JENESYS2016 - Tokyo & Tokushima Trip

สวัสดีครับทุกท่าน นี่คือกระทู้แรกของผมที่เขียนขึ้นมา สืบเนื่องมาจากผมและชาวคณะได้เข้าร่วมโครงการ JENESYS2016 ในสาขา Culture ซึ่งมีผมและคณะเดินทางรวมทั้งสิ้น 26 คน ในจำนวนนี้มีนักเรียน 24 คน และเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคนไทย 2 ท่าน เดินทางพร้อมกันกับพวกเราด้วยครับ

(ตรงนี้เป็นส่วนของผู้เขียนเอง ข้ามไปได้เลยนะครับ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ก่อนที่เราจะเข้าสู่เรื่องของการเดินทางและกิจกรรมในครั้งนี้ ขอกล่าวถึงจุดประสงค์ของการจัดโครงการ JENESYS ให้ได้ทราบกันก่อนครับ
โครงการนี้เป็นความคิดริเริ่มของ ท่านนายก ซินโซะ อาเบะ ของญี่ปุ่น วัตถุประสงค์ที่สำคัญมีดังนี้ครับ
- เพื่อส่งเสริมความเข้าใจระหว่างเยาวชนของญี่ปุ่นและประเทศในกลุ่มอาเซียน ติมอร์ตะวันออกรวมถึงอินเดีย
- เพื่อส่งเสริมความเข้าใจสังคม ประวัติศาสตร์ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม การเมืองและนโยบายต่างประเทศของญี่ปุ่น
- เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการนี้เผยแพร่ประสบการณ์และข้อมูลเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นให้แก่ประชาชนในประเทศของตนเอง

สนามบินนาริตะ จังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น

เห็นภาพสนามบินรูปนี้ทีตอนนี้ทุกท่านคงตั้งตารอคอยที่จะอ่านแล้วใช่ไหมครับว่าการเดินทางเป็นอย่างไร ไปไหนมาบ้าง ไปตามกันต่อเลยครับ
ตารางกำหนดการณ์เริ่มเวลา 14.30 น. ผมและเพื่อนๆ ทุกคนได้เดินทางไปรวมตัวกันที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อฟังบรรยายเกี่ยวกับกิจกรรมในครั้งนี้ ซึ่งมีหัวหน้าฝ่ายข่าวสารญี่ปุ่น สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และรุ่นพี่ที่เคยไปร่วมโครงการนี้เป็นวิทยากรบรรยายครับ มีการแนะนำตัวให้รู้จัก เลือกหัวหน้าสมาชิกกลุ่ม ซึ่งก็คือจขกท.นั่นเองครับ อธิบายการเขียนใบ ตม. การใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นเบื้องต้น ข้อควรปฏิบัติ รวมไปถึงโปรเจคที่จะทำเมื่อกลับไทยครับ
หัวข้อของกลุ่มเราคือ “การสื่อสารภาษาญี่ปุ่นและวัฒนธรรมญี่ปุ่น”
บรรยากาศขณะอบรม

จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็ออกจากกระทรวงศึกษาธิการ ไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถึงเวลาประมาณ 19.00 น. ถ่ายรูปกัน นำกระเป๋าเช็คอิน เราไปสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG640 ออกจากสุวรรณภูมิเวลา 22.30 น. ถึงที่สนามบินนาริตะเวลา 06.15 น.
ความจริงแล้วนั้น เราไปพร้อมกับอีกกลุ่มหนึ่ง แต่ไปในหัวข้อเทคโนโลยีครับ ระหว่างรอตรวจตั๋วขึ้นเครื่อง พวกเราซึ่งอยู่ในเกตแล้วก็เดินหาอะไรกิน แต่ก็กินไม่ลงหรอกครับ (เพราะตื่นเต้นมากไม่รู้จะกินอะไรดี) เกตเปิดเวลา 21.30 น. เราก็มารวมตัวกันที่เกต D1A รอขึ้นเครื่องครับ
เวลาที่ผมตื่นเต้นก็มาถึง ตอนที่ยื่นหนังสือเดินทางและตั๋วเพื่อจะออกไปขึ้นรถบัสและขึ้นเครื่องบิน เป็นความรู้สึกขนลุกทั้งตัว เรานึกในใจเป็นคำพูดที่เคยติดหูทุกท่านว่า “เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร”
รถ Shuttle Bus ได้มารับพวกเราไปขึ้นเครื่อง วินาทีที่เห็นเครื่องบินใกล้ๆ และกำลังจะได้ไปประเทศที่ไฝ่ฝันอยากไปมาก อธิบายออกมาไม่ถูกครับ ทั้งตื่นเต้น ตื้นตัน ดีใจมากครับ



