ของดีจากตำรา ผู้มีปัญญา รู้จักอดทน รอคอย จังหวะเวลาที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา

พระไตรปิฎก มีเนื้อหาเกี่ยวกับหลักธรรมะในชีวิตประจำวันถึง 84,000 หัวข้อธรรม ครอบคลุมทั้งเรื่องการปฏิบัติธรรมให้บรรลุนิพพาน และแม้แต่หลักธรรมของผู้ครองเรือนสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน

แต่ส่วนใหญ่แล้ว ด้วยการที่พระไตรปิฎกมีภาพลักษณ์ที่ดูเป็นวิชาการ เช่น รูปเล่มก็เหมือนตำราวิชาการ เนื้อหาก็เป็นภาษาสมัยเป็นร้อยเป็นพันปีมาแล้ว ซึ่งแตกต่างไปจากภาษาสมัยใหม่พอสมควร ทำให้เรามักจะเห็นพระไตรปิฎกเก็บไว้อยู่ในตู้เป็นหลัก แม้ปัจจุบันมีสื่อทางอินเตอร์เน็ตให้เข้าถึงพระไตรปิฎกได้ง่ายกว่าแต่ก่อน แต่พระไตรปิฎก ก็ยังดูเป็นเหมือนยาขมสำหรับเราๆ ท่านๆ อยู่ดี

อย่างผมเอง ก็อยู่ในประเภทชาวพุทธส่วนใหญ่ ที่แทบไม่เคยหยิบพระไตรปิฎกมาพลิกดูเลย แต่มีสื่อทางอินเตอร์มา เลยลองเข้าไปอ่านดูบ้าง ก็รู้สึกว่าได้ข้อคิดสอนใจที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้จากพระไตรปิฎกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เลยนำของดีจากพระไตรปิฎกมาฝากกันครับ

เรื่องก็มีอยู่ว่า พระพุทธเจ้าของเรา เมื่อครั้งยังเวียนว่ายตายเกิดบำเพ็ญบารมีอยู่ ยังไม่ได้ตรัสรู้ธรรม หรือที่เรานิยมเรียกว่า พระโพธิสัตว์ ในชาติหนึ่ง ท่านได้เกิดเป็นข้าราชการ ในตำแหน่งพนักงานตีราคาสินค้าในเมืองพาราณสี ซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นกาสี วันๆ พนักงานตีราคา จะคอยตีราคาสินค้าต่างๆ ที่บรรดาพวกพ่อค้าจากต่างแคว้น นำมาค้าขายให้กับผู้ปกครองของแคว้นกาสี เช่น ช้างม้า ผ้าเนื้อดี อัญมณี แก้วแหวนเงินทองต่างๆ ฯลฯ

และวันแล้ววันเล่าที่ผ่านไป ที่ผู้ปกครองประจำเมือง จะต้องคอยนั่งทนดูพนักงานตีราคาสินค้า ด้วยความทุกข์ใจยิ่ง ทั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะพนักงานตีราคา ไร้ความสามารถ ตีราคาสินค้าผิดๆ ถูกๆ ทำให้ผู้ปกครองกลุ้มใจ ไม่ใช่เช่นนั้นครับ แต่เป็นเพราะพนักงานท่านนี้ มีความสามารถมากเกินไป ตีราคาอย่างซื่อสัตย์ยุติธรรม เนี้ยบ เฉียบ เป๊ะเกินไป เลยทำให้ผู้ปกครองกลุ้มใจยิ่งนัก

ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองมีจิตละโมบโลภมาก ผู้ปกครองรู้สึกว่าทรัพย์สินในเมืองร่อยหรอลงไป ก็เพราะการตีราคาสินค้าที่เที่ยงตรงเช่นแหละ จึงคิดว่า "หากให้เจ้าคนนี้ ตีราคาต่อไป ทรัพย์สินในเมืองของเรา ต้องถึงซึ่งความพินาศโดยไม่ช้าไม่นาน แน่นอน"

นี่ ความคิดของคนพาลจะเป็นเช่นนี้ เห็นคนทำความดีแล้วแสลงใจ รับไม่ได้ ยิ่งเขาทำความดีมาก ตัวก็จะยิ่งเจ็บปวดรวดร้าว มีชีวิตอยู่อย่างร้าวราน ทนทุกข์ทรมานที่เห็นคนทำดี มันเป็นเช่นนี้นั่นเอง ดังนั้น ยุคใดสมัยใด ยิ่งทำความดีแล้วยิ่งเดือดร้อน พึงทราบไว้เลยว่า ยุคนั้นสมัยนั้น คนพาลเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นเสียแล้ว ซึ่งหากปล่อยไว้ ให้คนพาลมีจำนวนมากขึ้น จนมากกว่าจำนวนคนดีเมื่อไหร่ เมื่อนั้น บ้านเมืองจะต้องถึงกาลเสื่อมสลายลง อย่างแน่นอน

