เฮลโลลล รีวิวนี้เวิ่นเว้อหน่อยนะคะ เนื่องจากเป็นรีวิวอันแรกของเราเลย 5555555

เราเป็นคนสายตาสั้นค่ะ ไม่รู้ว่าสั้นมาตั้งแต่กี่ขวบแต่มารู้ตัวตอนอยู่ ป.6 ว่าสั้นไปเกือบ 200 แล้ว
หลังจากนั้นก็ใส่แว่นมาตลอด เราวัดค่าสายตาและเปลี่ยนแว่นมาเรื่อยๆจนจบ ม.6
ช่วงนั้นสายตาน่าจะประมาณ 325 พอๆกันทั้ง 2 ข้าง
พอขึ้นมหาลัยวันไปเรียนหรือไปเที่ยวส่วนใหญ่เราก็ใส่คอนแทคค่ะ ถ้าวันไหนอยู่บ้านก็ใส่แว่นเอา
แต่เราเป็นคนโชคดีค่ะ มหาลัยช่วงต้องทำงานหน้าคอมเยอะๆหรือใช้สายตาหนักๆค่าสายตาเราก็ไม่ขึ้นมาก
จนเรียนจบ เราสั้นอยู่ประมาณ 400 และข้างซ้ายเอียงนิดหน่อย
จนตอนนี้อายุ 25 สายตาเราคงที่คือ 400 แล้วเราก็ใส่คอนแทคกับแว่นสลับๆกันไปค่ะ ความรู้สึกเราคืออยากเปลี่ยนแว่นแล้ว
เพราะแว่นที่ใส่มาอันล่าสุดก็ 2-3 ปีแล้ว ไม่วัยรุ่นเลอออ(หาเรื่องไปเอง555555)
แล้วเราชอบทำแว่นตกบ่อยค่ะ เลนส์เป็นรอยเยอะด้วยก็เลยอยากเปลี่ยนแว่น เราไปหาแบบกรอบแว่นที่เราชอบ
และเลนส์ซึ่งเราใช้เลนส์ย่อบาง ไปดูมาหลายรอบหาแบบที่ชอบแบบปังปัง ไม่ได้เลย
ส่วนอันที่พอโอเคแต่ไม่ปังมากราคาสิริรวมกับเลนส์ประมาณ 4-5 พันบาท เราเลยมาคิดว่าอายุก็ปูนนี้(25ล้าววว)
บวกกับค่าคอนแทค ค่าน้ำยาแช่คอนแทค น้ำเกลือล้างคอนแทค บลาๆ รวมทั้งชีวิตเอาตังรวมกันมาทำเลสิคเลยดีกว่ามั๊ย
แค่คิดเรื่องนี้ได้ 5 นาทีก็หาเรื่องทันทีค่ะ รีบหาดูรีวิวทำเลสิคจากที่ไม่เคยหาข้อมูลมาก่อนเลย
จริงๆเราค่อนข้างรำคาญมากที่เราสายตาสั้นรู้สึกเหมือนเป็นกรรมอย่างนึง ใส่แว่นก็ลำบากชีวิตเดี๋ยวแว่นสกปรกบ้าง
(ล้างแว่นทุกวันๆละ1-2 ครั้ง เราโรคจิตค่ะ) วางลืมไว้บ้างตามัวอีกหาแว่นไม่เจอ จะใส่คอนแทคติดๆกันหลายๆวันก็ไม่ดี
และต้องรักษาความสะอาดมากๆด้วย(เราเคยเป็นตากุ้งยิง 2 ครั้งหมอบอกว่าเป็นเพราะสิ่งสกปรกเข้าตา
ขนาดเราว่าเราสะอาดมากๆแล้วตอนไปผ่ากุ้งยิงเจ็บมากเลยค่ะฮรือออ ฉีดยาชาที่ตาเลยนะเทอออ )
โมเม้นที่ลำบากแบบพีคตอนใส่คอนแทคคือเรา ใส่คอนแทคแล้วฮัดเช้ย คอนแทคหลุดออกจากตาขวาเลยค่ะ 55555
งงมาก ฮัดเช้ยเสร็จตามัว มันลำบากจริงๆในความรู้สึกเรา บางทีกำลังจะใส่คอนแทค เหยดดดดดด คอนแทคขาดซะงั้น
บางทีเอามากำลังจะใส่เข้าตาทำตกพื้นบ้าง ตกถังขยะบ้าง นู่นนี่(ลำบากไหมถามใจเธอดู)
ตอนเราหาข้อมูลเรื่องทำเลสิคเราให้ความสำคัญกับหมอก่อน
เพราะเชื่อว่าหมอที่มีชื่อเสียงน่าจะทำในสถานที่ๆน่าเชื่อถือค่ะ ตอนนั้นหาข้อมูลแบบข้นคลั่กมาก
ทั้งรีวิวและคนที่เรารู้จัก สุดท้ายเรามาสรุปที่คุณหมอตุลยาค่ะ(มีคนรู้จักเราทำกับคุณหมอหลายคนซึ่งบอกกันว่าคุณหมอน่ารักและใจดีมาก)
คุณหมอเข้าอยู่ 3 ที่ คือศูนย์เลสิคของทอปเจริญซึ่งไกลจากบ้านเรามาก อีกที่คือ supremei ที่นี่ไม่ไกลจากบ้านเราค่ะ
และสุดท้ายคือ โรงพยาบาลปิยะเวท ซึ่งเราสนใจที่นี่มากที่สุดเพราะน้องสาวของเพื่อนเราเพิ่งไปทำจากที่นี่มา
แต่ทำกับคุณหมอขนิษฐาค่ะ ซึ่งที่นี่ไม่ไกลจากบ้านเรามากด้วยขึ้นทางด่วนลงพระราม 9 ก็ถึงแล้ว
