่า ซึ่งจากที่ผมไปศึกษาตามเว็บของสถานฑูตมาพบว่า
หลักฐานที่บอกมามันไม่ครบ ซึ่งมาปัญหากันหลายคนมากซึ่งควรเตรียมไปแบบเผื่อมาก
วีซ่าที่เรายื่นจะเป็นชนิด L ซึ่งเป็นวีซ่านักท่องเที่ยว โดยหลักฐานหลักที่ต้องเตรียมมามีดังนี้
1.Passport โดยอายุเหลือมากกว่า 6 เดือน
2.เอกสารการจองเครื่องบิน โดยต้องระบุชื่อคนจอง และวันเดินทางชัดเจน
3.เอกสารการจองที่พัก ต้องมีการระบุชื่อคนจองชัดเจน (ผมโดนมาแหละปริ้นไปไม่ติดชื่อคนจองโดนยื่นใหม่)
4.รูปถ่าย 2 นิ้ว หน้าตรง พื้นหลังสีขาวจำนวน 1 รูป
5.หน้าวีซ่าจีนในกรณีที่เคยทำมาแล้วภายใน 2 ปี จะใช้ยื่นแทน statement ได้
6.เอกสารใบมอบอำนาจในกรณีที่ ให้คนอื่นยื่นแทน(ต้องมีสำเนาบัตรประชาชนหรือสำเนา Passport แนบมาด้วย)
7.สำเนาทะเบียนบ้าน
8.แบบ Form การยื่นวีซ่า http://www.chinaembassy.or.th/th/lsfw/bgxz/P020131004565461972575.pdf
การยื่นวีซ่ามาสามารถทำได้ 2 วิธี คือ 1.ฝากเอเย่นยื่นให้ 2.ยื่นเองซะเลย ซึ่งพวกผมได้ใช้บริการมาทั้ง 2 วิธีแล้ว
เรามาดูกันที่วิธีแรก ยื่นผ่านเอเย่น
เอเย่นยื่นวีซ่าจีนมาเยอะมากหลากหลายราคามากมีตั้งแต่ 200-1000 บาทต่อคน ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนคนด้วย ซึ่งพวกผมได้มาในราคา 300 บาทต่อคน
หลักฐานสำหรับยื่นวีซ่าผ่านเอเย่นไม่ยากมาก แค่มี 1.Passport 2.รูปถ่าย 2 นิ้ว 1 รูป 3.ข้อมูลสำหรับกรอกเอกสาร แค่นี้เขาก็ทำให้เราได้แล้ว
(โกงจังวะ TT)
ยื่นผ่านเอเย่นโดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์กว่า(จากที่พวกผมยื่นมา) ซึ่งเราก็ควรยื่นตั้งแต่แรกๆจะได้ไม่ต้องมีปัญหาเวลาจะใช้งานในช่วงที่ยื่นอยู่
วิธีที่ สอง ยืนเอกสารเอง
เราสามารถยื่นเอกสารทำวีซ่าจีนได้สองที่ คือที่พระราม 9 (สถานฑูต ตอนนี้ให้ยื่นแค่ที่มักกะสันแล้ว) มักกะสัน (ศูนย์บริการทำวีซ่า) ซึ่งยื่นที่ไหนก็ได้เสียค่าทำวีซ่าเท่ากันทั้งสองที่
เนื่องจากผมไม่สามารถไปยื่นเองได้จึงได้ฝากเพื่อนไปยื่นให้ ซึ่งพยายามเตรียมเอกสารให้ครบมากที่สุดแต่ก็ไม่พลาดเอกสารไม่ครบจนได้วุ่นกันเลยทีเดียว
เวลาสำหรับยื่นวีซ่าเริ่มต้นที่เวลา 9:30 น โดยปกติควรไปเช้าๆเพื่อไปเอาบัตรคิวมาก่อนเพราะคนไปทำเยอะ เอกสารหลักฐานควรเตรียมให้ครบจริงๆ ไม่งั้นจะโดยไล่ออกมาให้ไปหาเอกสารมาให้ครบซึ่งจะเสียเวลามาก
