M113 รุ่นใหม่ นำของเก่ามา อัพเกรดของติดปืนยิงโดรน และจรวด

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้โครงการนี้มีอาวุธให้เลือก 2 ระบบหลักๆ ดังนี้ครับ
* SAMSON 30 MM RCWS:
* ปืนใหญ่ 30 มม.
* ขีปนาวุธ Spike LR/LR2
* ระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (C-UAS)
* ระบบควบคุมการยิง
* SAMSON 30 MM Automatic Short Cannon:
* ปืนใหญ่สั้นอัตโนมัติ 30 มม.
* ขีปนาวุธ Spike LR/LR2
* ระบบคำนวณขีปนาวุธ, ABM และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (C-UAS)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้การจะบอกว่าระบบไหน "ดีกว่า" นั้น ขึ้นอยู่กับภารกิจและสถานการณ์ที่นำไปใช้ครับ เพราะแต่ละระบบมีจุดเด่นแตกต่างกันไป ดังนี้ครับ
SAMSON 30 MM RCWS: เน้นความแม่นยำและสถานการณ์เฉพาะหน้า
* จุดเด่น:
* ระบบควบคุมการยิง (Fire Control System): ช่วยให้มีความแม่นยำสูงมากในการยิงหวังผล
* เหมาะกับ: การต่อสู้ที่ต้องการความแม่นยำสูง, การยิงสนับสนุน, การต่อต้านเป้าหมายที่มองเห็นได้ชัดเจน
SAMSON 30 MM Automatic Short Cannon: เน้นความคล่องตัวและรอบด้าน
* จุดเด่น:
* ขนาดกะทัดรัด: ทำให้ตัวรถมีความคล่องตัวสูงกว่า
* ระบบคำนวณวิถีกระสุน (Ballistic Calculation): ช่วยให้ยิงได้อย่างรวดเร็วในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
* ระบบป้องกันขีปนาวุธ (ABM): เพิ่มความสามารถในการป้องกันตัวเอง
* เหมาะกับ: การรบในเมืองที่ต้องการความคล่องตัว, การต่อสู้กับเป้าหมายหลากหลายรูปแบบ, ภารกิจที่ต้องเคลื่อนที่เร็ว
สรุปง่ายๆ คือ:
* ถ้าต้องการ ความแม่นยำสูงสุด และเน้นการยิงทำลายเป้าหมายที่แน่นอน เลือก RCWS
* ถ้าต้องการ ความคล่องตัวสูง และความสามารถในการรับมือกับภัยคุกคามที่หลากหลาย เลือก Automatic Short Cannon
ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะเลือกระบบไหน จะขึ้นอยู่กับยุทธวิธีและลักษณะของภารกิจเป็นหลักครับ ไม่มีระบบไหนดีกว่าอย่างสมบูรณ์แบบ แต่มีระบบที่ "เหมาะสมกว่า" ในแต่ละสถานการณ์ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้คำว่า "กะทัดรัดกว่า" ในที่นี้หมายถึงการออกแบบตัวป้อมปืน (Turret) และส่วนประกอบต่างๆ ให้มีขนาดเล็กลงและมีรูปทรงที่ต่ำกว่า (Low Profile) ครับ เหตุผลหลักๆ ในการออกแบบให้กะทัดรัดมาจากปัจจัยทางยุทธวิธีหลายประการครับ
* ลดการถูกตรวจจับ (Low Silhouette): ป้อมปืนที่เตี้ยและเล็กกว่า จะทำให้ภาพรวมของตัวรถถังเตี้ยลงไปด้วย ทำให้เป็นเป้าสายตาที่เล็กลง ศัตรูมองเห็นได้ยากขึ้นจากระยะไกล และเล็งยิงได้ยากขึ้น
* เพิ่มความคล่องตัวในเขตเมือง: ในการรบในเมืองหรือพื้นที่แคบ ป้อมปืนที่ใหญ่และยื่นออกมามากอาจติดขัดกับอาคารหรือสิ่งกีดขวางได้ ป้อมปืนที่กะทัดรัดกว่าจะทำให้รถมีความคล่องตัวสูงกว่าในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
* น้ำหนักเบาลง: โดยทั่วไปแล้ว ระบบที่เล็กกว่ามักจะมีน้ำหนักเบากว่า ซึ่งส่งผลดีต่อสมรรถนะของรถโดยรวม ทั้งในด้านความเร็ว การประหยัดเชื้อเพลิง และการเคลื่อนที่ในภูมิประเทศที่ยากลำบาก
