วันนี้ผมอยากแชร์ประสบการณ์ "หนึ่งล้านบาทแรก จากแรงผลักดันในวันที่ไม่มีแม่"
ใจจริงอยากเขียนเรื่องนี้เมื่อปลายปีก่อน แต่พอได้อ่านมาตรฐานของคนที่ประสบความสำเร็จใน Pantip แล้วรู้สึกตัวเองยังห่างไกลคนอื่นมากเลยที่ "อายุน้อย มีเงินหลักร้อยล้าน" ในวันนี้ผมก็ยังไม่ถือตัวเองว่าประสบความสำเร็จ แต่อยากเป็นตัวแทนของ "มนุษย์เงินเดือนหลักหมื่น" ที่สามารถเก็บเงินหลักล้านได้ถ้าตั้งใจเป็นกำลังใจให้คนอื่นๆครับ
ในการตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาผมมีจุดประสงค์ 3 ข้อด้วยกัน
1.อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนว่าเราสามารถเก็บเงินหลักล้านได้ ในฐานะมนุษเงินเดือนธรรมดา
2.อยากขอบคุณอาจารย์ทุกท่าน ที่ได้สั่งสอนผมมา
3.ข้อนี้ผมจะเขียนในท้ายสุดของกระทู้นี้ครับ
ในเดือนนี้เมื่อ 3 ปีก่อนคุณแม่ผมด่วนจากไป ทั้งที่ผมเรียนจบปริญญาตรีได้ไม่นาน ยังไม่ทันจะได้รับปริญญา ในช่วงนั้นชีวิตเหมือนจะดับวูบลงไปเลยทีเดียวเมื่อตั้งสติได้ก็เอาจุดนี้มาเป็นแรงผลังดันในการเดินต่อไป ต้องเล่าว่าก่อนหน้านั้นชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย เหมือนเด็กวัย 24 ที่พึ่งจบทั่วไป ทำงาน-แบ่งเงินให้แม่-ใช้จ่ายทั่วไป และเริ่มลงทุนแบบงูๆปลาๆ ยังไม่มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจนมากๆ แต่ดีที่เป็นคนไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เมื่อคุณแม่เสียลงมุมมองการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไป ทำให้ผมต้องวางแผนอนาคตชีวิตของตัวเองให้ละเอียดยิ่งขึ้น มีเงินที่แม่ทิ้งไว้ให้บางส่วนเพื่อเป็นเงินทุนในการเรียนต่อปริญญาโท แต่ในตอนนั้นผมก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเรียนต่ออะไร จึงนำเงินก้อนนั้นมาวางแผนในการออม โดยเงินก้อนนี้ผมไม่ต้องการให้มีความเสี่ยง แต่ต้องการชนะเงินเฟ้อเล็กน้อย
จึงแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกัน
1.ก้อนแรกนำไปฝากประจำของธนาคารขนาดเล็ก ทำให้ได้ดอกเบี้ย 3.5%
2.ก้อนที่สองเอาไปซื้อหุ้นกู้ของ CPALL ดอกเบี้ย 3.75%
3.ก้อนสุดท้ายมีสัดส่วนประมาณ 20% นำไปซื้อฉลากออมสิน
หลังจากนั้นก็ไม่ได้แตะต้องเงินในส่วนของคุณแม่อีกเลย
จากนั้นผมจึงได้เริ่มศึกษาการลงทุนอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น โชคดีว่าหนังสือเล่มแรกที่ได้อ่านคือ"ตีแตก" ที่เขียนโดยท่าน อ.นิเวศน์ ว่าการลงทุนในหุ้นนั้นเหมือนการทำธุรกิจ ธุรกิจจะมีมูลค่าเพิ่มเมื่อกำไรของบริษัทที่เราลงทุนนั้นเติบโต และรู้สึกว่าการลงทุนในลักษณะนี้เป็นเหตุเป็นผลมากกว่าการลงทุนในแบบอื่นๆ จากนั้นจึงได้อ่านหนังสือการลงทุนในสไตล์เน้นคุณค่าและพยายามไปฟังสัมนาฟรีที่ ท่านอาจารย์แกมาพูดอย่างเป็นประจำ ทำให้ค่อยๆซึมซับเรื่อยมา ....โดยตั้งเป้าหมายแรกว่าต้องการจะมีเงินล้านก่อนอายุ 30 !!!