สำหรับการยื่นวีซ่าจีนจะใช้เวลาประมาณ 4 วันทำการไม่รวมวันหยุด ซึ่งหลังจากยื่นไปแล้วเขาจะนัดวันให้เรามารับอีกที
สำหรับค่าวีซ่ารวมราคาจะอยู่ที่ 1500 บาทต่อเล่ม ซึ่งเพิ่งปรับเมื่อตอนกลางปี 2015 (ให้ตายเถอะ)
วีซ่าที่เราได้จะสามารถเข้าประเทศจีนได้ครั้งเดียว และอยู่ได้ 30 วัน
Application ที่จำเป็นเมื่อเวลา backpack ที่จีน
1. Map Offline ในที่นี้ผมขอเสนอ Map.me โดยเราสามารถโหลด Map มาดูในระบบ Offlineได้ซึ่งมีทั้งภาษาอังกฤษและจีนอยู่ในแผนที่ด้วย(ปกติคนจีนอ่าน ภาษาอังกฤษไม่ออก) ผมรอดพ้นการหลงทางก็ด้วย App นี้แหละ เวลาคนจีนไม่เข้าใจว่าเราจะไปที่ไหนให้เอาแมบนี้แหละมาช่วยชี้จุดมันทำให้เราบอกทางกันง่ายขึ้นมาก
2.Wechat ในประเทศจีนบล็อคซะเกือบทุกอย่างแต่ จึงสามารถใช้แค่ wechat เอาไว้ติดต่อกันเวลาอยู่กันคนละที่ หรือใช้ดทรฟรีหากันก็ได้ โดยพวกผมใช้ wechat ต่อเพื่อที่คนพูดจีนในไทยมาช่วยแปล หรือต่อรองกับคนจีน ทำให้การเดินทางเราง่ายขึ้น อีกอย่างเราสามารถขอ wechat จาก Hostel ก็ได้นะครับถ้าเขาให้ ซึ่งมันจะดีมากเลยเพราะอย่างน้อยเขาก็พูดภาษาอังกฤษได้
3.Google translate ดูเหมือนจะเป็นแค่App แค่แปลภาษาปกติ แต่ว่ามันมีดีกว่านั้น เวลาไปร้านอาหารเราจะเจอเมนูจีนล้วนๆไม่มีภาพปน นี่แหละปัญหาใหญ่เลย Google translate สามารถแปลข้อความจากรูปภาพได้ทำให้เราพออ่านเมนูรู้เรื่องมากขึ้น อย่างน้อยก็ได้รู้ว่ามันคือเนื้อหมูจริงๆนะ แต่ google โดนบล็อคที่จีนต้อง raoming เอาถึงใช้ได้
4.Dictionary ภาษาจีนอันนี้มีก็ดี แต่เวลาจริงๆเราพูดจีนคนจีนมักฟังไม่เข้าใจเพราะเหมือนเราพูดเพี้ยนมาก 555 เอาไว้ชี้ให้คนจีนอ่านจะง่ายกว่า
5.Camera App กล้องถ่ายรูปไว้ถ่ายพวกสัญลักษณ์ครับ พวกห้องน้ำ หรือป้ายรถเมล์ เพราะมันง่ายว่าถามด้วยภาษาจีนจริงๆนะ
6. VPN เนื่องจากท่านประเทศจีนมีการบล๊อคเกือบทุกสิ่งอย่างเราจะต้องมีทางออกในการไปเช็คอินเฟสบุคเพื่ออวดเพื่อนๆ App ที่เพื่อนผมใช้ก็จะเป็น OpenVPN แต่สำหรับคนที่ Data roaming ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้นะครับ
อย่าลืมเอา power bank ไปด้วยนะครับ ต้องใช้พึ่ง App มากๆเดี๋ยวแบตจะหมดไว
ไปจีนควรเตรียมอะไรบ้าง?
