เมื่อปีที่แล้วเราออกเดินทางมาที่นี่ ภูเขารูปหัวใจแห่งนี้ เพื่อตามหาความหมายบางอย่าง
ของการเดินทาง แต่เรากลับค้นพบว่า ระหว่างทางที่เราเดินอยู่ล้วนมีคุณค่าและมีความหมายไม่ต่างจากปลายทาง
ที่รอเราอยู่ จึงได้เกิดเป็นกระทู้นี้ขึ้นมา
http://pantip.com/topic/34369926
และในปีนี้เราตัดสินใจกลับไปที่นั่นอีกครั้ง ด้วยคำถามที่ว่า ทำไม...
ทำไม...ใครหลาย ๆ จึงตัดสินใจกลับไปที่ภูเขารูปหัวใจแห่งนั้นอีกครั้ง
บางคนกลับไปเพื่อพิชิต บางคนกลับไปเพราะคิดถึง บางคนกลับไปเพราะมีสัญญาใจบางอย่าง
ที่ได้ให้ไว้กับภูเขารูปหัวใจแห่งนี้
.
.
Olympus OM1-MD
Superia 200
page : วรฟิล์ม
https://www.facebook.com/vorafilm
ทุกภาพถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม และจบหลังกล้อง (ใส่ลายน้ำและย่อไฟล์ภาพ)

บางคนบอกว่าภูกระดึงเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง อบอุ่น และสวยงาม

เมื่อก่อนเราเคยสงสัยว่า แค่ต้นไม้ จะช่วยให้น้ำไม่ท่วมได้อย่างไรกัน แต่ตอนนี้เราได้พบคำตอบแล้ว

บางคนก็ถอดใจเพราะซำแฮก

บางจังหวะก็ทำให้เรายิ้มได้บ้าง

น้ำแข็งไสกรุ๊งกริ๊ง

ไม่ใช่แค่คนไทยที่ไปพิชิต

หลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง ของภูกระดึง
สิ่งที่อยากฝาก ในครั้งนี้ เราได้พบกับกลุ่มเด็กนักศึกษา แต่เราไม่รู้หรอกว่ามาจากที่ไหนกัน ไม่ได้สนใจมากนัก
ด้วยความเป็นวัยรุ่น ร่วมๆ ร้อยกว่าชีวิต สิ่งที่ตามมาคือเสียงที่ค่อนข้างรบกวนโสตประสาท
พวกเขามีความสดใส ใช่... แต่คุณอย่าได้หลงลืมไปว่า ที่นี่คือป่า และพวกคุณ เราเอง รวมถึงคนอื่น ๆ
เราทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนแปลกหน้า ผู้มาเยือนภูเขารูปหัวใจแห่งนี้ สัตว์ป่าคือเจ้าของผืนป่า
ผู้ที่กระทำตนเป็นแขกที่น่ารักเราชื่นชม และการเก็บขยะลงมาทิ้งด้านล่างภูก็เป็นสิ่งที่ดี
แต่การส่งเสียงดัง อึงอัง พาโวย เราว่ามันไม่ใช่
ถึงเวลา 21.00 น. เวลาที่ทุกอย่างบนนั้นต้องเงียบ และสงบที่สุด เพราะอะไร...
เพราะสัตว์ป่าบางชนิดออกหาอาหารเวลากลางคืน
และที่น่าตกใจคือเจ้าหน้าที่ถึงกับต้องเดินมาขอความกรุณาที่เต้นท์ให้บุคคลเหล่านั้น งดใช้เสียง
เพราะมันรบกวนนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย สรุปแล้วเราช่างไม่น่ารักเลยนะผู้มาเยือนเอ๋ย
ตลกร้ายคือ คืนต่อมาก็มีเสียงอึงอังพาโวยกันอีก และก็มีเต้นท์นักท่องเที่ยวใกล้ ๆ เรา
ตะโกนไปว่า "เงียบ ๆ หน่อย คนจะนอน" เราว่ามันตลกร้ายเกินไปหน่อย ท่องเที่ยวป่าแต่ทำตนเยี่ยงคนเมือง ณ สถานที่นั้น
เราว่ามันไม่ใช่ ใคร ๆ ก็มีสิทธิ์เที่ยวได้ จริงแท้แน่นอน!! แต่จิตสำนึกที่ต้องเกิดขึ้นหลังจากนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน

หลังแป

ที่ทำการ

ทะเลหมอกที่ผานกแอ่น

ทะเลหมอกที่ผานกแอ่น

ทะเลหมอกที่ผานกแอ่น

เราทุกต่างเฝ้ารอสิ่งเดียวกัน

สายแล้วแต่หมอกยังหนา

กล้วยไม้บนลานหิน

มอสบนกำแพงหิน

ถ้าไปหน้าฝนก็จะได้เห็นน้ำเยอะแบบนี้

น้ำตกถ้ำใหญ่

ปีที่แล้วไม่ได้มีโอกาสถ่ายเพราะคนเยอะมาก

ถึงเวลาโบกมือลา
สำหรับการเดินทาง
ซื้อตั๋ว Sunbus มาลงที่ผานกเค้า บอกว่าลงร้านเจ้กิม (ทำไมต้องSunbus คือเบาะกว้างมาก นั่งสบายเว่อร์ มีสายชาร์จเสียบยาวไปทั้งคืนเลยจ้า)
นั่งรถจากร้านเจ้กิมมุ่งหน้าสู่อุทยาน ซื้อตั๋วเข้าอุทยาน ติมต่อขอใบเสร็จที่พักจากด้านล่าง (ต้องจองในเว็บและชำระค่าที่พักไปให้เรียบร้อย)
http://portal.dnp.go.th/ <<กดจอง และชำระค่าที่พักภายใน 2 วันนะคะ
งบคร่าว ๆ ค่ารถบัสไป-กลับ 1000 บาท
ค่าเข้าอุทยาน (ทุกที่ก็เท่ากันหมดคือ) 40 บาท
ค่าที่พักนอนเต้นท์ คืนละ 225 บาท นอนได้ 2-3 คน
ค่าอาหาร มือละ 100 บาท ถือว่าเหลือๆ (อาหารจานเดียวเมนูละ 60 บาท)
[CR] ภูกระดึงหนที่สอง...เมื่อหัวใจบอกให้ออกเดินทาง
ของการเดินทาง แต่เรากลับค้นพบว่า ระหว่างทางที่เราเดินอยู่ล้วนมีคุณค่าและมีความหมายไม่ต่างจากปลายทาง
ที่รอเราอยู่ จึงได้เกิดเป็นกระทู้นี้ขึ้นมา http://pantip.com/topic/34369926
และในปีนี้เราตัดสินใจกลับไปที่นั่นอีกครั้ง ด้วยคำถามที่ว่า ทำไม...
ทำไม...ใครหลาย ๆ จึงตัดสินใจกลับไปที่ภูเขารูปหัวใจแห่งนั้นอีกครั้ง
บางคนกลับไปเพื่อพิชิต บางคนกลับไปเพราะคิดถึง บางคนกลับไปเพราะมีสัญญาใจบางอย่าง
ที่ได้ให้ไว้กับภูเขารูปหัวใจแห่งนี้
.
.
Olympus OM1-MD
Superia 200
page : วรฟิล์ม
https://www.facebook.com/vorafilm
ทุกภาพถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม และจบหลังกล้อง (ใส่ลายน้ำและย่อไฟล์ภาพ)
บางคนบอกว่าภูกระดึงเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง อบอุ่น และสวยงาม
เมื่อก่อนเราเคยสงสัยว่า แค่ต้นไม้ จะช่วยให้น้ำไม่ท่วมได้อย่างไรกัน แต่ตอนนี้เราได้พบคำตอบแล้ว
บางคนก็ถอดใจเพราะซำแฮก
บางจังหวะก็ทำให้เรายิ้มได้บ้าง
น้ำแข็งไสกรุ๊งกริ๊ง
ไม่ใช่แค่คนไทยที่ไปพิชิต
หลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง ของภูกระดึง
สิ่งที่อยากฝาก ในครั้งนี้ เราได้พบกับกลุ่มเด็กนักศึกษา แต่เราไม่รู้หรอกว่ามาจากที่ไหนกัน ไม่ได้สนใจมากนัก
