การศึกษายุค 4.0 ในมุมมองสังคม

นี่เป็นมุมมองส่วนตัวที่มองอนาคตการศึกษาในระดับครอบครัว ถึงสังคมเล็กๆทั่วไปใครจะเชื่อก็ได้ไม่เชื่อก็ได้ไม่ว่ากันเพราะเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น


สืบเนื่องจากผมไปฟังบรรยายพิเศษเกี่ยวกับการศึกษาไทยในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพของคณะครุศาสตร์นานแล้ว
จากที่ฟังๆมาและคิดว่าในอนาคตการเรียนระดับปริญญาตรี นอกจากเรียนตามหลักสูตรแล้วยังต้องมีเรียนเพิ่มเติมบางโครงการ 1 2 3 เป็นด่านคัดกรองคุณภาพอีกทีก่อนจบ ทั้งสมัครใจและบังคับ (ส่วนใหญ่ก็บังคับล่ะ) เช่นสอบภาษาอังกฤษก่อนจบเป็นต้นต่อให้เราเรียนครบทุกวิชา แก้F ผ่านทุกตัวแล้วถ้าสอบไม่ผ่านก็คือไม่จบในบางสถาบันถ้าโชคดีไม่เจอก็แล้วไป แต่จบมาแล้วก็ต้องสอบโทอิคอยู่ดีถ้านายจ้างไล่ให้สอบ  ซึ่งหมายความว่าในอนาคตการเรียน ป.ตรี ยิ่งยากขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัวจากเดิมที่เรียนกันแค่วิชาของคณะ และวิชาเอกอยู่แล้ว ของทุกสถาบันตั้งแต่ ราชมงคล ราชราชภัฏ เอกชน และมหาลัยชั้นนำอย่าง จุฬา ธรรมศาสตร์ มศว. เป็นต้น หนีไม่พ้นเงื่อนไขร้อยแปดแน่นอนว่าเมื่อเข้าไปแล้วแต่เราจะเจอเงื่อนไขอะไร และเอาตัวรอดยังไงอย่างไร เพราะทุกสถาบันล้วนแต่ต้องการ "คุณภาพ"

ใครที่อาศัยแค่มีเงินอย่างเดียวคงไม่พอต้องมีความรู้และมีคุณภาพด้วยว่าโรงเรียนที่จบออกมามันดีพอให้คุณสู้ในสนามได้หรือเปล่า ส่วนใครที่กำลังกู้ กยศ. เพื่อการศึกษาถ้าติดตามข่าวล่าสุดมีการปรับปรุงเงื่อนไขใหม่จัดว่าโคตรโหดขึ้น เช่น จบไปแล้วนายจ้างสามารถหักเงินเดือนบางส่วนให้กับ กยศ. นายจ้างอาจสามารถเข้าถึงข้อมูลการเป็นหนี้ได้ (ที่มาข่าว  http://money.sanook.com/399757/ )

สำหรับใครที่มีปัญหาเช่น อ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้เลย หรือไม่แข็งแรงพอ ติดเที่ยว ติดสาว ติดผู้ชาย หลังเลิกเรียน หลังเลิกสอบแล้วไปกินเหล้า ลดละเลิกลงบ้างก็ดี ถ้าสามารถพัฒนาตัวเองได้ก็ดีตามความสามารถของตัวเองได้ยิ่งดี ส่วนบางอย่างทำไม่ได้เลย อาจต้องยอมรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเราหลังจบออกนอกรั้วมหา'ลัยไป เช่น หางานยากหน่อย ได้เงินเดือนน้อย ได้งานไม่ตรงสาขาที่จบเพราะเขาไม่เปิดประตูให้เราแจ้งเกิดเข้าวงการเเป็นต้น ปัญหาเหล่านี้เชื่อว่าเกิดกับคนที่กำลังเรียน ป.ตรี ณ ปัจจุบัน ถึงปัญหาตรงนี้อาจแก้ที่เราไม่ได้ก็คงต้องแก้ที่ลูกเราในอนาคต (ถ้ามี)

1.  วางแผนการเข้าโรงเรียนใครที่คิดว่าโรงเรียนทุกแห่งเหมือนกัน "คิดผิดอย่างแรง" เพราะแต่ล่ะแห่งมีหลักสูตรที่ไม่เหมือนกัน คุณภาพครูก็ต่างกัน
จริงอยู่ที่ถ้าลูกเราเข้าเกิดไปเก่งกว่าเพื่อนในห้องก็จริง แต่ถ้าลูกเราจบออกมาแล้วไปเจอเด็กที่เก่งกว่า รู้เยอะกว่า หมายความว่าอย่างไรคิดเอาเอง

2.  ระหว่างโรงเรียน รัฐ กับ เอกชน ใครดีกว่า ความเห็นส่วนตัวแนะให้ไปเอกชนเลยถ้าเป็นโรงเรียนรัฐส่วนใหญ่ก็จะเจอแต่ครูบางคนทำแต่เอกสาร ไม่สนใจ เลือกที่รัก มักที่ชัง บางคนไม่สนใจปัญหาเด็กเลยก็มี ถ้าคิดร้องเรียนเลิกคิดไปเลยเพราะถ้าเป็นข้าราชการก็ย่อมมีพวกช่วยกันอยู่แล้วอย่างที่เห็นกันในข่าวเผลอๆเด็กก็จะอยู่ยากขึ้น ไหนจะเจอเด็กระดับล่างๆไม่ขอพูดถึงว่าเป็นยังไง ซึ่งอาจมีผลต่อการพัฒนาและเจอไปปัญหาต่างๆของเด็ก ตั้งแต่เรื่องเพื่อนยันเรื่องเรียน ทางที่ดีถ้าเรามีเงินพอที่ส่งให้ลูกเรียนเอกชนได้ ก็ยิ่งดีเพราะจะเจอปัญหาเหล่านี้น้อยลง

