เราเป็นลูกที่อกตัญญูมากสินะ....

เราเป็นเด็กนักเรียนมัธยมธรรมดาๆคนหนึ่งค่ะ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ และเราก็คิดว่าเราไม่ได้มีปัญหาอะไร พ่อแม่ของเราแยกกันอยู่ตั้งแต่เราอยู่ ป.1 เราคิดว่าเขาคงทนอยู่ด้วยกันไม่ไหวแล้ว เพราะตอนเขามาอยู่ด้วยกันก็เพราะเรา เราคิดว่าเขาคงพลาดแล้วมีเราเขาเลยต้องมาอยู่ด้วยกันเพื่อดูแลเรา แล้วพอถึงจุดๆหนึ่งที่มันอิ่มตัว ต่างคนต่างทนกันไม่ได้เขาเลยแยกกันไป

เราได้อยู่กับพ่อ ส่วนแม่เขาก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น ซึ่งที่ไหนเราก็ไม่ทราบ แรกๆก็มีแวะมาหาบ้าง พาไปเที่ยวบ้าง แต่ช่วงหลังๆก็ไม่มาหาเลย ถึงขนาดไม่ได้ติดต่อกันเกือบปี ซึ่งเราก็รู้สึกเฉยๆและไม่อะไรกับเรื่องนี้ ไม่คิดจะใส่ใจหรือเอามันมาคิดมากให้เป็นเด็กมีปมด้อย

พ่อเราเขาทำงานค่อนข้างหนักเพื่อหาเงิน อันนี้เรารู้และเราทราบดี ที่บ้านเราทำธุระกิจเกี่ยวกับรถทัวร์ พ่อเราเป็นคนขับรถส่วนย่าเราเป็นผู้จัดการงานต่างๆ ด้วยความที่ทำทัวร์ทำให้พ่อเราต้องไปต่างจังหวัดบ่อยๆ ไปวิ่งงานทีก็กลับดึกหรือไม่ก็ค้างที่นั่นเลยไม่กลับ ย่าเราก็ต้องไปกับพ่อเราบ่อยๆด้วย ทำให้เราต้องอยู่คนเดียวบ่อยๆ แรกๆก็ไม่โอเค แต่พอโดนทิ้งให้อยู่คนเดียวบ่อยๆก็เลยชิน

พูดตามตรงเราคือเด็กที่ไม่ได้ความใส่ใจจากครอบครัวเลย แต่เราก็พยายามเขาใจนะว่าที่พวกเขาไม่มีเวลาให้เราเพราะยุ่งกับการทำงานอยากให้เราสบายไม่ลำบาก เราเลยไม่อยากจะคิดว่าเราเป็นเด็กมีปัญหาครอบครัวไม่รัก เราก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนเด็กทั่วๆไป แต่ที่จะไม่ค่อยปกติคือเราชอบเก็บตัว เราชอบอยู่คนเดียวตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่เราอยู่คนเดียวมาโดยตลอดเลยทำให้เราเริ่มรู้สึกเราอยู่คนเดียวแล้วเรารู้สึกสบายใจกว่า ถึงเราจะทำอะไรเองได้ไม่หมดแต่ถ้าให้เลือกเราก็เลือกที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่กับคนในครอบครัว

เราดูเป็นเด็กไม่ดีเลยเนอะ ส่วนนี้เราก็ยอมรับล่ะว่าเราเป็นเด็กไม่ดีจริงๆ แต่เราก็พยายามที่จะไม่เก็บตัวจนเกินไปนะ เขาชวนไปไหนเราก็ไป ถึงส่วนใหญ่ไปทีก็เพราะเรื่องงานก็เถอะ แต่เราก็ยังไป เราไม่อยากให้พวกเขาคิดว่าเราเป็นเด็กเก็บกดเราเลยทำตัวร่าเริงตามปกติของเรา พยายามเข้าไปในโลกที่มีพวกเขาอยู่ด้วย แต่สุดท้ายเราก็ทำไม่ได้... เรารู้สึกสบายใจมากกว่าถ้าเราอยู่คนเดียว

พอมาถึงจุดนี้เราคิดแล้วล่ะว่าเราคงเป็นเด็กเก็บกดแน่ๆ แต่เราก็ไม่ได้แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวใส่พวกเขานะ อาจจะมีดื้อบ้างตามประสาเด็ก แต่เราไม่เคยทำอะไรที่ผิดกฏโรงเรียนหรือตบตีพวกเขาหรือทำลายข้าวของเมื่อไม่พอใจ เราพยายามใช้เหตุผลตลอด ไม่เคยใช่อารมณ์มากกว่าเหตุผลเลยยกเว้นเราจะโกรธมากจริงๆ