ในส่วนของการลงทุนนั้นผมจะแบ่งจากเงินเดือนซึ่งเกือบจะเป็นครึ่งนึงของเงินเดือนเลยทีเดียว การทำแบบนี้ค่อนข้างเข้มงวดกับตัวเอง ว่าเงินที่จ่ายออกไปทุกบาท ทุกสตางค์นั้นคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน ส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายในแต่ละเดือนแล้วก็ทบเข้าไปอีก ด้วยเงินต้นที่ผมมีจำกัดทำให้ในการลงทุนนั้นผมมองความเสี่ยง มากกว่าผลตอบแทนที่จะได้ ผมกลัวการขาดทุนมากกว่าการจะได้กำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ
ผมได้เริ่มลงทุนในช่วงที่ดัชนีตลาดอยู่ที่ประมาณ 1500 จุด หลังจากนั้น ตลาดก็ไหลลงมาเรื่อยๆ ผลตอบแทนก็ไม่ไปไหนถึง 3ปี แต่ก็ยังประหยัดและเติมเงินลงไปในพอร์ทเสมอๆ หลังจากผ่านไปได้ 3 ปีผลตอบแทนที่ได้ ทำให้ผมเริ่มยิ้มออก และมั่นใจในแนวทางนี้เพิ่มขึ้น
หลังจากที่แบ่งเงินไปลงทุนในตลาดทุนแล้ว ก็ยังมีเงินเก็บอีกก้อนนึงจึงได้เริ่มศึกษาการลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ และได้ลงทุนในคอนโดเล็กๆแห่งนึงเพื่อปล่อยเช่าเป็นรายได้อีกทาง โดยการเลือกลงทุนในคอนโดนั้นผมได้ใช้หลักการเดียวกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคือ เลือกในละแวกที่ผมรู้จัก และคุ้นเคยมา 4-5 แห่ง มาเทียบความคุ้มค่าในการลงทุน ผลตอบแทนที่จะได้ และโอกาสในการเพิ่มขึ้นของราคา แล้วก็ได้ลงพื้นที่สำรวจว่าใครจะเป็นคนเช่า คนที่เช่านี้ทำงานอะไร ในละแวกนั้นมีสถานที่อะไรสำคัญบ้าง ทำเลเป็นอย่างไร อัตราผู้เช่าสูงมั้ย มีความต้องการเช่าเป็นอย่างไร คุยกับยาม แม่ค้า คนที่พัก คุยกับคนที่ต้องการขายหลายๆคน ทำให้เรามีมุมมองที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้แห่งสุดท้ายมาก็ติดต่อคนที่ขาย และทำสัญญากันไป...
การลงทุนทั้งในหุ้น และคอนโดให้เช่าเริ่มเป็นผล ผมทำเป้าหมายแรกสำเร็จในปลายปีที่ผ่านมา(2015) ทำสำเร็จก่อนถึงเป้าหมายถึง 4ปีด้วยกัน ในปีนี้ผมเริ่มเห็นตัวเองชัดขึ้น หลังจากค้นหาตัวเองว่าตัวเองชอบอะไร อยากจะเรียนรู้เรื่องอะไร จึงมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นอีกอย่างคือการเรียนต่อปริญญาโทภายในปีนี้
แม้ผมยังอายุไม่เยอะแต่สิ่งนี้คือข้อคิดที่ได้จากการเรียนรู้ที่ผ่านมา
1.เวลาเป็นต้นทุน ที่ได้มาฟรีๆ แต่มีค่ามากที่สุด
เมื่อจบใหม่ชีวิตการทำงานในช่วงแรกอย่างพึ่งหลงระเริงกับเงินที่ได้มาหลายคนที่รู้จัก ทั้งเพื่อนและคนใกล้ตัวเมื่อมีเงินเดือนก็ใช้สอยอย่างไม่ทันยั้งคิด
ซื้อรถ ซื้อโทรศัพท์ใหม่ เที่ยวอย่างเป็นประจำ ทั้งๆที่การเก็บเงินและรู้จักนำไปลงทุนนั้น ถ้าเพิ่มขึ้นแม้แต่เพียงนิดเดียว การทบต้นในระยะยาวนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ตัวอย่างตามตารางด้านล่างนี้
