บทว่า อนิจฺจโต
มนสิกโรโต โอภาโส อุปฺปชฺชติ เมื่อภิกษุมนสิการโดยความเป็นสภาพ
ไม่เที่ยง โอภาสย่อมเกิดขึ้น คือภิกษุตั้งอยู่ในอุทยัพพยานุปัสสนาเห็นแจ้งสังขาร
ทั้งหลายด้วยอนุปัสสนา ๓ บ่อย ๆ มีจิตบริสุทธิ์ด้วยการละกิเลสด้วยตทังคปหานะ
ในวิปัสสนาญาณอันถึงความแก่กล้า โอภาสย่อมเกิดความปกติด้วยอานุภาพ
แห่งวิปัสสนาญาณในขณะมนสิการ โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความ
เป็นทุกข์ หรือโดยความไม่ใช่ตัวตน(อนัตตา) เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวถึงโอภาส
ของภิกษุผู้มนสิการ โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงก่อน.
ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนาไม่ฉลาด เมื่อโอภาสนั้นเกิดคิดว่า โอภาสเห็น
ปานนี้ ยังไม่เคยเกิดแก่เรามาก่อนจากนี้เลยหนอ เราเป็นผู้บรรลุมรรค
บรรลุผลแน่แท้แล้ว จึงถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่มรรคนั่นแหละว่า เป็นมรรค สิ่งที่
ไม่ใช่ผลนั่นแหละว่าเป็นผล.
เมื่อภิกษุนั้นถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่มรรคว่าเป็นมรรค สิ่งที่ไม่ใช่ผลว่าเป็น
ผล ก้าวออกจากวิปัสสนาวิถี. ภิกษุนั้นสละวิปัสสนาวิถีของตนถึงความฟุ้งซ่าน
หรือสำคัญโอภาสด้วยความสำคัญแห่งตัณหาและทิฏฐินั่งอยู่. ก็โอภาสนี้นั้นเกิด
ให้สว่างเพียงที่นั่งของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเท่านั้น ภายในห้องของภิกษุบางรูป
แม้นอกห้องของภิกษุบางรูป ทั่วทั้งวิหารของภิกษุบางรูป คาวุตหนึ่งกึ่งโยชน์
๒ โยชน์ ฯลฯ ทำแสงสว่างเป็นอันเดียวกันตั้งแต่พื้นดินจนถึงอกนิษฐพรหมโลก
ของภิกษุบางรูป แต่ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเกิดโอภาสตลอดหมื่นโลกธาตุ
เพราะโอภาสนี้ ยังที่นั้น ๆ ให้สว่างย่อมเกิดในเวลามืดอันประกอบด้วยองค์ ๔.
บทว่า โอภาโส ธมฺโมติ โอภาสํ อาวชฺชติ ภิกษุนึกถึงโอภาส
ว่า โอภาสเป็นธรรม คือ ภิกษุทำไว้ในใจถึงโอภาสนั้น ๆ ว่า โอภาสนี้เป็น
มรรคธรรมหรือเป็นผลธรรมดังนี้. บทว่า ตโต วิกฺเขโป อุทฺธจฺจํ เพราะ
นึกถึงโอภาสนั้น ความฟุ้งซ่านจึงเป็นอุทธัจจะ คือ เพราะโอภาสนั้นหรือ
เพราะนึกถึงว่า โอภาสเป็นธรรม ความฟุ้งซ่านจึงเกิดขึ้น นั่นคือ อุทธัจจะ.
บทว่า เตน อุทฺธจฺเจน วิคฺคหิตมานโส ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้นกั้นไว้
คือภิกษุมีใจอันอุทธัจจะซึ่งเกิดขึ้นอย่างนั้นกั้นไว้ หรือผู้เจริญวิปัสสนามีใจอัน
อุทธัจจะนั้นเป็นเหตุกั้นไว้โดยเกิดกิเลสอันมีอุทธัจจะนั้นเป็นมูลเหตุ เพราะ
ก้าวลงสู่วิปัสสนาวิถี หรือความฟุ้งซ่านแล้วตั้งอยู่ในกิเลสอันมีความฟุ้งซ่าน
นั้นเป็นมูลเหตุ ย่อมไม่รู้ความปรากฏโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความ
เป็นทุกข์ โดยความไม่ใช่ตัวตนตามความเป็นจริง. พึงประกอบ อิติ ศัพท์
อย่างนี้ว่า เตน วุจฺจติ ธมฺมุทฺธจฺจวิคฺคหิตมานโส ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า มีใจที่นึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้.