จขกท. กับการขึ้นเครื่องบินครั้งแรกในชีวิต

ถึงเวลาเครื่องบินขึ้นก็ปกติดีครับ มีหูอื้อนิดหน่อย แต่ดีที่เพื่อนข้างๆ มีลูกอมอยู่ เลยไม่ค่อยมีปัญหา ถึงเวลาเสิร์ฟเครื่องดื่มก็มีพนักงานเดินมาเสิร์ฟครับ ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบห้าทุ่ม แต่ผมนอนไม่หลับเลยครับ (ปกติอยู่บ้านนอนประมาณ 22.00) แต่ก็ต้องยอมแพ้กับแอร์บนเครื่องที่เย็นมาก และเวลาเกือบเที่ยงคืน เลยนอนดีกว่า 5555 ตอนนอนผมเปิดเพลง “รักข้ามขอบฟ้า” (ถึงแม้จะเก่า แต่ได้บรรยากาศมากครับ)
    เวลาประมาณตีห้า เริ่มมีแสงสว่างจากนอกหน้าต่าง ดวงอาทิตย์ที่ผมมองครั้งแรกเมื่อขึ้นเครื่องรู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ และพนักงานเริ่มเสิร์ฟอาหารเช้า ผมเลือกเอาแซนวิชครับ และเป็นไปตามคาด ถึงแม้จะเย็นไปนิดแต่ก็อร่อยครับ
    เวลาประมาณ 06.00 (เวลาญี่ปุ่น) เครื่องเริ่มลดระดับความสูง เริ่มเห็นเกาะฮอนชู รู้สึกตื่นเต้น แต่ที่ตกใจกว่าคือ ทำไมเมฆมันเยอะจังเลย มีอะไรหรือเปล่า ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย อีก 15 นาทีถัดมา เครื่องจอดสนิทที่ประตูเทียบเครื่องบิน พอพ้นจากประตูเครื่อง รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน พอมองออกไปที่กระจกเจอภาพดังข้างล่างนี้ครับ

ใช่แล้วครับ มันคือฝนนั่นเอง ประหนึ่งว่ามันมารอรับเราถึงญี่ปุ่นเลย 555 หลังจากนั้นเราก็แวะทำธุระส่วนตัว เปลี่ยนซิมมือถือให้เรียบร้อย


ชาวคณะ ณ สนามบินนาริตะ ระหว่างทางไปช่องตรวจ ตม.

