รอยเตอร์/MGRออนไลน์ - ญี่ปุ่นกำลังหาทางให้ตนเองชนะการประกวดราคาขายระบบเรดาร์ป้องกันภัยทางอากาศให้แก่ประเทศไทย ด้วยการเสนอผลิตภัณฑ์ซึ่งสร้างโดย มิตซูบิชิ อิเล็กทริก คอร์ป ขณะเดียวกับที่พิจารณาวิธีในการตอบโต้อิทธิพลบารมีของจีนซึ่งเบ่งบานขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ในแดนสยามเมืองยิ้ม ทั้งนี้ตามการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่น 4 ราย และแหล่งข่าวในวงการอุตสาหกรรมนี้อีกรายหนึ่ง
ความพยายามคราวนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งแห่งการออกแรงผลักดันอย่างกว้างขวางใหญ่โตของคณะบริหารของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ด้วยความมุ่งหมายที่จะยกระดับฐานะของญี่ปุ่นในภูมิภาคแถบนี้ เคียงข้างสหรัฐอเมริกาผู้เป็นพันธมิตรสำคัญของตน ทั้งนี้ โยชิยูกิ ซูงิยามะ (Yoshiyuki Sugiyama) เสนาธิการของกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น (Chief of Staff of Japan's Air Self
Defense Force) หรือก็คือผู้บัญชาการกองทัพอากาศญี่ปุ่น ได้เดินทางไปเยือนกรุงเทพฯในเดือนที่แล้ว เพื่อเจรจาหารือในเรื่องต่างๆ ซึ่งสามารถที่จะร่วมมือกันได้
ญี่ปุ่นคาดหมายว่ารัฐบาลทหารของไทยจะเริ่มเปิดรับซองประกวดราคากันในปีหน้าเป็นอย่างเร็วที่สุด ในเวลาที่ประเทศไทยกำลังต้องการอัปเกรดและเพิ่มจำนวนระบบเรดาร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันของตน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของสหรัฐฯและชาติยุโรป แหล่งข่าวเหล่านี้เปิดเผย ทว่ายังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะมีใครที่เข้าแข่งขันประกวดราคากันบ้าง
สำหรับมูลค่าของสัญญาซื้อขายคราวนี้จะเป็นเท่าใดก็ยังไม่ชัดเจนเช่นกัน เนื่องจากยังไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อกำหนดคุณสมบัติ หรือ “สเปค” ของระบบเรดาร์ดังกล่าว โดยระบบซึ่งสร้างโดยมิตซูบิชิตลอดจนของบริษัทอื่นๆ ที่ผลิตให้ญี่ปุ่นนั้น ราคาอาจจะขึ้นไปถึงระดับหลายล้านดอลลาร์ทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและความครอบคลุมในการใช้งาน แหล่งข่าวเหล่านี้บอกว่าญี่ปุ่นจะพิจารณาเสนอขายระบบที่ราคาต่ำลงมา เนื่องจากความจำกัดในงบประมาณด้านกลาโหมของไทย
ตามการเปิดเผยของแหล่งข่าวเหล่านี้ การที่ญี่ปุ่นเร่งผลักดันสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับไทย จะเป็นประโยชน์แก่สหรัฐฯด้วย เมื่อพิจารณาจากความตึงเครียดที่ทวีขึ้นเรื่อยๆ สืบเนื่องจากการอ้างกรรมสิทธิ์ของจีนในทะเลจีนใต้ ญี่ปุ่นซึ่งเพิ่มยกเลิกข้อห้ามในการส่งออกอาวุธเมื่อปี 2014 ยังไม่เคยขายอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารให้ไทยมาก่อนเลย นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง
หลังจากฝ่ายทหารก่อการรัฐประหารยึดอำนาจในปี 2014 และทำให้รัฐบาลของไทยชุดปัจจุบันขึ้นครองอำนาจแล้ว สหรัฐฯก็มีสายสัมพันธ์อันขึงตึงกับประเทศไทย ผู้เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา โดยที่ไทยเคยแสดงบทบาทเป็นฐานสำหรับการออกปฏิบัติการให้แก่กองทัพอเมริกันในช่วงสงครามเวียดนาม ด้วยการเสนอให้ฝ่ายสหรัฐฯสามารถเข้าใช้สนามบินและท่าเรืออันทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งต่างๆ ของตน
ในเดือนกรกฎาคมปีนี้ ไทยได้ไปทำความตกลงเพื่อซื้อเรือดำน้ำจากจีนเป็นจำนวน 3 ลำคิดเป็นมูลค่าราว 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยที่ดีลคราวนี้ถือเป็นภาพซึ่งแสดงให้เห็นความตั้งใจของปักกิ่งที่จะเข้าเติมเต็มช่องว่างที่ละทิ้งเอาไว้โดยวอชิงตัน ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤศจิกายน 2015 เครื่องบินทหารของไทยและจีนยังได้แสดงการบินผาดโผนด้วยกันที่ฐานทัพของกองทัพอากาศไทยในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 260 กิโลเมตร โดยถือเป็นอารัมภบทสำหรับการฝึกร่วมทางทหารครั้งแรกระหว่างทัพฟ้าของทั้งสองประเทศ