สิ่งนี้คือความมหัศจรรย์ของ"ผลตอบแทนทบต้น" จะเห็นได้ว่า เงินลงทุนก้อนแรก 1แสนบาทนั้นผ่านไป 10 ปีถ้าเราทำได้ 5% ทุกๆปี จะมีมูลค่า 162,889 บาท แต่ถ้าเราสามารถทำได้ 26% จะมีมูลค่าถึง1ล้านบาท และจะเพิ่ม 10เท่าทุกๆ10ปีเลยทีเดียว ฉนั้นการที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนมีอยู่ 3 ส่วนด้วยกันคือ
1.เงินต้น
2.อัตราผลตอบแทน
3.ระยะเวลา
ถ้าเราเริ่มต้นได้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นเป็นทวีคูณ
2.อย่ากลัวความล้มเหลว
ในการลงทุนครั้งแรก บทเรียนที่ผมได้เรียนรู้คือการขาดทุน ผมเสียใจแต่คิดว่านั่นคือบทเรียนเราเรียนรู้เพื่อจะนำกลับมาคิดและไม่พลาดในครั้งถัดๆไป
ในการทดลองผลิตหลอดไฟของเอดิสัน
ผู้ช่วยของเขากล่าวว่า "เราทดลองมาเป็นหมื่นครั้งแล้วยังทำไม่ได้เลย เราล้มเหลวแล้ว"
เอดินสันตอบว่า" เปล่าเลย เราไม่ได้ล้มเหลว เรารู้มากกว่าใครๆในโลกนี้เรารู้ว่ามี 10,000 วิธีที่ไม่ควรทำมันไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นการเรียนรู้"
"คนที่ยอมแพ้ความล้มเหลว พวกเขาไม่รู้หลอกว่าตัวเองใกล้ความสำเร็จแค่ไหน ตอนที่พวกเขายอมแพ้"
3.เหนื่อยวันนี้ สบายวันหน้า Vs นอนตอนนี้ สบายตอนนี้
ในช่วงที่เรียนอยู่ผมได้ยินเพื่อนๆพูดกับขำๆบ่อยๆว่า "เหนื่อยวันนี้ สบายวันหน้าแต่ถ้านอนตอนนี้ สบายตอนนี้เลยนะ" แต่วันนี้ผมกลับเรียนรู้ว่า
"ราคาในอนาคตที่จะต้องจ่ายแพงกว่า และสูญเสียมากกว่าจากการไม่ทำมันมากขนาดไหน"
4."ทุ่มเทให้กับความฝัน ที่มีแต่เราเท่านั้นที่มองเห็น"-พี่เว็บ พรชัย
เป็น Quote ที่ผมจำขึ้นใจเสมอ ใครจะมองเราอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่าเรารู้ตัวว่าเราทำอะไร อย่ายอมแพ้จนกว่าเราจะถึงเป้าหมาย เพราะคนอื่นไม่มีทางเห็นความฝันของเราได้ชัดเท่าตัวเราเอง
5.ความสำเร็จไม่ได้มาจากการลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการใช้ชีวิตด้วยเช่นกัน
ส่วนตัวผมว่า VI ไม่ใช่แค่แนวทางการลงทุน แต่เป็นแนวทางการใช้ชีวิตของตัวเองไปโดยปริยาย ผมเป็นคนประหยัดเป็นพื้นฐานและยิ่งมาได้เรียนรู้การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเงินนั้นมีค่ามากแค่ไหน ถ้าเราสามารถประหยัดและเอาส่วนนั้นไปทบต้นในการลงทุนด้วยแล้ว มันยิ่งจะงอกเงยเร็วขึ้น
"เพราะเราจะรู้ค่าของเงินมาก จนทำให้ไม่อยากใช้ในสิ่งที่ไม่งอกเงย และในที่สุดก็เสื่อมสลายไป"-ดร.นิเวศน์
7.โอกาสไม่ใช่เรื่องของโชค หรือ เรื่องบังเอิญ โอกาสมีอยู่ตลอด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุน การงาน หรือการศึกษาถ้าหากเราเรียนรู้ ทำตัวให้พร้อมที่จะรับโอกาสนั้น เมื่อโอกาสผ่านเข้ามาเราก็จะสามารถคว้าเอาไว้ได้
8.กฎ 20 ไมล์
ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในเรื่องใด เราควรสร้างความก้าวหน้าในเรื่องนั้นทุกวัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เรื่องมีอยู่ว่า- ในปีค.ศ.1911 สองนักสำรวจชาวนอร์เวย์และอังกฤษแข่งกันว่า
