...คนก็คนทำนาประสาคน คนกับควายทำนา...ประสาควาย...../วัชรานนท์

กระทู้คำถาม
ผมไม่ได้เกิดที่โรงพยาบาล   หมอตำแยในหมู่บ้านทำคลอดที่บ้าน.....เป็นบ้านที่ใต้ถุนชั้นล่างทำเป็นคอกควาย    กลิ่นแรกที่ผสมมากับอ๊อกซิเจนที่ผมสูดเข้าปอดครั้งแรกคงจะเป็นสาปควายที่เล็ดลอดมาตามช่องรอยต่อระหว่างพื้นไม้ของบ้าน    ไม่รู้ล่ะ.....ผมโยงของผมเอาดื้อๆ ว่า  ตรงนั้นแหละที่ทำให้ผมผูกพันธ์กับควายมาตลอด   



หลังจากพี่ชายผมตายตอนอายุสิบสามขวบ    ผมก็รับหน้าที่ “เลี้ยงควาย” ต่อจากพี่ชายตอนอายุห้าขวบ     ชีวิตการเป็นชาวนาของผมเริ่มต้นตรงนี้....เริ่มต้นที่การคุ้นเคยและคลุกคลีกับควายตั้งแต่เด็ก   เพราะทั้งคนทั้งควายก็ต้องพึ่งพาอาศัยกันจนตายกันไปข้าง   แล้วก็ควายนั่นแหละจะนำผมออกเผชิญโลกกว้างทั้งในแต่ละวันและในแต่ละฤดูกาล    หน้าที่ของควายจึงไม่ใช่ลากไถอย่างเดียวตามที่เข้าใจกัน   แต่พวกเขายังได้ทำหน้าที่นำทายาทของชาวนาตัวเล็กๆ ออกสู่ทุ่งกว้างเพื่อสั่งสมประสบการณ์ชีวิตการเป็นชาวนา   



สำหรับคนที่ไม่เคยคลุกคลีกับควาย....อาจจะไม่ลึกซึ้งกับสิ่งที่ผมกำลังจะพูดต่อไปนี้    การที่ได้คลุกคลีกับควายมาตั้งแต่เด็ก   ผมรู้สึกผูกพันกับเขามาก   เหมือนๆ กับหลายๆ คนที่ผูกพันกับสัตว์เลี้ยงอย่างน้องหมา น้องแมวนั่นแหละ      ความผูกพันตรงนี้ผมขออธิบายสั้นๆ ในนิยามของผมเองว่า “ควายเจ็บ...คนเจ็บ”   อย่างเช่นในเวลาที่พ่อผมไถนากลางแดดเปรี้ยง  ผมจะเดินตามควายไม่ห่างคอยวิดนำ้ใส่หลังของเขา   เวลาพ่อปลดแอกผมจะปรี่ไปจูงเขาออกไปหาลูกๆ เขาที่เล็มหญ้าอยู่ข้างๆ   ยิ่งถ้าวันไหน...เขาต้องไถนาวันละหลายผืน  ผมมักจะนั่งเฝ้าน้ำตาคลอเพราะสงสาร


ผมเคยโกรธพ่ออย่างรุนแรง   ที่เช้าวันหนึ่งมีชายแปลกหน้าสามคนมาที่บ้านแล้วพ่อบอกให้ผมเปิดคอกควายให้ชายสามคนมาเอาลูกควายตัวหนึ่งไป   ตอนแรกผมไม่เอะใจ....แต่ผมเห็นแม่ควายและลูกควายตัวนั้นน้ำตาไหล   ควายตัวลูกที่ผมเรียกมันว่า “บักจ้อน” ที่กำลังเข้าวัยหนุ่มพยายามขัดขืนจะไม่ไป   ผมรู้สึกทันทีว่าการพลัดพรากกำลังจะเริ่มขึ้นระหว่างแม่ ลูก และผมที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เด็ก   หลังจากวันนั้น  ผมไม่รู้ชะตากรรม “บักจ้อน” เลย   ถามพ่อทีไรพ่อก็จะคอกใส่ไม่ให้ถาม    ผมแอบนอนร้องไห้มุ้งอยู่หลายคืน(ขณะเขียนอยู่ตอนนี้ยังน้ำตาคลอ)   เงินที่ได้จากขาย “บักจ้อน” ไปถูกเอาไปใช้เป็นค่าเทอมให้กับพี่ชายและน้องชายของผม   ทำให้ผมเคืองพ่อ  อิจฉาน้องและชังพี่อยู่หลายปี....