หลังจากนั้นก็โทรนัดที่ศูนย์เลสิค รพ.ปิยะเวทเพื่อไปตรวจตาค่ะ คุณหมอตุลเข้าเวรวัน พฤหัสช่วงบ่ายและเสาร์ช่วงเช้า
ซึ่งจริงๆสามารถตรวจและทำได้เลยในวันเดียวกันถ้ามีคิวว่าง แต่เรายังไม่ทำค่ะ จะทำอีก 1 อาทิตย์ถัดไป
เพราะเราอยากไปเล่นน้ำที่ วานานาวา หัวหินกับน้องสาวก่อน
(มีโปร 1 แถม 1 ถึงสิ้นปีนี้นะอย่าลืมไปกันเราชอบมากกกกคุ้มสุดๆ เครื่องเล่นอันน้ำเงินเหลืองคือที่สุดแล้ว 555)
อยากบอกว่าที่ รพ ปิยะเวทตอนนี้ฟรีค่าตรวจตาก่อนทำเลสิค เสียแค่ค่าทำแฟ้มประวัติ 100 บาทเท่านั้น
ดีไปอีกค่ะ(ที่อื่นมีค่าตรวจตั้งแต่ 500-1500 บาท) โดยก่อนตรวจตาเราต้องถอดคอนแทคก่อนประมาณ 5 วัน
เพื่อให้ดวงตาเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่นะจ๊ะ ถึงวันนัดวันพฤหัส ศูนย์เลสิคของ รพ ปิยะเวทอยู่ ชั้น 6 ค่ะ
เราไม่เคยมีประวัติ รพ นี้มาก่อนก็ไปทำประวัติก่อนที่ชั้น 1 และขึ้นลิฟไปชั้น 6 ค่ะ โดยจะมีพี่พนักงาน
คอยบริการเราตลอดตั้งแต่เดินเข้า รพ เลย ซึ่งตรวจช่วงแรกก็วัดค่าสายตาและความดันลูกตาปกติค่ะ เฉยๆเลย
ส่วนที่สองคือวัดค่าความหนากระจกตาและความโค้งกระจกตา
ซึ่งจะต้องหยอดยาขยายรูม่านตาและรอเวลาประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง
เพื่อให้รูม่านตาขยายเต็มที่ (อันนี้ขอแนะนำให้ไปส่องกระจกตอนรูม่านตาขยายเต็มที่นะคะ
ตลกมากกก วงตาดำอันเล็กๆของเราจะขยายเกือบเท่าตาสีน้ำตาลของเรา เหมือนตุ๊กตาเลยอ่ะ 555555)
ไม่ใช่ว่าทุกคนที่อยากทำเลสิคจะทำได้นะคะ (มีตังอย่างเดียวทำไม่ได้นาจา)
มีหลายองค์ประกอบที่วัดว่าจะทำเลสิคได้มั๊ยแต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ค่าความหนากระจกตาค่ะ
ซึ่งค่าเฉลี่ยของคนเอเชียจะอยู่ที่ 500 ต้นๆ - 600 ยิ่งหนายิ่งดีค่ะ เพราะการทำเลสิคทุกคนจะเสีย
ความหนาของกระจกตาไปจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณหมอเห็นว่าเหมาะสมค่ะ
(จากที่เราหาข้อมูล กระจกตาของเรามีไว้เพื่อป้องกันความดันในลูกตา ถ้าเกิดว่าบางเกินไป
จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคตาโป่งพอง โดยค่าความหนาน้อยที่สุดที่จัดว่าปลอดภัยคือประมาณ 270-300 ค่ะ)
โดยตอนวัดความโค้งและความหนากระจกตาเราจะต้องเบิกตาโตๆค่ะ แล้วเราเป็น ผู้หญิงตัวน้อย ตาตี่ๆ ย้ำว่า ตี่ๆ ฮรืออออออออ
ตอนวัดพี่พยาบาลบอกว่า เปิดตาโตๆค่ะ โตกว่านี้อีกค่ะ ต้องโตกว่านี้ค่ะ เบิกตาค่ะ
พูดประมาณ 5-6 รอบต่อตา 1 ข้างของเราค่ะ รวม 2 ข้างโดนตอกย้ำว่าตาตี่ไปรวมแล้ว 10 กว่ารอบ
คือเราก็พยายามแล้วค่ะมันได้เท่านี้จิจิ เส้าไปอีกกกก 55555(แต่พี่พยาบาลใจดีนา)
พอเสร็จผลออกมาจะมีผู้ช่วยคุณหมอมาพูดถึงผลตรวจเบื้องต้นของเราค่ะ
ที่ รพ ปิยะเวทผู้ช่วยคุณหมอตุลยา ชื่อพี่เอ๋ ใจดีมากๆค่ะ พี่เอ๋บอกว่าค่ากระจกตาเราอยู่ที่ 530 ซึ่งจัดว่าบาง แต่ทำได้
ถ้าอนาคตสั้นเพิ่มอีกไม่เยอะ เช่น ไม่เกิน 100 อาจจะยิงซ้ำได้อีกครั้ง
แต่เรามีปัญหาคือรูม่านตาเราใหญ่กว่าคนปกติ มันจะส่งผลให้เราเห็นแสงไฟ
ตอนกลางคืนเป็นวงที่ใหญ่กว่าคนทั่วๆไป ตั้งแต่ก่อนทำเลสิคอยู่แล้วซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ
ปกติเราขับรถกลางคืนบ่อยมาก ซึ่งหลังจากทำเลสิคแล้วจะต้องเห็นวงแสงไฟกว้างกว่าที่เราเห็นทุกวันนี้
อีกแน่ๆประมาณ 15-20% ซึ่งเค้าบอกว่า worst case คือหลังจากทำแล้วอาจจะขับรถตอนกลางคืนไม่ได้อีก
ซึ่งพบได้น้อยมาก (พอเรากลับบ้านมา เรามองแต่ไฟที่ถนนค่ะ เหมือนคนบ้า 55555
แล้วพยายามจินตนาการว่าถ้าเห็นกว้างกว่านี้อีกจะเป็นไรมั๊ย แต่เราว่าเราสายสตรองค่ะ ไม่เป็นไร สบายมากอยากทำมากกว่า)
ตัดภาพมาพอเราคุยกับพี่เอ๋เสร็จ ซักพักใหญ่ๆเราก็ได้เข้าไปเจอคุณหมอตุลค่ะ
เราสวัสดีคุณหมอ คำแรกที่คุณหมอพูดกับเราคือ หนูตาตี่อะลูก
ส่วนใหญ่พวกตาตี่หมอจับทำ prk หมดไม่ดู factor อื่นค่ะ (โหหหหห เส้าไปอีก หน้าเจื่อนทันที 55555)
คือเราไม่อยากทำ prk เพราะที่รู้คือหลังทำนี่เจ็บไปหลายวัน เราไม่อยากเลยค่ะ
หมอบอกเราว่าดูค่ากระจกตาแล้วเราทำได้ทุกวิธี
หลังจากนั้นหมอให้เราไปนอนบนเตียงและหมอก็ลองถ่างตาน้อยๆของเราค่ะ และเสียงสวรรค์จากหมอก็บอกเราว่า
อาจจะไหว อาจจะทำ sbk ไหว ยังงี้ในห้องผ่าตัดหมอจะลองดูว่าเราทนได้มั๊ย
ถ้าไม่ได้จะเปลี่ยนเป็น prk ทันที(เครื่องเปิดกระจกตาของ sbk มีขนาดใหญ่ค่ะ หมอต้องถ่างตาเราค่อนข้างกว้าง
หมอกลัวว่าเราจะทนเจ็บไม่ได้) เราก็ค่ะๆ นาทีนี้ขอแค่ได้ทำ เราเอาหมด ทนได้ 55555
เวิ่นมานาน จะบอกว่าที่ รพ ปิยะเวทมีวิธีการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตาอยู่ 3 วิธีและมีราคาดังนี้
1. PRK เป็นวิธีแก้ไขปัญหาสายตาโดยจะมีอุปกรณ์ขูดผิวของกระจกตาให้เป็นแผลถลอก
และยิงเลเซอร์ปรับความโค้งของเนื้อเยื่อกระจกตา เสร็จแล้วจะใส่คอนแทคเลนส์แบบไม่มีค่าสายตา
ปิดแผลไว้ประมาณ 4-5 วัน ราคา 34900 บาท(รวมค่าหมอ ค่าผ่าตัดและค่ายา)
ซึ่งการขูดกระจกตาวิธีนี้มีข้อดีและข้อเสียดังนี้ค่ะ
- ข้อดีคือเหมาะกับคนที่มีค่ากระจกตาบางเพราะเสียกระจกตาน้อย และใครที่ตาตี่ก็ควรทำวิธีนี้
เพราะเครื่องขูดกระจกตามีขนาดเล็กค่ะ ไม่ต้องเบิกตาเยอะ555555555 หรือสำหรับใครที่อนาคตอยากเป็นตำรวจ ทหาร นักบิน
หรือต้องการใช้ชีวิตแบบผาดโผน วิธีนี้เหมาะค่ะ ถ้าเข้าใจไม่ผิดเป็นเพราะแผลจะเล็ก
เนื่องจากไม่ต้องเปิดกระจกตาแบบวิธีอื่นๆ อีกอย่างคือราคาถูกและเป็นเทคโนโลยีที่จัดว่าปลอดภัยมากเพราะมีมานานแล้ว
- ข้อเสีย เนื่องจากเราต้องขูดผิวกระจกตา จะทำให้ต้องพักฟื้นนาน และเจ็บตัวนานที่สุดในบรรดาทุกวิธี
เพราะต้องรอให้เนื้อกระจกตาสร้างขึ้นมาใหม่ รวมการพักฟื้นประมาณ 7 วัน(กลัวป่าวว เรากลัวว 5555555)
2. LASIK เป็นวิธีที่คนไทยคุ้นเคยและเอามาเรียกกันแบบทั่วๆไปค่ะ
วิธีนี้จะใช้อุปกรณ์มาแยกชั้นกระจกตาของเราให้มีความหนาประมาณ 1 ใน 3 ของปกติและยิงเลเซอร์
เพื่อขัดเนื้อกระจกตาและปรับความโค้งของกระจกตา ราคา 37900 บาท(รวมค่าหมอ ค่าผ่าตัดและค่ายา)
- ข้อดี สำหรับคนที่มีค่าสายตาเยอะ lasik เป็นวิธีที่ดีค่ะ(ถ้าคุณมีกระจกตาหนา)
และที่ดีสุดคือใครเป็นทีมเลสิคเท่าที่อ่านรีวิวมา เจ็บแค่ตอนหลังทำไม่กี่ ชม.