ใครจะสามารถพิชิตขั้วโลกใต้ได้เป็นคนแรกนักสำรวจชาวนอร์เวย์ชื่อโรอัลด์ อามุนด์เซน
(Roald Amundsen) ส่วนนักสำรวจชาวอังกฤษนั้นชื่อโรเบิร์ต ฟอลคอน สก๊อต
(Robert Falcon Scott) ทั้งสองคนอายุพอๆ กัน มีประสบการณ์พอๆ กัน ออกเดินทางในเวลาไล่เลี่ยกัน
แถมในช่วงสองเดือนแรกหลังจากออกเดินทาง ทั้งสองคณะยังเจอวันที่อากาศแย่พอๆ กันด้วย
(อ้างอิงจากสมุดบันทึกที่ทั้งสองคนเขียนเอาไว้)ในวันที่ 14 ธันวาคม 1911 คณะของอมุนด์เซนได้สร้าง
ประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่พิชิตขั้วโลกใต้ผ่านไปอีก 35 วัน กว่าคณะของสก๊อตจะเดิน
ทางมาถึง และได้เห็นภาพอันน่าเจ็บปวดเป็นธงชาตินอร์เวย์ที่ปักอยู่ก่อนแล้ว(อย่าลืมว่าในยุคนั้นยังไม่มี
เครื่องมือสื่อสารใดๆ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีทางรู้ว่าแต่ละคนเดินทางถึงไหนกันแล้วจนกว่าจะมาถึงขั้ว
โลกใต้และเห็นว่ามีธงปักอยู่หรือไม่)คณะของอมุนเซนด์นั้นเดินทางกลับไปยัง Framheim ซึ่งเป็น
Basecamp และประกาศให้โลกรับรู้ถึงความสำเร็จในวันที่ 25 มกราคม 1912แต่คณะของสก๊อตไม่มีใคร
เหลือรอดกลับมาซักคนเดียว ทุกคนเสียชีวิตระหว่างทางอันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่เลวร้ายลงอะไรคือ
ความแตกต่างของคณะของอมุนเซนด์ชาวนอร์เวย์และคณะของสก๊อตชาวอังกฤษ?ความแตกต่างอย่าง
หนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ อมุนเซนด์นั้นจะเดินทางวันละประมาณ 15-20 ไมล์เสมอแม้เวลาเจออากาศดีๆ
สามารถเดินทางได้วันละ 30 ไมล์ แต่อมุนเซนด์ก็ยังเลือกที่จะเดินทางไม่เกิน 20 ไมล์อยู่ดี เพื่อให้คณะ
ไม่ล้าจนเกินไปแต่ในวันที่อากาศเลวร้ายมากๆ อมุนเซนด์ก็ยังออกเดินทาง แม้จะไปได้แค่ 10-15 ไมล์ก็ยัง
ดีส่วนสก๊อตนั้นแตกต่าง ในวันที่อากาศแย่ๆ เขาและคณะจะหลบอยู่ในเต๊นท์และเขียนบันทึกแบบเซ็งๆ ว่า
วันนี้อากาศไม่เป็นใจเอาเสียเลยแต่ถ้าวันไหนอากาศดีมาก สก๊อตก็จะบุกตะลุยให้ได้ระยะไกลที่สุดเพื่อ
ชดเชยวันที่ไม่ได้เดินทาง แต่การทำเช่นนั้นส่งผลให้คณะของสก๊อตเหนื่อยล้าเกินไป พอวันไหนที่อากาศ
แย่ๆ จึงไม่มีแรงใจและแรงกายพอที่จะทำอะไรและนี่คือที่มาของกฎ 20 ไมล์ที่ผมอยากพูดถึงในวันนี้ถ้า
เราอยากจะประสบความสำเร็จในเรื่องใด เราควรจะสร้างความก้าวหน้าในเรื่องนั้นทุกวันไม่ว่าวันนั้นจะเจอ
เรื่องร้ายดีอย่างไร ‘สภาพอากาศ’ จะไม่เป็นใจแค่ไหน เราก็ไม่ควรหยุดเคลื่อนที่และแม้ว่าวันไหนจะเส้น
ทางสดใสหรือเราจะมีกำลังเต็มพิกัด ก็ต้องระวังไม่หักโหมเกินไป
9.เชื่อว่าเราสามารถทำได้