ด้วยความเป็นวัยรุ่น ร่วมๆ ร้อยกว่าชีวิต สิ่งที่ตามมาคือเสียงที่ค่อนข้างรบกวนโสตประสาท
พวกเขามีความสดใส ใช่... แต่คุณอย่าได้หลงลืมไปว่า ที่นี่คือป่า และพวกคุณ เราเอง รวมถึงคนอื่น ๆ
เราทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนแปลกหน้า ผู้มาเยือนภูเขารูปหัวใจแห่งนี้ สัตว์ป่าคือเจ้าของผืนป่า
ผู้ที่กระทำตนเป็นแขกที่น่ารักเราชื่นชม และการเก็บขยะลงมาทิ้งด้านล่างภูก็เป็นสิ่งที่ดี
แต่การส่งเสียงดัง อึงอัง พาโวย เราว่ามันไม่ใช่
ถึงเวลา 21.00 น. เวลาที่ทุกอย่างบนนั้นต้องเงียบ และสงบที่สุด เพราะอะไร...
เพราะสัตว์ป่าบางชนิดออกหาอาหารเวลากลางคืน
และที่น่าตกใจคือเจ้าหน้าที่ถึงกับต้องเดินมาขอความกรุณาที่เต้นท์ให้บุคคลเหล่านั้น งดใช้เสียง
เพราะมันรบกวนนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย สรุปแล้วเราช่างไม่น่ารักเลยนะผู้มาเยือนเอ๋ย
ตลกร้ายคือ คืนต่อมาก็มีเสียงอึงอังพาโวยกันอีก และก็มีเต้นท์นักท่องเที่ยวใกล้ ๆ เรา
ตะโกนไปว่า "เงียบ ๆ หน่อย คนจะนอน" เราว่ามันตลกร้ายเกินไปหน่อย ท่องเที่ยวป่าแต่ทำตนเยี่ยงคนเมือง ณ สถานที่นั้น
เราว่ามันไม่ใช่ ใคร ๆ ก็มีสิทธิ์เที่ยวได้ จริงแท้แน่นอน!! แต่จิตสำนึกที่ต้องเกิดขึ้นหลังจากนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน
หลังแป
ที่ทำการ
ทะเลหมอกที่ผานกแอ่น
ทะเลหมอกที่ผานกแอ่น
ทะเลหมอกที่ผานกแอ่น
เราทุกต่างเฝ้ารอสิ่งเดียวกัน
สายแล้วแต่หมอกยังหนา
กล้วยไม้บนลานหิน
มอสบนกำแพงหิน
ถ้าไปหน้าฝนก็จะได้เห็นน้ำเยอะแบบนี้
น้ำตกถ้ำใหญ่
ปีที่แล้วไม่ได้มีโอกาสถ่ายเพราะคนเยอะมาก
ถึงเวลาโบกมือลา
สำหรับการเดินทาง
ซื้อตั๋ว Sunbus มาลงที่ผานกเค้า บอกว่าลงร้านเจ้กิม (ทำไมต้องSunbus คือเบาะกว้างมาก นั่งสบายเว่อร์ มีสายชาร์จเสียบยาวไปทั้งคืนเลยจ้า)
นั่งรถจากร้านเจ้กิมมุ่งหน้าสู่อุทยาน ซื้อตั๋วเข้าอุทยาน ติมต่อขอใบเสร็จที่พักจากด้านล่าง (ต้องจองในเว็บและชำระค่าที่พักไปให้เรียบร้อย)
http://portal.dnp.go.th/ <<กดจอง และชำระค่าที่พักภายใน 2 วันนะคะ
งบคร่าว ๆ ค่ารถบัสไป-กลับ 1000 บาท
ค่าเข้าอุทยาน (ทุกที่ก็เท่ากันหมดคือ) 40 บาท
ค่าที่พักนอนเต้นท์ คืนละ 225 บาท นอนได้ 2-3 คน
ค่าอาหาร มือละ 100 บาท ถือว่าเหลือๆ (อาหารจานเดียวเมนูละ 60 บาท)