* การออกแบบทางวิศวกรรม: คำว่า "Short Cannon" (ปืนใหญ่สั้น) อาจหมายถึงการใช้ปืนที่มีลำกล้องสั้นลง หรือมีการออกแบบกลไกป้อนกระสุนและระบบภายในใหม่ทั้งหมดให้กินพื้นที่น้อยลง ซึ่งทำให้สามารถสร้างตัวป้อมปืนให้มีขนาดเล็กลงตามไปด้วยได้
ดังนั้น การที่ระบบ "Automatic Short Cannon" กะทัดรัดกว่า ไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพการยิงด้อยกว่า แต่เป็นการออกแบบที่มุ่งเน้นไปที่การ ลดขนาดเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและการอยู่รอดในสนามรบ ซึ่งเป็นแนวทางการออกแบบยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จากการสืบค้นข้อมูลทางเทคนิคเชิงลึก พบว่าการเปรียบเทียบขนาดและน้ำหนักแบบเฉพาะเจาะจงเป็นตัวเลข (เช่น กว้าง x ยาว x สูง) ระหว่างป้อมปืนสองรุ่นนี้ทำได้ยาก เนื่องจากผู้ผลิต (บริษัท Rafael Advanced Defense Systems) ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลสเปกชีตอย่างละเอียดสำหรับทุกรุ่นย่อย และชื่อ "Automatic Short Cannon" อาจเป็นชื่อที่ใช้เรียกในวิดีโอเพื่ออธิบายลักษณะของป้อมปืนรุ่นหนึ่งที่เน้นความกะทัดรัดเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม เราสามารถอธิบายความแตกต่างในเชิงกายภาพที่สำคัญได้ดังนี้ครับ
1. ความสูงของป้อมปืน (Turret Profile/Silhouette)
นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนที่สุด
* SAMSON 30 MM RCWS (รุ่นมาตรฐาน): จะมีขนาดป้อมที่สูงและใหญ่กว่า เพื่อรองรับระบบควบคุมการยิงที่ซับซ้อนและอาจจะมีเกราะที่หนากว่าในบางจุด
* SAMSON 30 MM Automatic Short Cannon (รุ่นกะทัดรัด): จะถูกออกแบบให้ "เตี้ยและแบนกว่า" อย่างมีนัยสำคัญ การออกแบบลักษณะนี้ (Low Profile) เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้มันแตกต่าง เพราะช่วยลดพื้นที่การเป็นเป้าหมายของข้าศึก ทำให้รถรอดพ้นจากการถูกตรวจจับและถูกยิงได้ง่ายขึ้น
2. น้ำหนัก (Weight)
* รุ่นมาตรฐาน: จากข้อมูลทั่วไป ป้อมปืนตระกูล Standard Samson สำหรับปืน 20-40 มม. อาจมีน้ำหนักได้ถึง ประมาณ 1,500 กิโลกรัม (1.5 ตัน)
* รุ่นกะทัดรัด: จะมีน้ำหนัก เบากว่า อย่างแน่นอน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสมรรถนะของรถ ทำให้มีความคล่องตัวสูงขึ้น บรรทุกน้ำหนักอื่น ๆ ได้มากขึ้น และประหยัดเชื้อเพลิงกว่า
3. รูปทรงและการออกแบบทางกายภาพ (Physical Shape)
* รุ่นมาตรฐาน: อาจมีรูปทรงที่ดูเทอะทะกว่าเล็กน้อย มีพื้นที่สำหรับติดตั้งเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ภายนอกอย่างชัดเจน
* รุ่นกะทัดรัด: มักจะมีการออกแบบที่ "สะอาด" และลู่ลมกว่า (Sleeker) โดยพยายามรวมส่วนประกอบต่างๆ เข้าไปในตัวป้อมปืนให้มากที่สุด เพื่อลดส่วนที่ยื่นออกมาซึ่งอาจถูกยิงเสียหายได้ง่าย
สรุปให้เห็นภาพง่ายๆ คือ