เคยได้ยินเรื่องเช็ค 10 ล้านเหรียญของ จิม แคร์รี่ มั้ยครับ ในช่วงปี 1990 จิม แคร์รี่เป็นนักแสดงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ในวันที่แย่มากๆเขาเขียนเช็คให้ตัวเอง 10 ล้านเหรียญ เขาให้เวลากับตัวเอง 5 ปี และเก็บเช็คนั้นในกระเป๋าสตางค์เสมอเพื่อเตือนตัวเองว่ามีเป้าหมายอะไร หลังจากนั้นเขาทำงานอย่างหนัก เมื่อผ่านไป 5 ปีเขาก็สามารถทำมันได้สำเร็จ ในต้นปีนีผมมีเป้าหมายว่าต้องการที่จะเรียนต่อ ผมก็ได้ลอกสูตรจากจิม แคร์รี่เลย ผมได้ทำบัตรนักเรียน(ฉบับก๊อปปี้) ระบุมหาวิทยาลัยที่อยากเรียน และไม่น่าเชื่อผมสามารถทำตามเป้าหมายในปีนี้ได้สำเร็จอีกอย่าง
10.คำสอนสุดท้ายของแม่ !!!!!
"Happiness is not at the destination but in the flowers that you smell along the way."
อย่าให้ความสุขของลูกอยู่แค่ที่ปลายทางของจุดหมาย แต่แม่อยากให้ลูกใช้ชีวิตในทุกๆวันอย่างมีความสุข
สุดท้ายนี้ถ้าคนอ่านเกิดประโยชน์ และแรงบันดาลใจในการทำเป้าหมายของตัวเองให้สำเร็จ ผมขออุทิศผลนี้ให้กับคุณแม่ของผมครับ
ขอบคุณครับ
ปล.ผมได้เขียนบันทึก และข้อคิดดีๆในการลงทุนไว้
สามารถอ่าน และมาแชร์กันได้ครับ
ที่ FACEBOOK :: บันทึกการลงทุน
https://www.facebook.com/valuewaynjr/
10 ข้อคิด ++ หนึ่งล้านบาทแรก จากแรงผลักดันในวันที่ไม่มีแม่ ++
ใจจริงอยากเขียนเรื่องนี้เมื่อปลายปีก่อน แต่พอได้อ่านมาตรฐานของคนที่ประสบความสำเร็จใน Pantip แล้วรู้สึกตัวเองยังห่างไกลคนอื่นมากเลยที่ "อายุน้อย มีเงินหลักร้อยล้าน" ในวันนี้ผมก็ยังไม่ถือตัวเองว่าประสบความสำเร็จ แต่อยากเป็นตัวแทนของ "มนุษย์เงินเดือนหลักหมื่น" ที่สามารถเก็บเงินหลักล้านได้ถ้าตั้งใจเป็นกำลังใจให้คนอื่นๆครับ
ในการตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาผมมีจุดประสงค์ 3 ข้อด้วยกัน
1.อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกๆคนว่าเราสามารถเก็บเงินหลักล้านได้ ในฐานะมนุษเงินเดือนธรรมดา
2.อยากขอบคุณอาจารย์ทุกท่าน ที่ได้สั่งสอนผมมา
3.ข้อนี้ผมจะเขียนในท้ายสุดของกระทู้นี้ครับ
ในเดือนนี้เมื่อ 3 ปีก่อนคุณแม่ผมด่วนจากไป ทั้งที่ผมเรียนจบปริญญาตรีได้ไม่นาน ยังไม่ทันจะได้รับปริญญา ในช่วงนั้นชีวิตเหมือนจะดับวูบลงไปเลยทีเดียวเมื่อตั้งสติได้ก็เอาจุดนี้มาเป็นแรงผลังดันในการเดินต่อไป ต้องเล่าว่าก่อนหน้านั้นชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย เหมือนเด็กวัย 24 ที่พึ่งจบทั่วไป ทำงาน-แบ่งเงินให้แม่-ใช้จ่ายทั่วไป และเริ่มลงทุนแบบงูๆปลาๆ ยังไม่มีเป้าหมายในอนาคตที่ชัดเจนมากๆ แต่ดีที่เป็นคนไม่ได้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เมื่อคุณแม่เสียลงมุมมองการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไป ทำให้ผมต้องวางแผนอนาคตชีวิตของตัวเองให้ละเอียดยิ่งขึ้น มีเงินที่แม่ทิ้งไว้ให้บางส่วนเพื่อเป็นเงินทุนในการเรียนต่อปริญญาโท แต่ในตอนนั้นผมก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเรียนต่ออะไร จึงนำเงินก้อนนั้นมาวางแผนในการออม โดยเงินก้อนนี้ผมไม่ต้องการให้มีความเสี่ยง แต่ต้องการชนะเงินเฟ้อเล็กน้อย
จึงแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยกัน
1.ก้อนแรกนำไปฝากประจำของธนาคารขนาดเล็ก ทำให้ได้ดอกเบี้ย 3.5%
2.ก้อนที่สองเอาไปซื้อหุ้นกู้ของ CPALL ดอกเบี้ย 3.75%
3.ก้อนสุดท้ายมีสัดส่วนประมาณ 20% นำไปซื้อฉลากออมสิน
หลังจากนั้นก็ไม่ได้แตะต้องเงินในส่วนของคุณแม่อีกเลย
จากนั้นผมจึงได้เริ่มศึกษาการลงทุนอย่างเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น โชคดีว่าหนังสือเล่มแรกที่ได้อ่านคือ"ตีแตก" ที่เขียนโดยท่าน อ.นิเวศน์ ว่าการลงทุนในหุ้นนั้นเหมือนการทำธุรกิจ ธุรกิจจะมีมูลค่าเพิ่มเมื่อกำไรของบริษัทที่เราลงทุนนั้นเติบโต และรู้สึกว่าการลงทุนในลักษณะนี้เป็นเหตุเป็นผลมากกว่าการลงทุนในแบบอื่นๆ จากนั้นจึงได้อ่านหนังสือการลงทุนในสไตล์เน้นคุณค่าและพยายามไปฟังสัมนาฟรีที่ ท่านอาจารย์แกมาพูดอย่างเป็นประจำ ทำให้ค่อยๆซึมซับเรื่อยมา ....โดยตั้งเป้าหมายแรกว่าต้องการจะมีเงินล้านก่อนอายุ 30 !!!
ในส่วนของการลงทุนนั้นผมจะแบ่งจากเงินเดือนซึ่งเกือบจะเป็นครึ่งนึงของเงินเดือนเลยทีเดียว การทำแบบนี้ค่อนข้างเข้มงวดกับตัวเอง ว่าเงินที่จ่ายออกไปทุกบาท ทุกสตางค์นั้นคุ้มค่ามากน้อยแค่ไหน ส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายในแต่ละเดือนแล้วก็ทบเข้าไปอีก ด้วยเงินต้นที่ผมมีจำกัดทำให้ในการลงทุนนั้นผมมองความเสี่ยง มากกว่าผลตอบแทนที่จะได้ ผมกลัวการขาดทุนมากกว่าการจะได้กำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ
ผมได้เริ่มลงทุนในช่วงที่ดัชนีตลาดอยู่ที่ประมาณ 1500 จุด หลังจากนั้น ตลาดก็ไหลลงมาเรื่อยๆ ผลตอบแทนก็ไม่ไปไหนถึง 3ปี แต่ก็ยังประหยัดและเติมเงินลงไปในพอร์ทเสมอๆ หลังจากผ่านไปได้ 3 ปีผลตอบแทนที่ได้ ทำให้ผมเริ่มยิ้มออก และมั่นใจในแนวทางนี้เพิ่มขึ้น
หลังจากที่แบ่งเงินไปลงทุนในตลาดทุนแล้ว ก็ยังมีเงินเก็บอีกก้อนนึงจึงได้เริ่มศึกษาการลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ และได้ลงทุนในคอนโดเล็กๆแห่งนึงเพื่อปล่อยเช่าเป็นรายได้อีกทาง โดยการเลือกลงทุนในคอนโดนั้นผมได้ใช้หลักการเดียวกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคือ เลือกในละแวกที่ผมรู้จัก และคุ้นเคยมา 4-5 แห่ง มาเทียบความคุ้มค่าในการลงทุน ผลตอบแทนที่จะได้ และโอกาสในการเพิ่มขึ้นของราคา แล้วก็ได้ลงพื้นที่สำรวจว่าใครจะเป็นคนเช่า คนที่เช่านี้ทำงานอะไร ในละแวกนั้นมีสถานที่อะไรสำคัญบ้าง ทำเลเป็นอย่างไร อัตราผู้เช่าสูงมั้ย มีความต้องการเช่าเป็นอย่างไร คุยกับยาม แม่ค้า คนที่พัก คุยกับคนที่ต้องการขายหลายๆคน ทำให้เรามีมุมมองที่เพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้แห่งสุดท้ายมาก็ติดต่อคนที่ขาย และทำสัญญากันไป...