บทว่า โหติ โส สมโย สมัยนั้นคือ หากว่า การสอบสวนเกิดขึ้น
แก่พระโยคาวจรแม้ผู้มีจิตเศร้าหมองด้วยความพอใจ พระโยคาวจรนั้นย่อมรู้
อย่างนี้ว่า ธรรมดาวิปัสสนามีสังขารเป็นอารมณ์ มรรคและผลมีนิพพานเป็น
อารมณ์ แม้จิตเหล่านี้มีสังขารเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น โอภาสนี้มิใช่มรรค
อุทยัพพยานุปัสสนาเท่านั้นเป็นมรรคของนิพพาน. พระโยคาวจรกำหนดมรรค
และมิใช่มรรคแล้วเว้นความฟุ้งซ่านนั้นตั้งอยู่ในอุทยัพพยานุปัสสนา พิจารณา
สังขารทั้งหลายด้วยดี โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดย
ความไม่ใช่ตัวตน. เมื่อพระโยคาวจรสอบสวนอยู่อย่างนี้นั้นเป็นสมัย แต่เมื่อ
ไม่สอบสวนอยู่อย่างนี้ เป็นผู้มีมานะจัดว่า เราเป็นผู้บรรลุมรรคและผลดังนี้.
บทว่า ยํ ตํ จิตฺตํ ได้แก่ วิปัสสนาจิตนั้น. บทว่า อชฺฌตฺตเมว ใน
ภายใน คือในภายในโคจรอันเป็นอารมณ์แห่งอนิจจานุปัสสนา.
บทว่า าณํ อุปฺปชฺชติ ญาณย่อมเกิดขึ้น คือ เมื่อพระโยคาวจรนั้น
พิจารณาอย่างรอบคอบถึงรูปธรรมและอรูปธรรม วิปัสสนาญาณอันเฉียบแหลม
แข้งแกร่งกล้ายิ่งนัก มีกำลังไม่ถูกกำจัดย่อมเกิดขึ้นดุจวชิระของพระอินทร์ที่ปล่อย
ออกไปฉะนั้น.
อรรถกถาธรรมุทธัจจวารนิเทศ
มนสิกโรโต โอภาโส อุปฺปชฺชติ เมื่อภิกษุมนสิการโดยความเป็นสภาพ
ไม่เที่ยง โอภาสย่อมเกิดขึ้น คือภิกษุตั้งอยู่ในอุทยัพพยานุปัสสนาเห็นแจ้งสังขาร
ทั้งหลายด้วยอนุปัสสนา ๓ บ่อย ๆ มีจิตบริสุทธิ์ด้วยการละกิเลสด้วยตทังคปหานะ
ในวิปัสสนาญาณอันถึงความแก่กล้า โอภาสย่อมเกิดความปกติด้วยอานุภาพ
แห่งวิปัสสนาญาณในขณะมนสิการ โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความ
เป็นทุกข์ หรือโดยความไม่ใช่ตัวตน(อนัตตา) เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวถึงโอภาส
ของภิกษุผู้มนสิการ โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงก่อน.
ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนาไม่ฉลาด เมื่อโอภาสนั้นเกิดคิดว่า โอภาสเห็น
ปานนี้ ยังไม่เคยเกิดแก่เรามาก่อนจากนี้เลยหนอ เราเป็นผู้บรรลุมรรค
บรรลุผลแน่แท้แล้ว จึงถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่มรรคนั่นแหละว่า เป็นมรรค สิ่งที่
ไม่ใช่ผลนั่นแหละว่าเป็นผล.
เมื่อภิกษุนั้นถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่มรรคว่าเป็นมรรค สิ่งที่ไม่ใช่ผลว่าเป็น
ผล ก้าวออกจากวิปัสสนาวิถี. ภิกษุนั้นสละวิปัสสนาวิถีของตนถึงความฟุ้งซ่าน
หรือสำคัญโอภาสด้วยความสำคัญแห่งตัณหาและทิฏฐินั่งอยู่. ก็โอภาสนี้นั้นเกิด
ให้สว่างเพียงที่นั่งของภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเท่านั้น ภายในห้องของภิกษุบางรูป
แม้นอกห้องของภิกษุบางรูป ทั่วทั้งวิหารของภิกษุบางรูป คาวุตหนึ่งกึ่งโยชน์
๒ โยชน์ ฯลฯ ทำแสงสว่างเป็นอันเดียวกันตั้งแต่พื้นดินจนถึงอกนิษฐพรหมโลก
ของภิกษุบางรูป แต่ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเกิดโอภาสตลอดหมื่นโลกธาตุ
เพราะโอภาสนี้ ยังที่นั้น ๆ ให้สว่างย่อมเกิดในเวลามืดอันประกอบด้วยองค์ ๔.