ย้อนมาเข้าเรื่องต่อ ว่าแล้วผู้ปกครองก็เริ่มสืบเสาะ สอดส่อง ตระเวณหา คนเขลาประจำเมืองที่จะมาช่วยงาน แทนพนักงานตีราคาผู้ซึ่อสัตย์ยุติธรรม ในที่สุดก็พบชายคนหนึ่ง ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม ด้วยสติปัญญาสามารถ...ที่โง่เขลา โอกาสมาถึงแล้ว ผู้ปกครองสั่งปลดพนักงานตีราคาคนปัจจุบัน แบบสายฟ้าแลบทันที

เล่นเอาพนักงานตีราคาผู้ซื่อสัตย์ถึงกับมึนงง แต่ก็ทำตามคำสั่ง แล้วผู้ปกครองก็แต่งตั้งบุรุษเขลาผู้นั้น มาเป็นพนักงานตีราคาสินค้าแทน และเจ้าพนักงานตีราคาคนใหม่นี้ ไม่ได้ใช้หลักยุติธรรม แต่ใช้หลักตีราคาตามใจฉัน ทำให้เสียของเสียราคา บรรดาพ่อค้าทั้งหลายต่างเดือดร้อนไปตามๆ กัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร เพราะนายคนนี้ ผู้ปกครองเป็นผู้ตั้งขึ้นมาโดยตรง ถ้ายุคปัจจุบัน ก็ต้องบอกว่า เส้นใหญ่มาก

แต่วาสนาของเมืองพาราณสีครั้งนี้ ยังไม่ถึงคราวดับสูญ เมื่อมีพ่อค้าคนหนึ่ง นำม้า 500 ตัว มาให้พนักงานใหม่นี้ตีราคา พนักงานใหม่ตีราคาเพื่อผู้ปกครองได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เพราะเขาตีราคา ม้าทั้ง 500 ตัวนี้ เท่ากับ ข้าวสารเพียงแค่ 1 ทะนาน ซึ่งหากเป็นคนอื่น ก็ได้แต่แบกความช้ำใจกลับบ้าน จะไปฟ้องสื่อที่ไหนก็ไม่ได้ เพราะสื่อในเมือง ก็เป็นคนของผู้ปกครองหมดทั้งสิ้น

แต่พ่อค้าคนนี้ไม่ใช่เช่นนั้น เขาตรงไปปรึกษาพนักงานตีราคาคนก่อน ที่ตอนนี้ถูกปลดหน้าที่ไปพักผ่อนอยู่บ้านนั่นเอง นักตีราคาผู้เปี่ยมด้วยสติปัญญาสามารถอย่างแท้จริง เห็นว่า ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ เมืองพาราณสีต้องล่มสลายลงแน่นอน เขาจึงแนะยอดอุบายให้พ่อค้า โดยให้พ่อค้า ไปให้สินบนกับคนตีราคาอยุติธรรมไว้ก่อน จากนั้น ให้นัดหมายคนรับสินบนผู้โง่เขลาให้ไปยังที่อยู่ของผู้ปกครองในวันที่ท่านกำลังออกว่าราชการ ซึ่งจะมีข้าราชการอำมาตย์น้อยใหญ่รายล้อมอยู่เต็มไปหมด แล้วไปตีราคาสินค้าตามแผนการที่เขาวางไว้ แม้เขาเองก็จะไปช่วยพ่อค้าด้วย

พ่อค้า ทำตามแผนของอดีตพนักงานตีราคาผู้ชาญฉลาด เขาให้สินบนพนักงานตีราคาผู้โง่เขลาเรียบร้อย นัดวันให้ไปพบผู้ปกครองถึงที่พำนัก ในวันที่พรั่งพร้อมด้วยเหล่าข้าราชการอำมาตย์น้อยใหญ่ รวมถึงอดีตพนักงานผู้ยุติธรรมก็ได้เดินทางมาในครั้งนี้ด้วย

พ่อค้าไปถึงก็ขอเข้าพบพร้อมแจ้งผู้ปกครองว่า ตนได้นำม้าชั้นดีมาขายยังเมืองพาราณสี โดยให้พนักงานตีราคา ตอนนี้ ตนทราบดีแล้วว่า ม้า 500 ตัวมีราคาเท่ากับข้าวสาร 1 ทะนาน ตนจึงอยากจะทราบต่อไปว่า แล้วข้าวสาร 1 ทะนาน มีราคาเท่ากับเท่าไหร่ ขอให้ผู้ปกครองช่วยสอบถามกับพนักงานตีราคานี้ด้วยเถิด