ลองนึกภาพว่า "ป้อมปืนรุ่นมาตรฐาน (RCWS)" เปรียบเสมือนคนที่ใส่ชุดเกราะเต็มยศและมีอุปกรณ์ครบครัน ทำให้ดูตัวใหญ่แต่ป้องกันได้ดีและมีความสามารถเฉพาะทางสูง ในขณะที่ "ป้อมปืนรุ่นกะทัดรัด (Short Cannon)" เปรียบเสมือนทหารหน่วยรบพิเศษที่ใส่เกราะน้ำหนักเบาและจัดอุปกรณ์ให้แนบชิดลำตัวที่สุด แม้การป้องกันบางจุดอาจไม่เท่าแบบแรก แต่ได้ความคล่องแคล่วว่องไวและการพรางตัวที่ดีกว่ามาทดแทนครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ หรือ C-UAS (Counter-Unmanned Aircraft Systems) ที่ติดตั้งอยู่บนป้อมปืนอย่าง SAMSON ทำงานเป็นกระบวนการต่อเนื่องและเป็นระบบอัตโนมัติ โดยมีขั้นตอนหลักๆ 4 ขั้นตอนดังนี้ครับ
1. การตรวจจับ (Detection)
นี่คือขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุด ระบบจะใช้เซ็นเซอร์หลายประเภททำงานร่วมกันเพื่อค้นหาโดรนในพื้นที่ป้องกันตลอด 24 ชั่วโมง
* เรดาร์ (Radar): เป็นเซ็นเซอร์หลัก ทำหน้าที่ปล่อยคลื่นวิทยุออกไปและตรวจจับสัญญาณที่สะท้อนกลับมา สามารถตรวจจับวัตถุขนาดเล็กอย่างโดรนได้จากระยะไกลหลายกิโลเมตร และทำงานได้ในทุกสภาพอากาศ ทั้งกลางวันและกลางคืน
* เซ็นเซอร์คลื่นวิทยุ (RF Sensor): ทำหน้าที่ดักจับสัญญาณคลื่นวิทยุที่โดรนใช้สื่อสารกับผู้ควบคุม ทำให้สามารถระบุตำแหน่งของโดรนและในบางกรณีสามารถระบุตำแหน่งของผู้ควบคุมได้ด้วย
* กล้อง EO/IR (Electro-Optical/Infrared): หลังจากเรดาร์ตรวจพบเป้าหมาย กล้องความละเอียดสูง (EO สำหรับกลางวัน) และกล้องจับความร้อน (IR สำหรับกลางคืน) จะหันไปที่เป้าหมายเพื่อยืนยันด้วยภาพว่าเป็นโดรนจริงหรือไม่
2. การติดตาม (Tracking)
เมื่อระบบตรวจพบและยืนยันเป้าหมายแล้ว ระบบคอมพิวเตอร์และระบบควบคุมการยิงจะทำการ "ล็อกเป้า" และติดตามการเคลื่อนที่ของโดรนเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าโดรนจะบินไปในทิศทางใดก็ตาม ข้อมูลต่างๆ เช่น ทิศทาง, ความเร็ว, และระยะห่าง จะถูกคำนวณและอัปเดตแบบเรียลไทม์
3. การระบุชนิด (Identification)
ในขั้นตอนนี้ ระบบจะพยายามจำแนกประเภทของโดรนว่าเป็นโดรนฝ่ายเรา (มิตร) หรือโดรนที่ไม่ได้รับอนุญาต (ข้าศึก) โดยอาจใช้ฐานข้อมูลลักษณะของโดรน หรือวิเคราะห์จากรูปแบบสัญญาณที่ส่งออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีโดรนที่เป็นมิตร
4. การทำให้ไร้ความสามารถ (Neutralization)
เมื่อยืนยันว่าเป็นภัยคุกคามแล้ว ระบบจะเลือกวิธีการจัดการกับโดรน ซึ่งมี 2 รูปแบบหลักๆ คือ:
ก. Soft-Kill (การโจมตีแบบไม่ทำลาย)
เป็นการใช้สงครามอิเล็กทรอนิกส์เข้าจัดการ โดยไม่ทำลายตัวโดรนให้เสียหายทางกายภาพ
* การรบกวนสัญญาณ (Jamming): ระบบจะส่งคลื่นวิทยุกำลังสูงออกไปรบกวนสัญญาณควบคุมระหว่างโดรนกับผู้ควบคุม และ/หรือ สัญญาณดาวเทียม (GPS) ทำให้โดรนขาดการควบคุม อาจจะลอยนิ่งๆ, ค่อยๆ ตกลงพื้น, หรือบินกลับไปยังจุดปล่อยตัวโดยอัตโนมัติ
ข. Hard-Kill (การโจมตีแบบทำลาย)
เป็นการใช้อาวุธทำลายโดรนโดยตรง ซึ่งเป็นหน้าที่ของป้อมปืน SAMSON
* การใช้ปืนใหญ่ 30 มม.: ระบบควบคุมการยิงจะคำนวณวิถีกระสุนให้อัตโนมัติ (คำนวณทิศทาง, ความเร็วเป้าหมาย, ระยะทาง, และแรงลม) เพื่อให้พลยิงสามารถยิงโดรนได้อย่างแม่นยำ โดยอาจใช้ กระสุนแบบแตกอากาศ (Airburst Ammunition) ซึ่งสามารถตั้งโปรแกรมให้ระเบิดกลางอากาศใกล้ๆ โดรน ทำให้มีโอกาสทำลายเป้าหมายได้สูงแม้จะยิงไม่โดนตัวโดรนโดยตรงก็ตาม