จากที่ผมได้ไปประสบปัญหาที่หลากหลายในจีนมาผมได้ข้อสรุปมาแหละ ว่าควรมีอะไรมั้งเวลาเราไปเที่ยวจีน
1.Internet อันนี้สำคัญมากไว้ติดต่อหากันเราสามารถ Data roaming จากไทยไปได้ควรมีจริงๆ ผมว่ามีสักอย่างน้อยสองคนกำลังดี
2.SIM โทรศัพท์จีน ถามว่าเราเปิด Data roaming แล้วจะเอาไปทำไมวะ ซึ่งตอนแรกผมก็คิดงั้นแหละ พอเอาเข้าจริงโคตรสำคัญเลย
ที่ต้องให้มี มันมีเหตุผลไว้โทรภายภายในประเทศครับ ซึ่ง Data roaming มันไม่รองรับค่าโทรเรา แล้วใช้โทรหาใครวะเนี่ย ซึ่งจริงๆเราใช้โทรหา Hostel ก็ได้ ซึ่งเขาพูดภาษาอังกฤษได้ สามารถช่วยเราเวลางงกับคนจีนได้ บอกเลยมันสำคัญมาก
3.ทิชชูเปียกครับ เอาไปไม่ต้องเยอะมากแต่ก็ต้องมี เพราะห้องน้ำพี่จีนมันไม่ธรรมดาจริงๆ แต่หลายๆที่ก็โอเคในระดับนึงแล้วครับ
4.Power bank อันนี้ก็รู้กันอยู่ ไว้ชาตโทรศัพท์ไงหละ ยิ่งฤดูหนาวแบทหมดโคตรไว จาก 50% เหลือ 20% ในพริบตาได้เลย
5.ปลั๊คพ่วงครับ อันนี้แล้วแต่เลยครับแต่ผมพกไปเพราะที่พักปลั๊กมันน้อยยยยยยยยยย ของต้องชาร์ตมันเยอะ
6.ยา อันนี้สำคัญมากควรพกยาที่ควรพกเวลาเดินทาง โดยมียาหลักที่ควรมีก็จะเป็น ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก ยาแก้เมารถ ยาแก้ท้องเสีย ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาดม เกลือแร่
7.หนังสือนำเที่ยว อันนี้มีก็ดีครับจริงๆพวกผมก็พกไปนะแต่ก็ไม่ได้เปิดใช้เลย 555 ใช้ Hostel แนะนำเอาอาจได้ที่แปลกๆด้วย
8.ช็อคโกแลต หรืออาหารแห้ง ยิ่งตอนขึ้นภูเขาหิมะนี่สำคัญมาก ช๊อตโกแลตเป็นแหล่งพลังงานอย่างดีเลย
9.กระติกน้ำร้อน ถ้าเราไปช่วงอากาศหนาวอันนี้ควรพกไปเลย มีให้เติมหลายที่อยู่เหมือนกัน ร้านอาหารไม่มีน้ำเปล่าให้กิน
10.รูปสถานที่ในแผนที่เราจะไปและมีชื่อภาษาจีนเพราะคนจีนอ่านอังกฤษไม่ออก เวลาหลงใช้อันนี้ถามทางง่ายสุดแหละ
11. ใบจองที่พัก แบบมีภาษาจีนและเบอร์โทรเพราะใช้ถามทางได้
ปล.อย่าลืมความกล้าในการต่อราคาคนจีนต้องจัดหนักๆ
===========================================================================
วันที่ 1 20/01/2016 "จุดเริ่มต้นของการเดิน(หลง)ทาง"

เครื่องบินไป Kunming เริ่มออกเวลา 9:00 เช้า
เวลาที่ใช้ในการเดินทางไป Kunming ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง นั่งกันไม่นาน
พวกผมถึง Kunming ก่อนเวลา ครึ่งชั๋วโมง มารับกระเป๋า เจอเรื่องช็อคมากมาก ซิปกระเป๋าเดินทางของผมแตก โคตรเห้

เซงมากๆเหมือนโดยเจาะกระเป๋ามาแก้เรื่องซิปอยู่สักพักเลยหละนานอยู่ เดินออกมาไปหาห้องน้ำไปเจอห้องน้ำในสนามบินครับโอ้โห ไม่มีชักโครกครับมีแต่บแบบนั่งยอง ขนาดในสนามบินนะเนี่ย
ระหว่างทางตรงทางออกมีคนจีนมีค่อยถามให้เหมารถ แบบตื้อมาก คือปัญหาคือเขาพูดจีนใส่เราด้วย แล้วเราฟังไม่รู้เรื่อง แล้วพยายามตามเราตลอดทางที่เราเดินเลย