พอกินยานอนหลับแล้วตื่นมาจะเหมือนฝันไปค่ะ ตื่นมาตาชัดเลย 5555555 เฉยๆชิวๆ
ถ้าเป็นสายสตรองก็ใส่แว่นกันแดดออกชอปปิ้งได้เลยในวันต่อไป
- ข้อเสีย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางค่ะ เพราะเป็นวิธีที่ทำให้เสียกระจกตาค่อนข้างเยอะ
และมีราคาสูงกว่า prk ค่ะ นอกจากนี้คุณควรต้องตาโตระดับนึง
เพราะเครื่องเปิดกระจกตามีขนาดใหญ่พอสมควร(แต่...ไม่ใหญ่เท่า sbk นะ - - )
3. SBK เค้าบอกว่าวิธีนี้จะรวบรวมข้อดีของ prk และ lasik เข้าด้วยกัน(แค่ฟังก็อยากทำทันที55555)
โดยจะใช้เครื่องเปิดชั้นกระจกตาและยิงเลเซอร์เพื่อปรับความโค้งของกระจกตา
ราคา 37900 บาท(รวมค่าหมอ ค่าผ่าตัดและค่ายา) และสรุปแล้วเราเบิกตาตี่ๆของเราได้เราเลยได้ทำวิธีนี้ค่ะ
- ข้อดี อย่างที่บอกไปว่าวิธีนี้คือการรวมข้อดีของ prk และ lasik เราจึงเสียกระจกตาน้อยและฟื้นตัวได้ไว
นอกจากนี้ยังมีการทดสอบว่าหลังทำ sbk มีโอกาสที่จะทำให้ตาแห้งน้อยกว่าวิธีอื่นๆด้วยนะ
- ข้อเสีย จากที่เราหาข้อมูลเราแทบไม่เจอข้อเสียของวิธีนี้เลยค่ะ
ถ้าจะมีก็แค่เครื่องเปิดกระจกตาของวิธีนี้มีขนาดใหญ่(ใหญ่กว่า lasik ด้วย)และเราตาตี่ค่ะ
คือตอนที่หมอถ่างตาเราก็เจ็บ แต่มันเป็นความรู้สึกว่าทนได้ค่ะ แค่รู้สึกอึดอัดเฉยๆ
เราแค่คิดว่าหมอไม่ทำตาเราแหกหรอก555555 ก็เลยทนเอาค่ะอึดใจเดียว
และข้อเสียอีกอย่างคือวิธีนี้มี รพ หรือ คลินิค ที่ทำวิธีนี้น้อยมากค่ะ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร
อย่างที่บอกไปว่าสุดท้ายแล้วเราได้ทำวิธี sbk ค่ะ ซึ่งก่อนเข้าห้องผ่าตัดเราก็ลุ้นมากว่าเราจะเบิกตาได้มั๊ย
ซึ่งหากเราทนไม่ได้ต้องเปลี่ยนวิธีเป็น prk แต่ยังไงเราก็เสียเงินแบบวิธี sbk นะคะ
คือแพงกว่า 3000 บาท เราเลยแบบสู้ค่ะ 55555 ซึ่งพี่เอ๋(ผู้ช่วยคุณหมอ)อธิบายว่าในห้องผ่าตัด
หมอจะเปิดกระจกตาแบบ sbk ให้เรา 3 ครั้งถ้าเราทนไม่ไหวจะเปลี่ยนเป็น prk ทันที
เพราะถ้ามากกว่านี้ดวงตาเราจะช้ำได้ค่ะ
ซึ่งในวันนั้นคุณหมอมีเคสทำเลสิคอยู่ 6 เคสมีของเราเคสเดียวที่เป็นเคสพิเศษแต่พี่เอ๋บอกว่า
เครื่องจะถ่างตาเราแค่ 10 วินาทีเท่านั้นเพื่อเปิดกระจกตา ถ้าเราทนได้คือผ่าน เราเลยค่อนข้างมั่นใจว่าทำได้ค่ะ
และสุดท้ายเราก็ทำได้ ตั้งแต่ครั้งแรก กิสกิส
พอเข้าห้องผ่าตัดแล้วพี่พยาบาลจะให้เรานอนราบบนเตียงผ่าตัด แล้วหยอดยาชา 3 รอบ
และฝึกมองไฟสีแดงและสีเขียว ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ จำไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมองหาไฟสีแดงและเขียวไว้เท่านั้นเอง
รวมเวลาทั้งหมดในการเข้าห้องผ่าตัดเราว่าประมาณ 20 นาทีค่ะ
ที่ไม่พอพิมพ์ เดี๋ยวมาต่อในคอมเม้นนะคะ
[CR] รีวิวการทำเลสิค(LASIK)ที่ รพ ปิยะเวท กับคุณหมอตุลยา ไม่เจ็บอย่างที่คิด ได้ชีวิตใหม่ สบายกว่าเดิมเยอะ
เราเป็นคนสายตาสั้นค่ะ ไม่รู้ว่าสั้นมาตั้งแต่กี่ขวบแต่มารู้ตัวตอนอยู่ ป.6 ว่าสั้นไปเกือบ 200 แล้ว