เกี่ยวกับเรื่องการจะเข้าร่วมประกวดราคาขายระบบเรดาร์แก่ไทยนี้ เมื่อถูกสอบถาม ทางด้านโฆษกหญิงคนหนึ่งของมิตซูบิชิ อิเล็กทริก ตอบว่าบริษัทไม่ขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับดีลใดดีลหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง
ขณะที่ผู้ทำหน้าที่เป็นโฆษกผู้หนึ่งของกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นบอกว่า “ขณะที่เราตระหนักดีว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าในเรื่องการนำเอาระบบเรดาร์ป้องกันภัยทางอากาศเข้าประจำการ แต่เราไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรมของบริษัทแห่งใดแห่งหนึ่งได้”
ทางด้าน พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมของไทยแถลงว่า “มีหลายประเทศต้องการขายระบบเรดาร์ให้เรา แต่เราต้องพิจารณาว่าระบบไหนมีความเหมาะสม” ส่วนผู้ทำหน้าที่เป็นโฆษกให้กองทัพเรือและกองทัพอากาศไทยนั้น ต่างบอกว่าพวกเขาไม่ทราบเรื่องแผนการเกี่ยวกับระบบเรดาร์ใหม่
สหรัฐฯนั้นมีกฎหมายกำหนดให้ระงับการให้ความช่วยเหลือแก่กองทัพของประเทศซึ่งเข้าเกี่ยวข้องพัวพันกับการทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเรื่องนี้ครอบคลุมถึงการห้ามปรามไม่ให้พวกผู้ผลิตอาวุธของอเมริกาขายอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ แก่ประเทศเหล่านั้นด้วย ทว่าญี่ป่นไม่ได้ถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมายเช่นนี้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาลไทย
สำหรับเรดาร์ที่ญี่ปุ่นเตรียมยื่นเสนอเข้าแข่งขันประกวดราคานั้น เป็นแบบที่ดัดแปลงจากเรดาร์ fixed-position FSP-3 ของมิตซูบิชิ อิเล็กทริก ระบบเรดาร์นี้ถือเป็นรุ่นเก่าซึ่งกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นได้เคยใช้งานเพื่อติดตามเฝ้าระวังภัยคุกคามทางอากาศ แหล่งข่าวเหล่านี้บอกกับรอยเตอร์
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000127472
'ญี่ปุ่น'วิ่งหาทาง ขอชนะประมูลขายเรดาร์ป้องกันน่านฟ้าให้'ไทย' มองไกลเป็นวิธีช่วย'มะกัน'ตอบโต้อิทธิพลของ 'จีน'
ความพยายามคราวนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งแห่งการออกแรงผลักดันอย่างกว้างขวางใหญ่โตของคณะบริหารของนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ด้วยความมุ่งหมายที่จะยกระดับฐานะของญี่ปุ่นในภูมิภาคแถบนี้ เคียงข้างสหรัฐอเมริกาผู้เป็นพันธมิตรสำคัญของตน ทั้งนี้ โยชิยูกิ ซูงิยามะ (Yoshiyuki Sugiyama) เสนาธิการของกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น (Chief of Staff of Japan's Air Self
Defense Force) หรือก็คือผู้บัญชาการกองทัพอากาศญี่ปุ่น ได้เดินทางไปเยือนกรุงเทพฯในเดือนที่แล้ว เพื่อเจรจาหารือในเรื่องต่างๆ ซึ่งสามารถที่จะร่วมมือกันได้
ญี่ปุ่นคาดหมายว่ารัฐบาลทหารของไทยจะเริ่มเปิดรับซองประกวดราคากันในปีหน้าเป็นอย่างเร็วที่สุด ในเวลาที่ประเทศไทยกำลังต้องการอัปเกรดและเพิ่มจำนวนระบบเรดาร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันของตน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของสหรัฐฯและชาติยุโรป แหล่งข่าวเหล่านี้เปิดเผย ทว่ายังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าจะมีใครที่เข้าแข่งขันประกวดราคากันบ้าง
สำหรับมูลค่าของสัญญาซื้อขายคราวนี้จะเป็นเท่าใดก็ยังไม่ชัดเจนเช่นกัน เนื่องจากยังไม่ได้มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อกำหนดคุณสมบัติ หรือ “สเปค” ของระบบเรดาร์ดังกล่าว โดยระบบซึ่งสร้างโดยมิตซูบิชิตลอดจนของบริษัทอื่นๆ ที่ผลิตให้ญี่ปุ่นนั้น ราคาอาจจะขึ้นไปถึงระดับหลายล้านดอลลาร์ทีเดียว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนและความครอบคลุมในการใช้งาน แหล่งข่าวเหล่านี้บอกว่าญี่ปุ่นจะพิจารณาเสนอขายระบบที่ราคาต่ำลงมา เนื่องจากความจำกัดในงบประมาณด้านกลาโหมของไทย