ถ้าเขาพูดภาษาอังกฤษคงจะไปกับเขาแล้ว สิ่งแรกที่ผมทำคือผมไปถามหาแผนที่ โดยไปถามที่ร้านสะดวกซื้อในสนามบินครับ เขาฟังภาษาอังกฤษไม่ได้ต้องใบ้กันอยู่นาน
สุดท้ายได้แผนที่มาครับฟรีซะด้วย พอเปิดเท่านั้นแหละโคตรเงิบ เป็นภาษาจีนล้วนๆ สรุปคือใช้ไม่ได้นั้นเอง

หลังจากนั้นก็ไปถาม Information ซึ่งเขาพูดภาษาอังกฤษได้
ถามหาถึงรถบัสที่ไปเข้าเมืองครับ ซึ่งก็คือ shutter bus สาย 2 โดยราคาคนละ 25 หยวน เราต้องไปซื้อที่หน้าสนามบิน ข้างนอกอากาศเย็นมากซึ่งวันนี้ดูพยากรณ์อากาศพบว่าอยู่ที่ 10 C
หลังจากที่ซื้อตั๋วก็จะไปขึ้นรถครับ ปรากฎว่ารถออกไปต่อหน้าต่อตา !!! เลยต้องขึ้นอีกคันทีจอดอยู่รอรอบต่อไป นั่งรออยู่นานมากเพิ่งนึกได้ว่ารถมันออกทุกๆ ครึ่งชั่วโมงรอกันไปสิ กว่ารถจะได้ออกปาไปเกือบบ่ายสอง ซึ่งพวกเรามาถึง Kunming ตั้งแต่ 11:30 น สถานที่เราจะไปคือ สถานีรถไฟคุนหมิง ซึ่ง ในเมืองคุนหมิงดันมีสองที่ครับ
คือมีฝั่งเหนือกันฝั่งใต้ เงิบมากเพิ่งรู้ว่าแยกกันแบบนี้ รถไฟไปลี่เจียงจะต้องนั่งจากสถานีฝั่งใต้ ซึ่ง shutter bus จะไปสุดสายที่ Jinjing hotel มันจะใกล้สถานีรถไฟที่เราจะไป
นั่งไปประมาณ 1 ชั่วโมง ถ้าไม่มั่นใจว่าจะลงไหน ให้นั่งไปสุดสายครับเพราะเราต้องลงที่นั่นแหละครับ

เป้าหมายแรกของเราคือสถานีรถไฟคุนหมิง เพราะที่นั้นมีที่ฝากกระเป๋าอยู่ด้วย เมื่อเรามาถึงหน้า Jinjiang hotel สถานีรถไฟจะอยู่ไม่ไกลมากเดินไปได้ ที่ฝากกระเป๋าจะอยู่ข้างในสถานีรถไฟ

พอไปถึงที่ฝากกระเป๋าก็ได้คุยกันจนทครับ ปรากฎว่าเขาพูดอังกฤษไม่ได้เขาเลยใช้ภาษาใบ้ โดยใช้นิ้วไขว้กันคล้ายๆ กากบาท ตอนแรกเรานึกว่าห้ามฝากเพราะเพื่อนกระเป๋าใหญ่
โชคดีว่ามีคนจีนที่พูดภาษาอังกฤษมาพอดี เขาเลยบอกเราว่าที่ไขว้เป็นกากบาทคือ ราคา 10 หยวน (ภาษาจีนแปลว่าเลข10) ซึ่งสรุปแล้วราคาสำหรับฝากกระเป๋า สำหรับใบเล็กคือ 5 หยวน ใบใหญ่คือ 10 หยวน
เมื่อฝากแล้วเราจะได้พวกกุญแจมา ไว้สำหรับแลกคืน ทางเข้าสถานีรถไฟตรวจกระเป๋าด้วย มีทหารยืนเยอะมาก ยังกับค่ายทหารเลย ซึ่งได้ข่าวมาว่าปีก่อนหน้ามีการฆาตกรรมหมู่ทำให้มีการตรวจเข้มมาก

ตั๋วรถไฟพวกผมได้จองผ่านอินเตอร์เนตมาตั้งแต่ที่ไทยแล้ว โดยเขาให้ปริ้นใบจองมาเพื่อไปแลกตั๋ว พอไปถึงที่แรกตั๋วตกใจมาก คนโคตรเยอะต่อแถวกันยาวมาก

ไม่รู้ว่าจะเข้าช่องไหนดีเลยไปถามจนท พบว่าต้องไปที่ช่องที่ 8 ในสถานีรถไฟห้ามใช้ไม้เซลฟี่เพราะโดนมาแหละ 555 ตั๋วรถไฟจะต้องมี Passport มาเอาตั๋วด้วย พวกเราได้จองแบบ hard sleep 6 เตียงใน 1 ห้องซึ่งคือนอนแบบเตียงสามชั้น ถ้าเป็น soft sleep จะเป็นแบบ เตียงสองชั้น แนะนำว่า soft sleep ดีกว่าครับเพราะถ้าโอกาสได้ยึดเป็นห้องเราเลยจะง่ายกว่า หลังจากที่ได้ตั๋วรถไฟแล้วพวกเราก็ออกไปหาข้าวกินกันข้างนอกสถานี
[CR] [CR] ท้าลมหนาวกลางเมืองจีน Kunnming -> Lijiang -> Shangri-la 6 วัน 5 คืน