การจากไปของ “บักจ้อน” ทำให้พวกเราเหลือควายอยู่สามตัว   ผมใจหายและหดหู่แทบทุกครั้งที่เปิดคอกแล้วต้อนควายสู่ท้องนา   มันอ้างว้างเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง   “บักจ้อน” เป็นควายตัวผู้ทีผมชอบขี่หลังประจำ  เพราะเขาอยู่ในวัยหนุ่มแข็งแรงและปราดเปรียว   เขาสามารถว่ายน้ำจากในหนองจากอีกฝั่งไปยังอีกฝั่งได้ในขณะที่ผมขี่หลัง   ผมผูกพันกับ “บักจ้อน” และเชื่อว่าเขาก็ผูกพันกับผมไม่แพ้กัน    ในวันที่เขาโดนควายตัวอื่นขวิดเป็นแผลลึกเหวอะหวะมา   ผมก็โดนพ่อเฆียนเป็นแผลไม้เรียวอยู่กลางหลังเพราะผมปล่อยให้เขาไปขวิดกับควายตัวอื่น  ทั้งบักจ้อนและผมต่างก็มีแผลเหมือนกัน  ต่างกันตรงที่แผลของ “บักจ้อน” กลายเป็นแผลเน่าและมีหนอนไช   และดูเหมือนว่ามีแต่ผมคนเดียวที่ “บักจ้อน” ให้จับดูบาดแผล   ผมเฝ้ารักษาแผลให้ “บักจ้อน” โดยใช้น้ำมันก๊าซราดบนแผลแล้ว   จากนั้นพวกตัวหนอนก็ค่อยๆ โผล่มาที่เหนือบาดแผล   แล้วผมก็จะค่อยๆ หนีบหนอนออกทีละตัว    ใหม่ๆ “บักจ้อน” ขัดขืน   แต่สักพักเขาคงจะรู้สึกดีขึ้นจึงปล่อยให้ผมราดน้ำมันก๊าซบนแผล   จนแผลหายเป็นปรกติ



ในวันที่ “บักจ้อน” ต้องโดนสนตะพายเป็นวันที่ผมเรียกว่าหัวใจแทบสลาย   คงจะเพราะผมไม่เคยเห็นการสนตะพายควายมาก่อนนั่นเอง   ผมถูกใช้ให้ไปต้อนให้ “บักจ้อน” โผล่หัวออกมาจากคอก   พ่อถือเหล็กแหลมที่รนไฟร้อนๆ อย่างดีเตรียมไว้    สั่งให้ผมลูบคอ “บักจ้อน” เอาไว้  และเพื่อนๆ ของพ่อจับเขาทั้งสองข้างไว้  จากนั้นเหล็กแหลมๆ ก็เสียบด้านข้างของจมูกของ “บักจ้อน” “บักจ้อน” ก็ดิ้นพยายามสบัดเขาหนีด้วยความเจ็บปวด  กว่าเหล็กแหลมจะทะลุอีกข้าง  ทั้งเลือดของ “บักจ้อน” ทั้งน้ำตาของผมไหลพรากไม่ขาดสาย   และกว่า “บักจ้อน” จะชินกับเชือกที่สนตะพายบนจมูกของเขาก็กินเวลาหลายเดือน



หลังจาก“บักจ้อน” ถูกขายไปได้เกือบปีกว่าๆ      ก็ถึงวันที่ผมต้องจากแม่และน้องๆ ของบักจ้อนไปเหมือนกัน    บ่ายวันนั้น  แม่และน้องๆ ของบักจ้อนถูกต้อนขโมยไปจากทุ่งนา(การขโมยควายในสมัยนั้นยังมีอยู่)  ปรกติผมและเพื่อนๆ ที่เลี้ยงควายด้วยกันจะทิ้งควายไว้กลางทุ่ง  แล้วพวกเราจะเดินกลับเข้าหมู่บ้านเพื่อทานข้าวเที่ยงประจำ    วันนั้นหลังจากทานข้าวเที่ยงเสร็จ  พวกเราก็ชวนกันไปเล่นน้ำในหนองใกล้ๆ ทุ่งที่ควายพวกเราเล็มหญ้าอยู่    พอขึ้นจากหนองมา  ปรากฏว่าควายทั้งสามตัวของผมไม่ได้รวมอยู่ในฝูงซะแล้ว   ทีแรกผมก็ไม่ตกใจ  เพราะปรกติควายสามแม่ลูกของผมมักจะปลีกตัวจากฝูงไปเล็มหญ้าที่อื่นไปเรื่อย  แล้วก็จะกลับมาเข้าฝูงเหมือนเดิม   แต่คราวนี้ไม่.....ผมวิ่งหาควายตั้งแต่บ่ายจนเย็น   จนมั่นใจว่า “ควายหาย”  จึงสั่งเพื่อนให้ไปบอกพ่อ   จากนั้นพ่อก็บอกผู้ใหญ่บ้านตีเกราะ  เพื่อเกณฑ์ชาวบ้านออกมาช่วยหาควาย    ส่วนผม....รู้ชะตากรรมดีว่าจะต้องโดนลงโทษหนักขนาดไหน?    ผมลอบกลับเข้าบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้า   แล้วหนีออกจากบ้านมาตั้งแต่วันนั้น  จนกระทั่งทุกวันนี้  

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่