ผู้ปกครองไม่รู้รายละเอียด จึงสอบถามพนักงานตีราคาว่า “เอ้าเจ้าหน้าที่ของข้า ม้า 500 ตัว เจ้าตีราคาเท่ากับข้าวสาร 1 ทะนาน แล้วข้าวสาร 1 ทะนานล่ะ มีราคาเท่ากับเท่าไหร่” พนักงานตีความซึ่งรับสินบนจากพ่อค้าไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ตอบไปว่า “อ๋อ ข้าวสาร 1 ทะนาน มีราคาเท่ากับเมืองพาราณสี ทั้งในพระนครอาณาเขต 12 โยชน์ และนอกพระนครอาณาเขต 300 โยชน์ ขอรับท่านเจ้าเมือง”

อดีตพนักงานตีราคาคนดีคนยุติธรรม เห็นเป็นโอกาส จึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “โอ้ ข้าวสาร 1 ทะนาน มีราคาเทียบเท่ากับเมืองพาราณีสีทั้งเมือง
ทีเดียวเชียวหรือ” เหล่าอำมาตย์น้อยใหญ่ในที่นั้น เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ต่างก็พากันหัวเราะเยาะเย้ยด้วยความขบขัน แล้วกล่าวขึ้นมา “เมื่อก่อนเราคิดว่า เมืองพาราณสีของท่านผู้ปกครอง ช่างกว้างใหญ่มหาศาล หาค่ามิได้ แต่ตอนนี้ ทราบแล้วว่า มีราคาเพียงแค่ ข้าวสาร 1 ทะนาน พนักงานตีราคาคนนี้ ช่างมีคุณสมบัติเพียบพร้อม ช่างเหมาะสมกับท่านเป็นยิ่งนัก"

ผุ้ปกครองได้ฟังก็รู้สึกอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก จึงได้ลากตัวพนักงานตีราคาผู้โง่เขลานี้ออกไป หลังจากนั้น เมื่อพิจารณาใคร่ครวญสถานการณ์แล้ว เห็นว่า ที่ผ่านมาท่านกระทำในสิ่งที่ไม่สมควร จึงได้แต่งตั้งให้อดีตพนักงานตีราคาผู้ยุติธรรม กลับมารับหน้าที่ตีราคาสินค้าตามเดิม

จากเรื่องนี้ ให้ข้อคิดสอนใจไว้ดีมากหลายประการทีเดียว
1. ประเด็นที่ตรงใจผม เป็นข้อแรกคือ จะแก้ปัญหาสิ่งใด ต้องรู้จักอดทน รอคอยจังหวะเวลาที่เหมาะสม และแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา ดังเช่น พนักงานตีราคาผู้เที่ยงธรรม ที่บอกให้พ่อค้า รอจังหวะเวลาที่จะเปิดโปงคนเขลา ต่อหน้าธารกำนัล เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงผู้มีอิทธิพล หากตรงรี่ดุ่ยๆ เข้าไปแก้ปัญหา ก็ยิ่งมีแต่จะแบกรับความช้ำใจกลับมา พาลให้ตีโพยตีพายว่าโลกไม่ยุติธรรมไปเสียเปล่าๆ

2.ประเด็นที่สองคือ คนพาล อยู่ได้ด้วยผลประโยชน์ ไม่ได้อยู่ได้ด้วยความภักดี หากที่แห่งใด ให้ผลประโยชน์มากกว่า คนพาล ก็พร้อมที่จะไปเข้าพวกในที่แห่งนั้นทันที

3.คนดีที่โลกต้องการจริงๆ จะเป็นเพียงผู้ซื่อสัตย์ หรือ มีน้ำใจ เพียงอย่างเดียว ก็หาเพียงพอไม่ แต่จะต้องฝึกตัวเองให้เป็นผู้ที่ฉลาด มีปัญญา มิฉะนั้น ก็จะพลาดท่าให้กับคนพาล จะไปเพียงคิดว่าเราซื่อสัตย์ เรามีน้ำใจ ใครๆ ก็ย่อมต้องรักเรา เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะการทำความดีของคนดีย่อมเป็นที่แสลงใจของคนพาลเสมอ ดังนั้น เราจึงต้องฝึกฝนตนเองในทุกๆ ด้านต่อไป

http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=5
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ผู้ประทับใจใน ธรรม อันใด

          ย่อมเพียบพร้อมด้วย คุณสมบัติแห่ง ธรรม นั้นครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่