แล้วเราก็เดินไปที่ตม.ครับ มีคนเยอะมากครับที่ตม. มีชาวกัมพูชา (รู้ทีหลังว่าเป็นโครงการเดียวกันแต่ต่างหัวข้อ) รอตรวจหนังสือเดินทาง พอถึงเจ้าหน้าที่ควบคุมแถวเขาให้เราไปช่องที่ 11 (ช่องพาสปอร์ตญี่ปุ่น) แอบตกใจนิดๆ มีเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลท่านหนึ่ง (ขอออกนามเลยนะครับ ชื่อพี่นิ้ง) ได้ใบสอบถามเกี่ยวกับการให้บริการของเจ้าหน้าที่ตม. ว่า มาถึงกี่โมง เข้าช่องไหนและออกเวลากี่โมง (เพื่อเอาไปปรับปรุงคุณภาพบริการ น่าจะประมาณนั้นนะ) พอถึงคิวผม ตายล่ะหว่าจะเป็นยังไง ภาษาญี่ปุ่นที่เราเรียนมาตลอด 5 ปี นี่คือโอกาสที่จะได้ใช้มันแล้ว ไปถึงปุ๊ป ยืนพาสปอร์ตปั้ป หน้าจอที่ปกติจะขึ้นแค่ภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษ ตอนนี้มีภาษาไทยขึ้นด้วย (รู้สึกดีต่อใจ 555) พอถ่ายรูปเสร็จ เจ้าหน้าที่ผายมือไปทางออก และพูดว่า 日本へようこうそ (แปลได้ว่ายินดีต้อนรับสู่ประเทศญี่ปุ่น) ออกจากตม.ปุ๊ป แทบจะกองกับพื้น “นี่เรามาถึงแล้วหรือเนี่ย” พร้อมเดินนำทางไปรับกระเป๋า (ทั้งที่ไม่เคยมาแต่รู้ทุกซอกของสนามบิน 5555)
พอช่วยขนกระเป๋าของเพื่อน เราก็เดินไปที่ช่องศุลกากร ตรวจว่ามีของต้องสำแดงหรือไม่ ถ้าไม่มีเดินเข้าช่องเขียวได้เลย หลังจากนั้นเรายืนรอเพื่อนๆ แต่ยืนได้ไม่ถึงนาที เจ้าหน้าที่บอกให้เราไปรอข้างนอก เราก็ปลีกตัวออกเลย พอถึงจุดนัดพบ เราเจอแล้ว ผู้ที่ถือป้ายโครงการ ความที่เราเป็นหัวหน้ากลุ่มจึงตอบไปว่า “ไทย-เดส” เจ้าหน้าที่ก็ถึงกับอุทานว่า ทำไมถึงพูดญี่ปุ่นได้ ประมาณนี้ เราก็ออกมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ และนัดเวลามาเจอกันที่จุดนัดพบเวลา 07.45 น. เราก็ทำหน้าที่แปลภาษาให้ทุกคน (บางคนที่ไปก็มีความรู้ภาษาญี่ปุ่นบ้างจึงไม่เป็นปัญหา)
ระหว่างปล่อยให้พัก เราไปพักตรงจุดที่เขาจัดไว้ให้ มีที่ชาร์จแบตด้วย (เลยลองใช้เลย)
สิ่งที่เห็นโดดเด่นมาก โทรทัศน์ที่ใหญ่มาก และนาฬิกา ขนาดว่ายืนห่างร้อยเมตรยังเห็น 555

หลังจากนั้นเวลาที่เราทุกคนรอคอย เดินออกจากสนามบินเพื่อที่จะขึ้นรถ ปรากฏว่าเจอฝนตกและอากาศเย็นมากๆ อุณหภูมิขณะนั้น 9 องศาเซลเซียส บวกกับฝนตกด้วยแล้ว หนาวสั่นมาก แต่เพื่อนที่ลำปางซึ่งเป็นรูมเมทของ จขกท. บอกว่าจิ๊บๆ (แหมคนกรุงเทพไม่เคยเจอหนาวขนาดนี้นะ ครั้งที่หนาวคงจะเป็นต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตอนนั้นอุณหภูมิเหลือเพียง 16)

ภายนอกสนามบินนาริตะ

เจ้าหน้าที่ได้ให้เราขนกระเป๋าไปยังรถบริษัทขนส่งเพื่อจัดส่งไปที่โรงแรมของเรา (ดีงามมากกก) และเดินทางไปขึ้นรถบัสไปยังโรงแรม แต่ต้องเดินไปขึ้นรถซึ่งห่างประมาณ 200 เมตร และเดินฝ่าฝนเพื่อขึ้นรถที่จอดกลางแจ้ง หนาวสั่นทีเดียว
ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป มาติดตามกันครั้งหน้านะครับ

ตอนที่ 2 ข้างล่างนี้เลยครับ
https://pantip.com/topic/36079630
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่