หลังจากนั้นก็ใส่แว่นมาตลอด เราวัดค่าสายตาและเปลี่ยนแว่นมาเรื่อยๆจนจบ ม.6
ช่วงนั้นสายตาน่าจะประมาณ 325 พอๆกันทั้ง 2 ข้าง
พอขึ้นมหาลัยวันไปเรียนหรือไปเที่ยวส่วนใหญ่เราก็ใส่คอนแทคค่ะ ถ้าวันไหนอยู่บ้านก็ใส่แว่นเอา
แต่เราเป็นคนโชคดีค่ะ มหาลัยช่วงต้องทำงานหน้าคอมเยอะๆหรือใช้สายตาหนักๆค่าสายตาเราก็ไม่ขึ้นมาก
จนเรียนจบ เราสั้นอยู่ประมาณ 400 และข้างซ้ายเอียงนิดหน่อย
จนตอนนี้อายุ 25 สายตาเราคงที่คือ 400 แล้วเราก็ใส่คอนแทคกับแว่นสลับๆกันไปค่ะ ความรู้สึกเราคืออยากเปลี่ยนแว่นแล้ว
เพราะแว่นที่ใส่มาอันล่าสุดก็ 2-3 ปีแล้ว ไม่วัยรุ่นเลอออ(หาเรื่องไปเอง555555)
แล้วเราชอบทำแว่นตกบ่อยค่ะ เลนส์เป็นรอยเยอะด้วยก็เลยอยากเปลี่ยนแว่น เราไปหาแบบกรอบแว่นที่เราชอบ
และเลนส์ซึ่งเราใช้เลนส์ย่อบาง ไปดูมาหลายรอบหาแบบที่ชอบแบบปังปัง ไม่ได้เลย
ส่วนอันที่พอโอเคแต่ไม่ปังมากราคาสิริรวมกับเลนส์ประมาณ 4-5 พันบาท เราเลยมาคิดว่าอายุก็ปูนนี้(25ล้าววว)
บวกกับค่าคอนแทค ค่าน้ำยาแช่คอนแทค น้ำเกลือล้างคอนแทค บลาๆ รวมทั้งชีวิตเอาตังรวมกันมาทำเลสิคเลยดีกว่ามั๊ย
แค่คิดเรื่องนี้ได้ 5 นาทีก็หาเรื่องทันทีค่ะ รีบหาดูรีวิวทำเลสิคจากที่ไม่เคยหาข้อมูลมาก่อนเลย
จริงๆเราค่อนข้างรำคาญมากที่เราสายตาสั้นรู้สึกเหมือนเป็นกรรมอย่างนึง ใส่แว่นก็ลำบากชีวิตเดี๋ยวแว่นสกปรกบ้าง
(ล้างแว่นทุกวันๆละ1-2 ครั้ง เราโรคจิตค่ะ) วางลืมไว้บ้างตามัวอีกหาแว่นไม่เจอ จะใส่คอนแทคติดๆกันหลายๆวันก็ไม่ดี
และต้องรักษาความสะอาดมากๆด้วย(เราเคยเป็นตากุ้งยิง 2 ครั้งหมอบอกว่าเป็นเพราะสิ่งสกปรกเข้าตา
ขนาดเราว่าเราสะอาดมากๆแล้วตอนไปผ่ากุ้งยิงเจ็บมากเลยค่ะฮรือออ ฉีดยาชาที่ตาเลยนะเทอออ )
โมเม้นที่ลำบากแบบพีคตอนใส่คอนแทคคือเรา ใส่คอนแทคแล้วฮัดเช้ย คอนแทคหลุดออกจากตาขวาเลยค่ะ 55555
งงมาก ฮัดเช้ยเสร็จตามัว มันลำบากจริงๆในความรู้สึกเรา บางทีกำลังจะใส่คอนแทค เหยดดดดดด คอนแทคขาดซะงั้น
บางทีเอามากำลังจะใส่เข้าตาทำตกพื้นบ้าง ตกถังขยะบ้าง นู่นนี่(ลำบากไหมถามใจเธอดู)
ตอนเราหาข้อมูลเรื่องทำเลสิคเราให้ความสำคัญกับหมอก่อน
เพราะเชื่อว่าหมอที่มีชื่อเสียงน่าจะทำในสถานที่ๆน่าเชื่อถือค่ะ ตอนนั้นหาข้อมูลแบบข้นคลั่กมาก
ทั้งรีวิวและคนที่เรารู้จัก สุดท้ายเรามาสรุปที่คุณหมอตุลยาค่ะ(มีคนรู้จักเราทำกับคุณหมอหลายคนซึ่งบอกกันว่าคุณหมอน่ารักและใจดีมาก)
คุณหมอเข้าอยู่ 3 ที่ คือศูนย์เลสิคของทอปเจริญซึ่งไกลจากบ้านเรามาก อีกที่คือ supremei ที่นี่ไม่ไกลจากบ้านเราค่ะ
และสุดท้ายคือ โรงพยาบาลปิยะเวท ซึ่งเราสนใจที่นี่มากที่สุดเพราะน้องสาวของเพื่อนเราเพิ่งไปทำจากที่นี่มา
แต่ทำกับคุณหมอขนิษฐาค่ะ ซึ่งที่นี่ไม่ไกลจากบ้านเรามากด้วยขึ้นทางด่วนลงพระราม 9 ก็ถึงแล้ว
หลังจากนั้นก็โทรนัดที่ศูนย์เลสิค รพ.ปิยะเวทเพื่อไปตรวจตาค่ะ คุณหมอตุลเข้าเวรวัน พฤหัสช่วงบ่ายและเสาร์ช่วงเช้า