การลงทุนทั้งในหุ้น และคอนโดให้เช่าเริ่มเป็นผล ผมทำเป้าหมายแรกสำเร็จในปลายปีที่ผ่านมา(2015) ทำสำเร็จก่อนถึงเป้าหมายถึง 4ปีด้วยกัน ในปีนี้ผมเริ่มเห็นตัวเองชัดขึ้น หลังจากค้นหาตัวเองว่าตัวเองชอบอะไร อยากจะเรียนรู้เรื่องอะไร จึงมีเป้าหมายเพิ่มขึ้นอีกอย่างคือการเรียนต่อปริญญาโทภายในปีนี้
แม้ผมยังอายุไม่เยอะแต่สิ่งนี้คือข้อคิดที่ได้จากการเรียนรู้ที่ผ่านมา
1.เวลาเป็นต้นทุน ที่ได้มาฟรีๆ แต่มีค่ามากที่สุด
เมื่อจบใหม่ชีวิตการทำงานในช่วงแรกอย่างพึ่งหลงระเริงกับเงินที่ได้มาหลายคนที่รู้จัก ทั้งเพื่อนและคนใกล้ตัวเมื่อมีเงินเดือนก็ใช้สอยอย่างไม่ทันยั้งคิด
ซื้อรถ ซื้อโทรศัพท์ใหม่ เที่ยวอย่างเป็นประจำ ทั้งๆที่การเก็บเงินและรู้จักนำไปลงทุนนั้น ถ้าเพิ่มขึ้นแม้แต่เพียงนิดเดียว การทบต้นในระยะยาวนั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ตัวอย่างตามตารางด้านล่างนี้
สิ่งนี้คือความมหัศจรรย์ของ"ผลตอบแทนทบต้น" จะเห็นได้ว่า เงินลงทุนก้อนแรก 1แสนบาทนั้นผ่านไป 10 ปีถ้าเราทำได้ 5% ทุกๆปี จะมีมูลค่า 162,889 บาท แต่ถ้าเราสามารถทำได้ 26% จะมีมูลค่าถึง1ล้านบาท และจะเพิ่ม 10เท่าทุกๆ10ปีเลยทีเดียว ฉนั้นการที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนมีอยู่ 3 ส่วนด้วยกันคือ
1.เงินต้น
2.อัตราผลตอบแทน
3.ระยะเวลา
ถ้าเราเริ่มต้นได้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นเป็นทวีคูณ
2.อย่ากลัวความล้มเหลว
ในการลงทุนครั้งแรก บทเรียนที่ผมได้เรียนรู้คือการขาดทุน ผมเสียใจแต่คิดว่านั่นคือบทเรียนเราเรียนรู้เพื่อจะนำกลับมาคิดและไม่พลาดในครั้งถัดๆไป
ในการทดลองผลิตหลอดไฟของเอดิสัน
ผู้ช่วยของเขากล่าวว่า "เราทดลองมาเป็นหมื่นครั้งแล้วยังทำไม่ได้เลย เราล้มเหลวแล้ว"
เอดินสันตอบว่า" เปล่าเลย เราไม่ได้ล้มเหลว เรารู้มากกว่าใครๆในโลกนี้เรารู้ว่ามี 10,000 วิธีที่ไม่ควรทำมันไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นการเรียนรู้"
"คนที่ยอมแพ้ความล้มเหลว พวกเขาไม่รู้หลอกว่าตัวเองใกล้ความสำเร็จแค่ไหน ตอนที่พวกเขายอมแพ้"
3.เหนื่อยวันนี้ สบายวันหน้า Vs นอนตอนนี้ สบายตอนนี้
ในช่วงที่เรียนอยู่ผมได้ยินเพื่อนๆพูดกับขำๆบ่อยๆว่า "เหนื่อยวันนี้ สบายวันหน้าแต่ถ้านอนตอนนี้ สบายตอนนี้เลยนะ" แต่วันนี้ผมกลับเรียนรู้ว่า
"ราคาในอนาคตที่จะต้องจ่ายแพงกว่า และสูญเสียมากกว่าจากการไม่ทำมันมากขนาดไหน"
4."ทุ่มเทให้กับความฝัน ที่มีแต่เราเท่านั้นที่มองเห็น"-พี่เว็บ พรชัย