ซึ่งค่อนข้างตรงข้ามกับพ่อของเรา เขาเป็นคนที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ยึดตัวเองเป็นใหญ่ และเป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีเหตุผลสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังเป็นคนปากร้าย แต่เขาก็ดูรักเรามากเลยนะ ช่วงแรกๆเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเขาหรอก แต่ตั้งแต่ขึ้นมัธยมมาเรามีปัญหากับเขาค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสายตาของเรา ต้องบอกก่อนนะคะว่าตอนเด็กเราติดเกมมาก สายตาเราเลยเสียจนต้องตัดแว่นตั้งแต่ตอน ป.5 ซึ่งอันนี้เรายอมรับนะว่าเราผิดจริงๆที่เล่นเกมไม่เป็นเวลา เราไม่คิดโทษใครเรื่องนี้

แต่ทุกๆครั้งที่เราเล่นคอมพ่อจะชอบมาบ่นใส่เราตลอด ทำนองว่า เล่นอีกละ เดี๋ยวก็ตาบอด ซึ่งเรารู้ว่าอันนี้เขาเป็นห่วงเราจริงๆ เราก็เข้าใจ ไม่คิดจะโกรธเขาถึงจะมีฉุนๆในใจเล็กๆก็เถอะ แต่เราก็ไม่เคยชักสีหน้าหรือเถียงอะไรเลย เพราะมันเป็นความผิดเราเอง จะไปเถียงเขาก็ไม่ได้ เพราะเราผิด จะโดนเขาบ่นก็ไม่แปลก

แต่พักหลังๆคำพูดของเขามันก็เริ่มทวีความแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จะประโยคที่บ่นเฉยๆน้ำเสียงเรียบๆกลับเป็นคำประชดประชันและชอบใช้เสียงตวาดหรือตะคอกใส่เรา บางครั้งถึงขั้นด่าก็มี แต่ไม่ใช่คำด่าที่หยาบคายอะไรหรอก เราก็ไม่ได้คิดมากอะไรขนาดนั้นหรอก ก็พยายามปรับตัวบ้าง หลังๆก็ที่เปิดคอมไม่ใช่เพราะเกมแต่เป็นพวกงานเขียนนิยาย หรือไม่ก็งานที่ครูสั่งอะไรทำนองนี้มากกว่า

แต่วันนั้น... เป็นวันที่เราสุดจะทนสุดๆ เพราะเขาไล่เรา ไล่ที่ว่าไม่ใช่ไล่ออกจากบ้านนะ แต่เป็นไล่ให้เราไปตาย

อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ เขาไล่เราให้ไปตาย ถึงจะไม่ใช่ตรงๆแต่มันก็ความหมายคล้ายกัน

ตอนนั้นเรานั่งเล่นคอมตามปกติ ช่วงนั้นเครียดจากงานที่โรงเรียนน่ะค่ะ แล้วก็อยากเล่นเกมสนุกๆแก้เครียดด้วยเลยเปิดคอมเล่นเกม พอเราเล่นได้ไม่นาน พ่อเขาก็กลับมาค่ะ พอเห็นเราเล่นเกมอยู่ก็ตรงเข้ามาบ่นเลยค่ะ เราก็ไม่ได้อะไรเพราะเราเรมชินแล้ว กะว่าถ้าเล่นตานี้จบก็จะปิดอยู่แล้วด้วย

เขาก็บ่นๆไปเรื่อยๆ เราก็ฟังอยู่ตลอดนะ แต่เราก็ไม่อยากจะหันไปมองเขา บอกตามตรงเลยค่ะว่ากลัว ไม่ชอบสายตาเวลาเขาใช้มองเวลาบ่นเรา เรากลัวมากๆ แต่เขาก็พูดประโยคๆหนึ่งมาซึ่งทำเอาเราถึงกับผงะ

เขาพูดว่า...

" ถ้าตาบอดขึ้นเริ่ม ไม่เลี้ยงต่อหรอกนะ จะเอาไปปล่อยทิ้งที่อื่น ปล่อยให้ตายๆไปซะ "

พอเราได้ยินคือจุกเลยค่ะ ตกใจมากๆ ทุกครั้งที่เขาบ่น เขาไม่เคยพูดแรงขนาดนี้กับเรามาก่อน แต่มันก็มีประโยคที่ทำให้เราจุกได้มากกว่านั้นอีกคือ...