ซึ่งจริงๆสามารถตรวจและทำได้เลยในวันเดียวกันถ้ามีคิวว่าง แต่เรายังไม่ทำค่ะ จะทำอีก 1 อาทิตย์ถัดไป
เพราะเราอยากไปเล่นน้ำที่ วานานาวา หัวหินกับน้องสาวก่อน
(มีโปร 1 แถม 1 ถึงสิ้นปีนี้นะอย่าลืมไปกันเราชอบมากกกกคุ้มสุดๆ เครื่องเล่นอันน้ำเงินเหลืองคือที่สุดแล้ว 555)
อยากบอกว่าที่ รพ ปิยะเวทตอนนี้ฟรีค่าตรวจตาก่อนทำเลสิค เสียแค่ค่าทำแฟ้มประวัติ 100 บาทเท่านั้น
ดีไปอีกค่ะ(ที่อื่นมีค่าตรวจตั้งแต่ 500-1500 บาท) โดยก่อนตรวจตาเราต้องถอดคอนแทคก่อนประมาณ 5 วัน
เพื่อให้ดวงตาเราได้พักผ่อนอย่างเต็มที่นะจ๊ะ ถึงวันนัดวันพฤหัส ศูนย์เลสิคของ รพ ปิยะเวทอยู่ ชั้น 6 ค่ะ
เราไม่เคยมีประวัติ รพ นี้มาก่อนก็ไปทำประวัติก่อนที่ชั้น 1 และขึ้นลิฟไปชั้น 6 ค่ะ โดยจะมีพี่พนักงาน
คอยบริการเราตลอดตั้งแต่เดินเข้า รพ เลย ซึ่งตรวจช่วงแรกก็วัดค่าสายตาและความดันลูกตาปกติค่ะ เฉยๆเลย
ส่วนที่สองคือวัดค่าความหนากระจกตาและความโค้งกระจกตา
ซึ่งจะต้องหยอดยาขยายรูม่านตาและรอเวลาประมาณ 45 นาที – 1 ชั่วโมง
เพื่อให้รูม่านตาขยายเต็มที่ (อันนี้ขอแนะนำให้ไปส่องกระจกตอนรูม่านตาขยายเต็มที่นะคะ
ตลกมากกก วงตาดำอันเล็กๆของเราจะขยายเกือบเท่าตาสีน้ำตาลของเรา เหมือนตุ๊กตาเลยอ่ะ 555555)
ไม่ใช่ว่าทุกคนที่อยากทำเลสิคจะทำได้นะคะ (มีตังอย่างเดียวทำไม่ได้นาจา)
มีหลายองค์ประกอบที่วัดว่าจะทำเลสิคได้มั๊ยแต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ค่าความหนากระจกตาค่ะ
ซึ่งค่าเฉลี่ยของคนเอเชียจะอยู่ที่ 500 ต้นๆ - 600 ยิ่งหนายิ่งดีค่ะ เพราะการทำเลสิคทุกคนจะเสีย
ความหนาของกระจกตาไปจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณหมอเห็นว่าเหมาะสมค่ะ
(จากที่เราหาข้อมูล กระจกตาของเรามีไว้เพื่อป้องกันความดันในลูกตา ถ้าเกิดว่าบางเกินไป
จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคตาโป่งพอง โดยค่าความหนาน้อยที่สุดที่จัดว่าปลอดภัยคือประมาณ 270-300 ค่ะ)
โดยตอนวัดความโค้งและความหนากระจกตาเราจะต้องเบิกตาโตๆค่ะ แล้วเราเป็น ผู้หญิงตัวน้อย ตาตี่ๆ ย้ำว่า ตี่ๆ ฮรืออออออออ
ตอนวัดพี่พยาบาลบอกว่า เปิดตาโตๆค่ะ โตกว่านี้อีกค่ะ ต้องโตกว่านี้ค่ะ เบิกตาค่ะ
พูดประมาณ 5-6 รอบต่อตา 1 ข้างของเราค่ะ รวม 2 ข้างโดนตอกย้ำว่าตาตี่ไปรวมแล้ว 10 กว่ารอบ
คือเราก็พยายามแล้วค่ะมันได้เท่านี้จิจิ เส้าไปอีกกกก 55555(แต่พี่พยาบาลใจดีนา)
พอเสร็จผลออกมาจะมีผู้ช่วยคุณหมอมาพูดถึงผลตรวจเบื้องต้นของเราค่ะ
ที่ รพ ปิยะเวทผู้ช่วยคุณหมอตุลยา ชื่อพี่เอ๋ ใจดีมากๆค่ะ พี่เอ๋บอกว่าค่ากระจกตาเราอยู่ที่ 530 ซึ่งจัดว่าบาง แต่ทำได้
ถ้าอนาคตสั้นเพิ่มอีกไม่เยอะ เช่น ไม่เกิน 100 อาจจะยิงซ้ำได้อีกครั้ง
แต่เรามีปัญหาคือรูม่านตาเราใหญ่กว่าคนปกติ มันจะส่งผลให้เราเห็นแสงไฟ
ตอนกลางคืนเป็นวงที่ใหญ่กว่าคนทั่วๆไป ตั้งแต่ก่อนทำเลสิคอยู่แล้วซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนเลยค่ะ