เป็น Quote ที่ผมจำขึ้นใจเสมอ ใครจะมองเราอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่าเรารู้ตัวว่าเราทำอะไร อย่ายอมแพ้จนกว่าเราจะถึงเป้าหมาย เพราะคนอื่นไม่มีทางเห็นความฝันของเราได้ชัดเท่าตัวเราเอง
5.ความสำเร็จไม่ได้มาจากการลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการใช้ชีวิตด้วยเช่นกัน
ส่วนตัวผมว่า VI ไม่ใช่แค่แนวทางการลงทุน แต่เป็นแนวทางการใช้ชีวิตของตัวเองไปโดยปริยาย ผมเป็นคนประหยัดเป็นพื้นฐานและยิ่งมาได้เรียนรู้การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเงินนั้นมีค่ามากแค่ไหน ถ้าเราสามารถประหยัดและเอาส่วนนั้นไปทบต้นในการลงทุนด้วยแล้ว มันยิ่งจะงอกเงยเร็วขึ้น
"เพราะเราจะรู้ค่าของเงินมาก จนทำให้ไม่อยากใช้ในสิ่งที่ไม่งอกเงย และในที่สุดก็เสื่อมสลายไป"-ดร.นิเวศน์
7.โอกาสไม่ใช่เรื่องของโชค หรือ เรื่องบังเอิญ โอกาสมีอยู่ตลอด
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุน การงาน หรือการศึกษาถ้าหากเราเรียนรู้ ทำตัวให้พร้อมที่จะรับโอกาสนั้น เมื่อโอกาสผ่านเข้ามาเราก็จะสามารถคว้าเอาไว้ได้
8.กฎ 20 ไมล์
ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในเรื่องใด เราควรสร้างความก้าวหน้าในเรื่องนั้นทุกวัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
9.เชื่อว่าเราสามารถทำได้
เคยได้ยินเรื่องเช็ค 10 ล้านเหรียญของ จิม แคร์รี่ มั้ยครับ ในช่วงปี 1990 จิม แคร์รี่เป็นนักแสดงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ในวันที่แย่มากๆเขาเขียนเช็คให้ตัวเอง 10 ล้านเหรียญ เขาให้เวลากับตัวเอง 5 ปี และเก็บเช็คนั้นในกระเป๋าสตางค์เสมอเพื่อเตือนตัวเองว่ามีเป้าหมายอะไร หลังจากนั้นเขาทำงานอย่างหนัก เมื่อผ่านไป 5 ปีเขาก็สามารถทำมันได้สำเร็จ ในต้นปีนีผมมีเป้าหมายว่าต้องการที่จะเรียนต่อ ผมก็ได้ลอกสูตรจากจิม แคร์รี่เลย ผมได้ทำบัตรนักเรียน(ฉบับก๊อปปี้) ระบุมหาวิทยาลัยที่อยากเรียน และไม่น่าเชื่อผมสามารถทำตามเป้าหมายในปีนี้ได้สำเร็จอีกอย่าง
10.คำสอนสุดท้ายของแม่ !!!!!
"Happiness is not at the destination but in the flowers that you smell along the way."
อย่าให้ความสุขของลูกอยู่แค่ที่ปลายทางของจุดหมาย แต่แม่อยากให้ลูกใช้ชีวิตในทุกๆวันอย่างมีความสุข
สุดท้ายนี้ถ้าคนอ่านเกิดประโยชน์ และแรงบันดาลใจในการทำเป้าหมายของตัวเองให้สำเร็จ ผมขออุทิศผลนี้ให้กับคุณแม่ของผมครับ
ขอบคุณครับ
ปล.ผมได้เขียนบันทึก และข้อคิดดีๆในการลงทุนไว้
สามารถอ่าน และมาแชร์กันได้ครับ
ที่ FACEBOOK :: บันทึกการลงทุน
https://www.facebook.com/valuewaynjr/