" จะได้หมดภาระสักที "

พูดจบเขาก็เดินหนีขึ้นไปข้างบนเลยค่ะ ประโยคนี้คือเขาพูดเบามาก คล้ายๆกับพรึมพรำแต่ด้วยความที่อยู่ใกล้กันเราเลยได้ยินมันชัดเจนเลยค่ะ บอกตามตรงว่าจุกมาก เราถึงกับนิ่งทำอะไรต่อไม่ถูกเลย ความรู้สึกตอนนั้นคือทั้งโมโหและก็เสียใจ แต่เสียใจมากกว่า

เราคิดว่าเราเป็นภาระเขาขนาดนั้นเลยเหรอ เราไม่น่าเกิดมาเลยใช่ไหม เขาถึงได้พูดกับเราขนาดนี้ เราเสียใจมาก น้ำตาไหลเลยค่ะ ทำอะไรไม่ถูก ชักปั่กคอมออกเลยค่ะ ไม่ลงไม่เล่นมันแล้วเกม พยายามไม่ร้องไห้นะคะแต่ก็ทำไม่ได้จริงๆ มันรู้สึกจุกและหน่วงมากที่คนเป็นพ่อแท้ๆพูดกับเราขนาดนั้น เพราะคำพูดนั้นเราคิดจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ เขาจะได้หมดภาระสักที ถ้าเขาคิดว่าเราเป็นภาระขนาดนั้นก็ไม่น่าเลี้ยงเราให้โตมาขนาดนี้เลย เอาขี้เถายัดปากให้ตายตั้งแต่ตอนเกิดมาลืมตาดูโลกไปเลยน่าจะดีกว่า

แต่เราก็ต้องเปลี่ยนความคิด เพราะคำสอนต่างๆที่ใครหลายๆคนเคยสอนเราไว้ เราก็คิดนะคะว่าถ้าเขาไม่รักเราเขาคงฆ่าเราทิ้งไปแล้ว แต่นี่ที่เขาไม่ทำเพราะเขารักเรา เราพยายามคิดในแง่ดีว่าที่เขาพูดเพราะหวังดี แค่ใช้คำพูดแรงไปหน่อย

หวังจากนั้นเราก็ทำตามปกติ แต่เวลาทำอะไรคือเราจะเกรงใจมากกว่าเดิม เมื่อก่อนถ้าเราอยากได้อะไรเราก็มักจะบอกพ่อเขา ถึงจะไม่ใช่ทุกเรื่องแต่เราก็บอกบ้าง แต่หลังจากนั้นคือเราไม่กล้าขออะไรเลย อยากได้อะไรเก็บตังซื้อเอง ไม่คิดจะเอ่ยปากขอ เพราะเราเกรงใจและก็กลัวโดนด่ากลับมาด้วย

และล่าสุดเมื่อเร็วๆนี้เราสั่งลิปมาทางเน็ตพอได้ของเราก็ลองทา สีก็สวยดีเราก็โอเคไม่ได้อะไร แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ใช้ลิปเลย เพราะเราไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้วเพราะพ่อเราไม่ปล่อยเราเลย แค่ไปทำโครงงานบ้านเพื่อนยังไม่ให้เราไปเลย ลิปเราเลยต้องปล่อยไว้เฉยๆ เราก็เสียดายอ่ะซื้อมาแล้วไม่ใช้เดี๋ยวก็หมดอายุ ถึงไม่ได้ออกไปไหนก็ทาตอนอยู่บ้านนี้ล่ะ

แล้วพอพ่อเขากลับมาเขาเห็นว่าเราทาลิปเขาก็ถามทันทีว่า ทาลิปทำไม เราก็เลยบอกว่า อยากทา เขาก็ถามอีกว่า ไปโรงเรียนนี่ต้องทาลิปด้วยรึไง เราเลยบอกว่า กลับมาทาที่บ้านไม่ได้ทาที่โรงเรียน เขาก็ถามเราประโยคเดิมอีกเหมือนไม่เชื่อเราอ่ะ คือตอนนั้นเราโมโหเลย คือคำพูดของเรามันไม่น่าเชื่อถือเหรอ ไม่ไว้ใจกันขนาดนั้นเลยเหรอ และหน้าตาที่เขาแสดงออกมาคือถ้าด่าเราว่าแรดได้คงด่าไปแล้ว เราเลยเลือกจะเงียบและเขาก็เดินเข้าไปอาบน้ำตามปกติ

พอเขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วเดินเข้ามาในห้อง เราก็หันไปมองเขาและด้วยความที่เราไม่ได้ใส่แว่นเลยมองไม่ชัด คือสายตาเราสั้นตั้ง 400 กว่าๆ บวกกับปวดคอจากการซ้อมเต้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยหันนิดๆแล้วก็เหลือกตาไปมองเขาแค่แปปเดียวแล้วหันมาดูการ์ตูนต่อ

แล้วอยู่เขาก็พูดขึ้นมาว่า มองค้อนหรอ คือเราสตั้นเลยอ่ะ เพราะเรายังไม่ได้มองค้อนเลยไง เราเลยตอบไปว่าเปล่า เขาก็พูดอีกว่า ก็เห็นอยู่ว่ามอง ทำไม เรื่องแค่นี้ต้องมองค้อนกันเลยรึไง คือเรายังไม่ได้มองค้อนเขาเลยไง หรือท่าทางเรามันไป? อันนี้เราก็ไม่แน่ใจแต่เขาทำท่าทางใส่เราแบบรำคาญเรามาก สายตาคือไม่น่าใช่สายตาของคนเป็นพ่อที่ใช้มองลูกตัวเองแน่ๆ

และทุกๆครั้งที่เจอน่ากันเขาจะต้องหาเรื่องทะเลาะกับเราตลอด เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไม และเขาก็ชอบใช้คำพูดแรงๆกับเราบ่อยมากช่วงนี้ เรื่องที่เขาพูดว่าเราเป็นภาระทุกวันนี้เราก็ยังเครียดไม่หาย เพราะพฤติกรรมต่างๆที่เขาแสดงออกมามันสื่อให้เราเห็นจริงๆว่าเราเป็นภาระมากขนาดไหน ทั้งๆที่เราก็พยายามไม่ทำตัวเป็นภาระแล้ว ที่โรงเรียนเราไม่มีปัญหาอะไรเลย ที่บ้านเราก็พยายามไม่มี เรื่องผู้ชายไม่เคยมี เราพยายามทำตัวให้ดีไม่มีปัญหาให้เขาต้องหนักใจ เรื่องการเรียนถึงเกรดจะไม่ถึง 3 แต่เราก็พยายามไม่ให้ติด 0 ติด ร. อะไร คือทำทุกอย่างที่ให้เขาไม่มองว่าเราเป็นภาระอ่ะ แต่เหมือนเขาจะไม่สนใจจุดๆนั้นเลย

อีกอย่างที่เราพยายามทำดีให้เขาเห็นเพื่อให้เขาไว้ใจเราบ้าง อยากให้เขาเชื่อใจเราสักนิด แต่สุดท้ายก็ไม่ เขาไม่คิดจะไว้ในเราหรือเชื่อใจเราเลย ก่อนไปโรงเรียนวันนั้นเราจำได้ดีเลย มันเป็นประโยคที่กระแทกใจเรามาก ก่อนเราจะออกจากบ้าน เขาก็พูดขึ้นมาว่า

" ไปให้ถึงโรงเรียนนะ "

คือเราจุกอ่ะ เห็นเราเป็นเด็กเกเรแบบนั้นเหรอ? และที่อยู่ๆเขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะเขาเห็นเราพับกระโปรง... คือที่เราพับก็เพื้อให้มันไม่หลวม และอีกอย่างประโปรงนักเรียนเรายาวมาก เราเคยเดินขึ้นบรรไดแล้วสะดุดกระโปรงตัวเอง คุณคิดดูละกันว่ามันยาวขนาดไหน... เราก็ไม่เข้าใจนะว่าเรื่องแค่นี้ต้องพูดประชดประชันเราขนาดนี้ไหม ในสายตาเขาเขาเคยเห็นเราเป็นลูกบ้างไหม?