ปกติเราขับรถกลางคืนบ่อยมาก ซึ่งหลังจากทำเลสิคแล้วจะต้องเห็นวงแสงไฟกว้างกว่าที่เราเห็นทุกวันนี้
อีกแน่ๆประมาณ 15-20% ซึ่งเค้าบอกว่า worst case คือหลังจากทำแล้วอาจจะขับรถตอนกลางคืนไม่ได้อีก
ซึ่งพบได้น้อยมาก (พอเรากลับบ้านมา เรามองแต่ไฟที่ถนนค่ะ เหมือนคนบ้า 55555
แล้วพยายามจินตนาการว่าถ้าเห็นกว้างกว่านี้อีกจะเป็นไรมั๊ย แต่เราว่าเราสายสตรองค่ะ ไม่เป็นไร สบายมากอยากทำมากกว่า)
ตัดภาพมาพอเราคุยกับพี่เอ๋เสร็จ ซักพักใหญ่ๆเราก็ได้เข้าไปเจอคุณหมอตุลค่ะ
เราสวัสดีคุณหมอ คำแรกที่คุณหมอพูดกับเราคือ หนูตาตี่อะลูก
ส่วนใหญ่พวกตาตี่หมอจับทำ prk หมดไม่ดู factor อื่นค่ะ (โหหหหห เส้าไปอีก หน้าเจื่อนทันที 55555)
คือเราไม่อยากทำ prk เพราะที่รู้คือหลังทำนี่เจ็บไปหลายวัน เราไม่อยากเลยค่ะ
หมอบอกเราว่าดูค่ากระจกตาแล้วเราทำได้ทุกวิธี
หลังจากนั้นหมอให้เราไปนอนบนเตียงและหมอก็ลองถ่างตาน้อยๆของเราค่ะ และเสียงสวรรค์จากหมอก็บอกเราว่า
อาจจะไหว อาจจะทำ sbk ไหว ยังงี้ในห้องผ่าตัดหมอจะลองดูว่าเราทนได้มั๊ย
ถ้าไม่ได้จะเปลี่ยนเป็น prk ทันที(เครื่องเปิดกระจกตาของ sbk มีขนาดใหญ่ค่ะ หมอต้องถ่างตาเราค่อนข้างกว้าง
หมอกลัวว่าเราจะทนเจ็บไม่ได้) เราก็ค่ะๆ นาทีนี้ขอแค่ได้ทำ เราเอาหมด ทนได้ 55555
เวิ่นมานาน จะบอกว่าที่ รพ ปิยะเวทมีวิธีการผ่าตัดแก้ไขปัญหาสายตาอยู่ 3 วิธีและมีราคาดังนี้
1. PRK เป็นวิธีแก้ไขปัญหาสายตาโดยจะมีอุปกรณ์ขูดผิวของกระจกตาให้เป็นแผลถลอก
และยิงเลเซอร์ปรับความโค้งของเนื้อเยื่อกระจกตา เสร็จแล้วจะใส่คอนแทคเลนส์แบบไม่มีค่าสายตา
ปิดแผลไว้ประมาณ 4-5 วัน ราคา 34900 บาท(รวมค่าหมอ ค่าผ่าตัดและค่ายา)
ซึ่งการขูดกระจกตาวิธีนี้มีข้อดีและข้อเสียดังนี้ค่ะ
- ข้อดีคือเหมาะกับคนที่มีค่ากระจกตาบางเพราะเสียกระจกตาน้อย และใครที่ตาตี่ก็ควรทำวิธีนี้
เพราะเครื่องขูดกระจกตามีขนาดเล็กค่ะ ไม่ต้องเบิกตาเยอะ555555555 หรือสำหรับใครที่อนาคตอยากเป็นตำรวจ ทหาร นักบิน
หรือต้องการใช้ชีวิตแบบผาดโผน วิธีนี้เหมาะค่ะ ถ้าเข้าใจไม่ผิดเป็นเพราะแผลจะเล็ก
เนื่องจากไม่ต้องเปิดกระจกตาแบบวิธีอื่นๆ อีกอย่างคือราคาถูกและเป็นเทคโนโลยีที่จัดว่าปลอดภัยมากเพราะมีมานานแล้ว
- ข้อเสีย เนื่องจากเราต้องขูดผิวกระจกตา จะทำให้ต้องพักฟื้นนาน และเจ็บตัวนานที่สุดในบรรดาทุกวิธี
เพราะต้องรอให้เนื้อกระจกตาสร้างขึ้นมาใหม่ รวมการพักฟื้นประมาณ 7 วัน(กลัวป่าวว เรากลัวว 5555555)
2. LASIK เป็นวิธีที่คนไทยคุ้นเคยและเอามาเรียกกันแบบทั่วๆไปค่ะ
วิธีนี้จะใช้อุปกรณ์มาแยกชั้นกระจกตาของเราให้มีความหนาประมาณ 1 ใน 3 ของปกติและยิงเลเซอร์
เพื่อขัดเนื้อกระจกตาและปรับความโค้งของกระจกตา ราคา 37900 บาท(รวมค่าหมอ ค่าผ่าตัดและค่ายา)
- ข้อดี สำหรับคนที่มีค่าสายตาเยอะ lasik เป็นวิธีที่ดีค่ะ(ถ้าคุณมีกระจกตาหนา)
และที่ดีสุดคือใครเป็นทีมเลสิคเท่าที่อ่านรีวิวมา เจ็บแค่ตอนหลังทำไม่กี่ ชม.