3. ได้โรงเรียนดี ย่อมมีความสามารถเข้ามหาลัยดีๆได้เช่นกัน ก่อนจะพาลูกเข้าลูกโรงเรียนระดับชั้นมัธยมพยายามสืบดูว่าอัตราความถี่การสอบเข้ามหาลัยได้มีจำนวนเท่าไหร่? ผมคงบอกไม่ได้หรอกว่ามีโรงเรียนอะไรบ้าง แต่ผมแนะนำให้ลองสืบดูจากห้องแนะแนวประจำโรงเรียนดู ซึ่งจะมีครูแนะแนวบางคนเก็บอัตราความถี่การสอบเข้ามหาลัยแต่ละสถาบันไว้ทุกปีจากเด็กที่จบออกไป ถ้าได้ย้อนหลังตั้งแต่ ปัจจุบันจนถึง 10 ปีได้ยิ่งดี ว่ามีความสมดุลกันทุกปีหรือไม่ เพิ่มขึ้น และ ลดลงเท่าไหร่ เพราะมันอาจสะท้อนคุณภาพครู และคุณภาพเด็กที่เข้าเรียน

4. ระวังไปเจอโรงเรียนทดลอง เช่น เป็นโรงเรียนนำล่องของโครงการนโยบายต่างๆของรัฐ การเข้ามาของครูบรรจุใหม่และการย้ายไปโรงเรียนอื่นของครูเก่าๆที่มีความถี่สูงเกินน และมีจำนวนนิสิตครูฝึกสอนเยอะเกือบเท่าจำนวนครูกว่าปกติ ปัญหาเหล่านี้อาจมีผลต่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนอาจลดลงหรือเพิ่มขึ้นตรงนี้คงยาก วิธีสังเกตได้จากผลการเรียกบรรจุแต่ล่ะเขตพื้นที่การศึกษาที่เราอยู่ ยิ่งมีความถี่มากเท่าไหร่ แปลว่าที่ตรงนั้นมีการย้ายออกจากพื้นที่มากเท่านั้นอย่างเช่น เขตพื้นที่การศึกษา เขต2 กรุงเทพฯ ได้ชื่อว่ามีผู้สอบมากที่สุด และมีอัตราความถี่เรียกบรรจุมากที่สุด ส่วนโรงเรียนพยายามติดตามข่าวครูบรรจุใหม่ว่าปีนึงเข้ามากี่คน เข้าทุกปีไหม ในแต่ละแห่ง มีความสมเหตุสมผลไหม ปัญหาตรงนี้ส่วนใหญ่เป็นระดับโรงเรียนรัฐ

5.  อยู่ที่ดวงว่าเราได้ลูกแบบไหน... ได้สามีหรือภรรยาอย่างไร... พยายามตั้งสติให้ดีก่อนแต่งงานกัน ตรวจเลือดเพื่อหาโรค สืบประวัติเพื่อให้ได้คนที่ดี
เรื่องนี้ดูไม่ใช่เป็นปัญหาแต่ถ้าใส่ใจได้ก็ดี เพราะสมมุติว่าถ้าลูกเราเกิดมามีความผิดปกติอะไรบางอย่างมันก็อยู่ที่เค้าหรือเราที่ผิดปกติ ส่วนการได้คู่ครองที่มีคุณภาพเราก็พยายามพัฒนาตัวเองทั้งในเรื่องงานและนิสัยเพื่อเทียบเท่ากับเขาและไม่เป็นภาระเขาก็พอคงไม่ผิดใช่ไหมถ้าผมจะแนะนำให้คบกับคนที่มีความพร้อมกว่า ทั้งในเรื่องงาน ความสามารถ(ความเก่ง) นิสัย และในเรื่องเงิน การจะได้มาของบุคคลเหล่านั้น จะด้วยความจริงใจ หรือด้วยวิธีหลอกลวงก็ตามก็ทำได้แต่อย่าทำให้เดือดร้อนทั้งสองฝ่ายก็พอ ถามว่าเพื่ออะไรก็เพื่อให้ได้โอกาสที่ดีไงไม่งั้นคงไม่มีใครปลอมเป็นตำรวจ ทหารเพื่อไปจีบสาวจนหลอกได้เป็นแฟนหรอกนะว่าไหม และลดภาระเราด้วย ถามว่าได้อะไรนอกจากตัวเราเองได้โอกาสชีวิตที่ดี เป็นที่ยอมรับของสังคม และไม่เดือดร้อนเราแล้ว ลูกเราก็เป็นผลได้ด้วยเช่น ได้มีโอกาสเข้าโรงเรียนดีๆ ย่อมสามารถได้เข้ามหาลัยดีๆ จบมามีอนาคตดีๆกว่าเรา ถ้าไม่มีปัญหาด้านพันธ์กรรมที่มีผลต่อการเรียนอะไร แต่ถ้าไม่ได้จริงๆก็ขอแค่คนดีๆ และพร้อมลุยด้วยกันก็พอ

ที่ผมเขียนไปวันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว สำหรับผู้อ่านบางท่านอาจจะโกธรผมที่อาจจะกล่าวอะไรตรงๆก็ต้องขออภัยด้วยจริงๆ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่