การเดินทางนี้ที่มีเป้าหมายคือ ภูเขาหิมะมังกรหยก Jade Dragon Mountain เป็นเป้าหมายหลัก พบกับปัญหาที่ต้องแก้ในหลายอย่างในจีน การเลือกทางที่ผิดอาจต้องเหนื่อยกว่าเดิมหลายเท่า ทริปนี้บอกเล่าบันทึกการเดินทางของผมที่ไปกับเพื่อนรวมกัน 5 ชีวิต ประสบอะไรมั้งมาดูกัน
วันที่ 0 "การเตรียมตัวก่อนไปจีน"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
===========================================================================
วันที่ 1 20/01/2016 "จุดเริ่มต้นของการเดิน(หลง)ทาง"
เครื่องบินไป Kunming เริ่มออกเวลา 9:00 เช้า
เวลาที่ใช้ในการเดินทางไป Kunming ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง นั่งกันไม่นาน
พวกผมถึง Kunming ก่อนเวลา ครึ่งชั๋วโมง มารับกระเป๋า เจอเรื่องช็อคมากมาก ซิปกระเป๋าเดินทางของผมแตก โคตรเห้
ระหว่างทางตรงทางออกมีคนจีนมีค่อยถามให้เหมารถ แบบตื้อมาก คือปัญหาคือเขาพูดจีนใส่เราด้วย แล้วเราฟังไม่รู้เรื่อง แล้วพยายามตามเราตลอดทางที่เราเดินเลย
ถ้าเขาพูดภาษาอังกฤษคงจะไปกับเขาแล้ว สิ่งแรกที่ผมทำคือผมไปถามหาแผนที่ โดยไปถามที่ร้านสะดวกซื้อในสนามบินครับ เขาฟังภาษาอังกฤษไม่ได้ต้องใบ้กันอยู่นาน
สุดท้ายได้แผนที่มาครับฟรีซะด้วย พอเปิดเท่านั้นแหละโคตรเงิบ เป็นภาษาจีนล้วนๆ สรุปคือใช้ไม่ได้นั้นเอง
ถามหาถึงรถบัสที่ไปเข้าเมืองครับ ซึ่งก็คือ shutter bus สาย 2 โดยราคาคนละ 25 หยวน เราต้องไปซื้อที่หน้าสนามบิน ข้างนอกอากาศเย็นมากซึ่งวันนี้ดูพยากรณ์อากาศพบว่าอยู่ที่ 10 C
หลังจากที่ซื้อตั๋วก็จะไปขึ้นรถครับ ปรากฎว่ารถออกไปต่อหน้าต่อตา !!! เลยต้องขึ้นอีกคันทีจอดอยู่รอรอบต่อไป นั่งรออยู่นานมากเพิ่งนึกได้ว่ารถมันออกทุกๆ ครึ่งชั่วโมงรอกันไปสิ กว่ารถจะได้ออกปาไปเกือบบ่ายสอง ซึ่งพวกเรามาถึง Kunming ตั้งแต่ 11:30 น สถานที่เราจะไปคือ สถานีรถไฟคุนหมิง ซึ่ง ในเมืองคุนหมิงดันมีสองที่ครับ
คือมีฝั่งเหนือกันฝั่งใต้ เงิบมากเพิ่งรู้ว่าแยกกันแบบนี้ รถไฟไปลี่เจียงจะต้องนั่งจากสถานีฝั่งใต้ ซึ่ง shutter bus จะไปสุดสายที่ Jinjing hotel มันจะใกล้สถานีรถไฟที่เราจะไป
นั่งไปประมาณ 1 ชั่วโมง ถ้าไม่มั่นใจว่าจะลงไหน ให้นั่งไปสุดสายครับเพราะเราต้องลงที่นั่นแหละครับ
เป้าหมายแรกของเราคือสถานีรถไฟคุนหมิง เพราะที่นั้นมีที่ฝากกระเป๋าอยู่ด้วย เมื่อเรามาถึงหน้า Jinjiang hotel สถานีรถไฟจะอยู่ไม่ไกลมากเดินไปได้ ที่ฝากกระเป๋าจะอยู่ข้างในสถานีรถไฟ
โชคดีว่ามีคนจีนที่พูดภาษาอังกฤษมาพอดี เขาเลยบอกเราว่าที่ไขว้เป็นกากบาทคือ ราคา 10 หยวน (ภาษาจีนแปลว่าเลข10) ซึ่งสรุปแล้วราคาสำหรับฝากกระเป๋า สำหรับใบเล็กคือ 5 หยวน ใบใหญ่คือ 10 หยวน
เมื่อฝากแล้วเราจะได้พวกกุญแจมา ไว้สำหรับแลกคืน ทางเข้าสถานีรถไฟตรวจกระเป๋าด้วย มีทหารยืนเยอะมาก ยังกับค่ายทหารเลย ซึ่งได้ข่าวมาว่าปีก่อนหน้ามีการฆาตกรรมหมู่ทำให้มีการตรวจเข้มมาก
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น