พอกินยานอนหลับแล้วตื่นมาจะเหมือนฝันไปค่ะ ตื่นมาตาชัดเลย 5555555 เฉยๆชิวๆ
ถ้าเป็นสายสตรองก็ใส่แว่นกันแดดออกชอปปิ้งได้เลยในวันต่อไป
- ข้อเสีย ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีกระจกตาบางค่ะ เพราะเป็นวิธีที่ทำให้เสียกระจกตาค่อนข้างเยอะ
และมีราคาสูงกว่า prk ค่ะ นอกจากนี้คุณควรต้องตาโตระดับนึง
เพราะเครื่องเปิดกระจกตามีขนาดใหญ่พอสมควร(แต่...ไม่ใหญ่เท่า sbk นะ - - )
3. SBK เค้าบอกว่าวิธีนี้จะรวบรวมข้อดีของ prk และ lasik เข้าด้วยกัน(แค่ฟังก็อยากทำทันที55555)
โดยจะใช้เครื่องเปิดชั้นกระจกตาและยิงเลเซอร์เพื่อปรับความโค้งของกระจกตา
ราคา 37900 บาท(รวมค่าหมอ ค่าผ่าตัดและค่ายา) และสรุปแล้วเราเบิกตาตี่ๆของเราได้เราเลยได้ทำวิธีนี้ค่ะ
- ข้อดี อย่างที่บอกไปว่าวิธีนี้คือการรวมข้อดีของ prk และ lasik เราจึงเสียกระจกตาน้อยและฟื้นตัวได้ไว
นอกจากนี้ยังมีการทดสอบว่าหลังทำ sbk มีโอกาสที่จะทำให้ตาแห้งน้อยกว่าวิธีอื่นๆด้วยนะ
- ข้อเสีย จากที่เราหาข้อมูลเราแทบไม่เจอข้อเสียของวิธีนี้เลยค่ะ
ถ้าจะมีก็แค่เครื่องเปิดกระจกตาของวิธีนี้มีขนาดใหญ่(ใหญ่กว่า lasik ด้วย)และเราตาตี่ค่ะ
คือตอนที่หมอถ่างตาเราก็เจ็บ แต่มันเป็นความรู้สึกว่าทนได้ค่ะ แค่รู้สึกอึดอัดเฉยๆ
เราแค่คิดว่าหมอไม่ทำตาเราแหกหรอก555555 ก็เลยทนเอาค่ะอึดใจเดียว
และข้อเสียอีกอย่างคือวิธีนี้มี รพ หรือ คลินิค ที่ทำวิธีนี้น้อยมากค่ะ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะอะไร
อย่างที่บอกไปว่าสุดท้ายแล้วเราได้ทำวิธี sbk ค่ะ ซึ่งก่อนเข้าห้องผ่าตัดเราก็ลุ้นมากว่าเราจะเบิกตาได้มั๊ย
ซึ่งหากเราทนไม่ได้ต้องเปลี่ยนวิธีเป็น prk แต่ยังไงเราก็เสียเงินแบบวิธี sbk นะคะ
คือแพงกว่า 3000 บาท เราเลยแบบสู้ค่ะ 55555 ซึ่งพี่เอ๋(ผู้ช่วยคุณหมอ)อธิบายว่าในห้องผ่าตัด
หมอจะเปิดกระจกตาแบบ sbk ให้เรา 3 ครั้งถ้าเราทนไม่ไหวจะเปลี่ยนเป็น prk ทันที
เพราะถ้ามากกว่านี้ดวงตาเราจะช้ำได้ค่ะ
ซึ่งในวันนั้นคุณหมอมีเคสทำเลสิคอยู่ 6 เคสมีของเราเคสเดียวที่เป็นเคสพิเศษแต่พี่เอ๋บอกว่า
เครื่องจะถ่างตาเราแค่ 10 วินาทีเท่านั้นเพื่อเปิดกระจกตา ถ้าเราทนได้คือผ่าน เราเลยค่อนข้างมั่นใจว่าทำได้ค่ะ
และสุดท้ายเราก็ทำได้ ตั้งแต่ครั้งแรก กิสกิส
พอเข้าห้องผ่าตัดแล้วพี่พยาบาลจะให้เรานอนราบบนเตียงผ่าตัด แล้วหยอดยาชา 3 รอบ
และฝึกมองไฟสีแดงและสีเขียว ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ จำไว้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมองหาไฟสีแดงและเขียวไว้เท่านั้นเอง
รวมเวลาทั้งหมดในการเข้าห้องผ่าตัดเราว่าประมาณ 20 นาทีค่ะ
ที่ไม่พอพิมพ์ เดี๋ยวมาต่อในคอมเม้นนะคะ