บทว่า โอภาโส ธมฺโมติ โอภาสํ อาวชฺชติ ภิกษุนึกถึงโอภาส
ว่า โอภาสเป็นธรรม คือ ภิกษุทำไว้ในใจถึงโอภาสนั้น ๆ ว่า โอภาสนี้เป็น
มรรคธรรมหรือเป็นผลธรรมดังนี้. บทว่า ตโต วิกฺเขโป อุทฺธจฺจํ เพราะ
นึกถึงโอภาสนั้น ความฟุ้งซ่านจึงเป็นอุทธัจจะ คือ เพราะโอภาสนั้นหรือ
เพราะนึกถึงว่า โอภาสเป็นธรรม ความฟุ้งซ่านจึงเกิดขึ้น นั่นคือ อุทธัจจะ.
บทว่า เตน อุทฺธจฺเจน วิคฺคหิตมานโส ภิกษุมีใจอันอุทธัจจะนั้นกั้นไว้
คือภิกษุมีใจอันอุทธัจจะซึ่งเกิดขึ้นอย่างนั้นกั้นไว้ หรือผู้เจริญวิปัสสนามีใจอัน
อุทธัจจะนั้นเป็นเหตุกั้นไว้โดยเกิดกิเลสอันมีอุทธัจจะนั้นเป็นมูลเหตุ เพราะ
ก้าวลงสู่วิปัสสนาวิถี หรือความฟุ้งซ่านแล้วตั้งอยู่ในกิเลสอันมีความฟุ้งซ่าน
นั้นเป็นมูลเหตุ ย่อมไม่รู้ความปรากฏโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความ
เป็นทุกข์ โดยความไม่ใช่ตัวตนตามความเป็นจริง. พึงประกอบ อิติ ศัพท์
อย่างนี้ว่า เตน วุจฺจติ ธมฺมุทฺธจฺจวิคฺคหิตมานโส ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า มีใจที่นึกถึงโอภาสอันเป็นธรรมถูกอุทธัจจะกั้นไว้.
บทว่า โหติ โส สมโย สมัยนั้นคือ หากว่า การสอบสวนเกิดขึ้น
แก่พระโยคาวจรแม้ผู้มีจิตเศร้าหมองด้วยความพอใจ พระโยคาวจรนั้นย่อมรู้
อย่างนี้ว่า ธรรมดาวิปัสสนามีสังขารเป็นอารมณ์ มรรคและผลมีนิพพานเป็น
อารมณ์ แม้จิตเหล่านี้มีสังขารเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น โอภาสนี้มิใช่มรรค
อุทยัพพยานุปัสสนาเท่านั้นเป็นมรรคของนิพพาน. พระโยคาวจรกำหนดมรรค
และมิใช่มรรคแล้วเว้นความฟุ้งซ่านนั้นตั้งอยู่ในอุทยัพพยานุปัสสนา พิจารณา
สังขารทั้งหลายด้วยดี โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดย
ความไม่ใช่ตัวตน. เมื่อพระโยคาวจรสอบสวนอยู่อย่างนี้นั้นเป็นสมัย แต่เมื่อ
ไม่สอบสวนอยู่อย่างนี้ เป็นผู้มีมานะจัดว่า เราเป็นผู้บรรลุมรรคและผลดังนี้.
บทว่า ยํ ตํ จิตฺตํ ได้แก่ วิปัสสนาจิตนั้น. บทว่า อชฺฌตฺตเมว ใน
ภายใน คือในภายในโคจรอันเป็นอารมณ์แห่งอนิจจานุปัสสนา.
บทว่า าณํ อุปฺปชฺชติ ญาณย่อมเกิดขึ้น คือ เมื่อพระโยคาวจรนั้น
พิจารณาอย่างรอบคอบถึงรูปธรรมและอรูปธรรม วิปัสสนาญาณอันเฉียบแหลม
แข้งแกร่งกล้ายิ่งนัก มีกำลังไม่ถูกกำจัดย่อมเกิดขึ้นดุจวชิระของพระอินทร์ที่ปล่อย
ออกไปฉะนั้น.