ตอนนั้นเราออกไปเซเว่นไปหาเพื่อน ตอนนั้นเพื่อนมันทะเลาะกับแฟนมาอยากระบายเลยให้ออกไปหา ซึ่งเซเว่นก็ไม่ได้ห่างจากบ้านเรามาเลย เดินแปปเดียวถึง อีกอย่างมันยังอยู่ในหมู่บ้านด้วยซ้ำ เราออกไปตอนประมาณ 5 โมงกลับเข้าไปบ้านเกือบๆ 6 โมง มากลับมาเขาก็ด่าเรายับ ด่าเหมือนเราไปฆ่าใครตาย แล้วก็มาพูดว่า จะออกไปไหนทำไมไม่บอก แต่ประเด็นคือเราก็บอกก่อนจะไปแล้วว่าจะไปหาเพื่อนที่เซเว่น แต่เขาน่ะก็มัวแต่คุยกับใครไม่รู้โดยไม่สนใจเราเลย มีแต่ย่าที่หันมาขยักหน้ารับเรา เราเห็นว่าย่าขยักหน้าเข้าใจแล้วเราก็เดินออกมาหาเพื่อน แต่พอกลับเข้ามากลับโดนด่ายับ และคำด่าแต่ละทีเหมือนกำลังโดนตอกหน้าแบบอ้อมๆ คือถ้าด่าเราร่านได้คงจะด่าไปแล้ว พอเราบอกไปหาเพื่อนมีการถามด้วยนะว่าเพื่อนผู้ชายหรือผู้หญิง

พอเราได้ยินแบบนั้นปุ๊บคือขึ้นเลย คือเหมือนกำลังถามทางอ้อมว่าไปหาผัวหรือไปหาเพื่อนมากกว่า พอเราตอบว่าผู้หญิงก็ทำหน้าตาว่าไม่เชื่อ และเราควรพูดยังไงให้เขาเชื่อดีล่ะ? ในเมื่อเขาเลือกที่จะไม่เชื่อเราเราทำอะไรได้ด้วยเหรอ? เราก็ทำได้แค่ปล่อยเขาไปเท่านั้น

และยังมีอีกหลายๆเรื่องเลยแหละ แต่เราคิดว่าเราคงเล่าไม่หมดหรอก ที่เอามาพูดในที่นี้คือเรื่องที่สุดๆสำหรับเราที่เราเจอนะ ทุกวันที่เรายังอยู่บ้านนี้พูดเลยว่าเราอยู่เพราะย่าเราคนดเดียว เราไม่อยากทิ้งย่าเราไปไหน คิดดูสิมีย่าเรายังปวดหัวขนาดนี้แล้วถ้าไม่มีย่าเราไม่ตายหรือไม่ก็ไมเกรนกินเลยเหรอ

เราไม่อยากพูดว่าเราเกลียดพ่อของเราหรอกนะ แต่เราก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ วันนั้นมีคนมาหาย่าเราที่บ้านมาคุยเรื่องงานอะไรสักอย่าง พ่อเราที่นั่งกินเบียร์อยู่ก็ลุกขึ้นไปผลักไปไล่คนๆนั้นออกจากบ้าน พร้อมทั้งตะโกนด่าอะไรไม่รู้เยอะแยะ จากที่เราดูคิดว่าพ่อเรากับคนๆนั้นคงทะเลาะกันและมีความเห็นไม่ตรงกันหรือถึงขั้นไม่ถูกกันเลย แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นอยู่ที่ย่าของเรา

คุณรู้ไหมว่าย่าเราทำอะไร...?

ย่าเราเขายกมือไหว้พ่อเรา

ใช่ คุณอ่านไม่ผิด

ย่ายกมือไหว้พ่อทั้งๆที่ย่าเราเป็นแม่ของพ่อเรา

ย่าเราไหว้ไปร้องไห้ไป เราสงสารย่าเรามาที่มีลูกแบบพ่อเรา เราไม่อยากไปยุ่งเรื่องผู้ใหญ่แต่นี่มันเกินไปจริงๆ ทั้งๆที่ย่าเป็นแม่ของพ่อแท้ๆ แต่ทำไมย่าถึงต้องยกมือไหว้พ่อ.. เราไม่โอเคกับจุดนี้จริงๆ

เราไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เราอยากพาย่าเราออกไปจากที่นี่ แต่ลำพังแค่เราไม่มีทางทำได้แน่ๆ เพราะเรายังเรียนไม่จบตั้งตัวยังไม่ได้ แต่เราสัญญาว่าเราจะต้องพาย่าไปหาชีวิตที่ดีกว่านี้ให้ได้...

แต่...เราจะดูเป็นคนอกัญญูไหม.. ที่คิดกับพ่อตัวเแบบนี้ คงแน่นอนสินะ..

#ขอโทษสำหรับกระทู้ที่ไม่ดีนี้นะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่