ระบบทั้งหมดนี้ทำงานประสานกันอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามจากโดรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การค้นหาไปจนถึงการทำลายนั่นเองครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ป้อมปืนแบบที่สอง (SAMSON 30 MM Automatic Short Cannon) มีความสามารถที่เพิ่มขึ้นมาจากป้อมปืนแบบแรก (RCWS) อยู่ 2 อย่างหลักๆ ที่ทำให้มันโดดเด่นในด้านความรอบด้านและความสามารถในการป้องกันตัวเองครับ
1. ระบบคำนวณขีปนาวุธ (Ballistic Calculation)
* คืออะไร: ระบบนี้คือคอมพิวเตอร์ช่วยเล็งขั้นสูงที่ติดตั้งมากับป้อมปืนโดยตรง มันสามารถคำนวณวิถีกระสุนได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยนำปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะทางถึงเป้าหมาย, ความเร็วของเป้าหมาย, ความเร็วของรถเรา, สภาพอากาศ, และชนิดของกระสุนที่ใช้ มาประมวลผลทันที
* เพิ่มมาเพื่ออะไร: ในขณะที่ระบบ RCWS เน้น "ระบบควบคุมการยิง" (Fire Control System) ที่แม่นยำสำหรับการยิงเป้าหมายที่มองเห็น การมี "ระบบคำนวณขีปนาวุธ" ที่ซับซ้อนขึ้นมาอีกระดับ ทำให้ป้อมปืนแบบที่สองสามารถ ยิงตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้นในสถานการณ์ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น การยิงเป้าหมายที่กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว หรือการยิงในขณะที่รถของเราก็กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง
2. ความสามารถในการต่อต้านขีปนาวุธ (ABM - Anti-Ballistic Missile)
* คืออะไร: นี่คือความสามารถที่สำคัญที่สุดที่เพิ่มเข้ามา ABM ในบริบทของป้อมปืนนี้ ไม่ได้หมายถึงการยิงสกัดขีปนาวุธข้ามทวีป แต่หมายถึงความสามารถในการใช้ "กระสุนแตกอากาศ" (Airburst Munition - ABM) เพื่อทำลายภัยคุกคามขนาดเล็กที่เข้ามาใกล้ตัวรถ
* ทำงานอย่างไร:
* ระบบเรดาร์และเซ็นเซอร์ของรถจะตรวจจับภัยคุกคามที่พุ่งเข้ามา เช่น จรวด RPG หรือโดรนพลีชีพ
* ระบบคำนวณขีปนาวุธจะคำนวณจุดที่ควรจะยิงสกัด
* ป้อมปืนจะยิงกระสุน ABM ออกไปที่จุดนั้น
* ตัวกระสุนจะถูกตั้งโปรแกรมให้ ระเบิดกลางอากาศก่อนที่จะถึงตัวเป้าหมายเล็กน้อย เพื่อสร้างม่านสะเก็ดเหล็กจำนวนมากเข้าทำลายหรือเบี่ยงเบนทิศทางของภัยคุกคามนั้น
* เพิ่มมาเพื่ออะไร: เพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของรถในสนามรบสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยอาวุธต่อต้านรถถังนำวิถีและโดรนโจมตี มันเปลี่ยนสถานะของป้อมปืนจากที่ทำหน้าที่แค่ "โจมตี" เพียงอย่างเดียว ให้สามารถทำหน้าที่ "ป้องกันตัวเอง (Active Protection)" ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
โดยสรุป ป้อมปืนแบบที่สองได้เพิ่ม "สมอง" ที่ฉลาดขึ้นในการคำนวณการยิง และเพิ่ม "โล่ป้องกัน" ในรูปแบบของกระสุน ABM ที่สามารถสกัดกั้นภัยคุกคามก่อนที่จะมาถึงตัวรถได้ครับ
M113 รุ่นใหม่ นำของเก่ามา อัพเกรดของติดปืนยิงโดรน และจรวด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้