ตามการเปิดเผยของแหล่งข่าวเหล่านี้ การที่ญี่ปุ่นเร่งผลักดันสร้างสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับไทย จะเป็นประโยชน์แก่สหรัฐฯด้วย เมื่อพิจารณาจากความตึงเครียดที่ทวีขึ้นเรื่อยๆ สืบเนื่องจากการอ้างกรรมสิทธิ์ของจีนในทะเลจีนใต้ ญี่ปุ่นซึ่งเพิ่มยกเลิกข้อห้ามในการส่งออกอาวุธเมื่อปี 2014 ยังไม่เคยขายอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารให้ไทยมาก่อนเลย นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง
หลังจากฝ่ายทหารก่อการรัฐประหารยึดอำนาจในปี 2014 และทำให้รัฐบาลของไทยชุดปัจจุบันขึ้นครองอำนาจแล้ว สหรัฐฯก็มีสายสัมพันธ์อันขึงตึงกับประเทศไทย ผู้เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา โดยที่ไทยเคยแสดงบทบาทเป็นฐานสำหรับการออกปฏิบัติการให้แก่กองทัพอเมริกันในช่วงสงครามเวียดนาม ด้วยการเสนอให้ฝ่ายสหรัฐฯสามารถเข้าใช้สนามบินและท่าเรืออันทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์แห่งต่างๆ ของตน
ในเดือนกรกฎาคมปีนี้ ไทยได้ไปทำความตกลงเพื่อซื้อเรือดำน้ำจากจีนเป็นจำนวน 3 ลำคิดเป็นมูลค่าราว 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยที่ดีลคราวนี้ถือเป็นภาพซึ่งแสดงให้เห็นความตั้งใจของปักกิ่งที่จะเข้าเติมเต็มช่องว่างที่ละทิ้งเอาไว้โดยวอชิงตัน ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤศจิกายน 2015 เครื่องบินทหารของไทยและจีนยังได้แสดงการบินผาดโผนด้วยกันที่ฐานทัพของกองทัพอากาศไทยในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 260 กิโลเมตร โดยถือเป็นอารัมภบทสำหรับการฝึกร่วมทางทหารครั้งแรกระหว่างทัพฟ้าของทั้งสองประเทศ
เกี่ยวกับเรื่องการจะเข้าร่วมประกวดราคาขายระบบเรดาร์แก่ไทยนี้ เมื่อถูกสอบถาม ทางด้านโฆษกหญิงคนหนึ่งของมิตซูบิชิ อิเล็กทริก ตอบว่าบริษัทไม่ขอแสดงความเห็นเกี่ยวกับดีลใดดีลหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง
ขณะที่ผู้ทำหน้าที่เป็นโฆษกผู้หนึ่งของกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นบอกว่า “ขณะที่เราตระหนักดีว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าในเรื่องการนำเอาระบบเรดาร์ป้องกันภัยทางอากาศเข้าประจำการ แต่เราไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรมของบริษัทแห่งใดแห่งหนึ่งได้”
ทางด้าน พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมของไทยแถลงว่า “มีหลายประเทศต้องการขายระบบเรดาร์ให้เรา แต่เราต้องพิจารณาว่าระบบไหนมีความเหมาะสม” ส่วนผู้ทำหน้าที่เป็นโฆษกให้กองทัพเรือและกองทัพอากาศไทยนั้น ต่างบอกว่าพวกเขาไม่ทราบเรื่องแผนการเกี่ยวกับระบบเรดาร์ใหม่
สหรัฐฯนั้นมีกฎหมายกำหนดให้ระงับการให้ความช่วยเหลือแก่กองทัพของประเทศซึ่งเข้าเกี่ยวข้องพัวพันกับการทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเรื่องนี้ครอบคลุมถึงการห้ามปรามไม่ให้พวกผู้ผลิตอาวุธของอเมริกาขายอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ แก่ประเทศเหล่านั้นด้วย ทว่าญี่ป่นไม่ได้ถูกจำกัดด้วยข้อกฎหมายเช่นนี้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาลไทย
สำหรับเรดาร์ที่ญี่ปุ่นเตรียมยื่นเสนอเข้าแข่งขันประกวดราคานั้น เป็นแบบที่ดัดแปลงจากเรดาร์ fixed-position FSP-3 ของมิตซูบิชิ อิเล็กทริก ระบบเรดาร์นี้ถือเป็นรุ่นเก่าซึ่งกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นได้เคยใช้งานเพื่อติดตามเฝ้าระวังภัยคุกคามทางอากาศ แหล่งข่าวเหล่านี้บอกกับรอยเตอร์
http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000127472