ยิ่งห่างไกลจากคำว่า คี่ข้า นักการเมืองอย่างลิบลับ แต่ที่ผมสนับสนุนนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งนั้น เป็นเพราะว่า ผมรู้ดีว่า มีแต่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง
จึงจะมองเห็นคุณค่าในทุกเสียงของประชาชน
จึงจะรับรู้ถึงปัญหาของประชาชนจากการลงพื้นที่
จึงจะนำเสนอนโยบายต่างๆให้ประชาชนได้มีโอกาสเลือกสรรค์
จึงจะสามารถทำตามความต้องการของประชาชน
และยังสามารถเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนได้ในทุกโอกาส
สำหรับผมก็คงจะได้มีอำนาจเทียบเท่ากับประชาชนคนอื่นๆ
นักการเมืองที่ไม่รีบลงพื้นที่ยามประชาชนกำลังเดือดร้อนจากภัยพิบัติต่างๆ คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักกาเมืองที่ไม่ทำตามนโยบายที่นำเสนอตอนหาเสียง คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่เอาแต่นั่งอยู่ในสภา โดยไม่ใส่ใจกับปัญหาของประชาชน คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่พยายามออกกฎหมายที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่ตั้งพรรคพวกเข้ามาร่วมรุมทึ้งงบประมาณอย่างไม่มีเหตุผล คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่ตั้งคนตรวจสอบความโปร่งใสของตัวเองโดยพวกเดียวกัน คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่ไม่อยู่คิดอยู่เคียงข้างคนส่วนใหญ่ แต่กลับมุ่งเอาใจคนส่วนน้อย คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่หวังได้ตำแหน่ง โดยไม่สนใจกับวิธีการ คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่มีแต่ความเพ้อฝัน จินตนาการหลุดโลก คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่ดีแต่พูด เอาแต่สร้างภาพ ประชาชนไม่เคยเห็นหัว นอกจากในสื่อทีวี คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่ไม่ได้หวังคะแนนเสียงจากประชาชน แต่อยากได้ตำแหน่งจากทางลัด คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
และนักการเมืองที่ไม่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย ไม่มีอุดมการณ์เพื่อประชาชน คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
และเมื่อโอกาสของผมมาถึง ผมก็จะลงโทษคนพวกนี้ด้วย 1 เสียงที่มีอยู่ตามวิถีแห่งประชาธิปไตย และเมื่อคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับผม เมื่อนั้นนักการเมืองพวกนี้ก็จะหมดโอกาสเป็นตัวแทนของประชาชน เปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามาทำงานแทน
ดังนั้นผมจึงไม่ใช่สาวกนักการเมือง แต่เป็นผมและประชาชนต่างหาก ที่สามารถจะกำหนดการทำงานของนักการเมืองเป็นไปตามที่เราต้องการ มันเป็นอย่างนี้ครับ ถ้าเรามีประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ
ผมไม่ใช่สาวกนักการเมือง-----------------------ทวดเอง
จึงจะมองเห็นคุณค่าในทุกเสียงของประชาชน
จึงจะรับรู้ถึงปัญหาของประชาชนจากการลงพื้นที่
จึงจะนำเสนอนโยบายต่างๆให้ประชาชนได้มีโอกาสเลือกสรรค์
จึงจะสามารถทำตามความต้องการของประชาชน
และยังสามารถเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชนได้ในทุกโอกาส
สำหรับผมก็คงจะได้มีอำนาจเทียบเท่ากับประชาชนคนอื่นๆ
นักการเมืองที่ไม่รีบลงพื้นที่ยามประชาชนกำลังเดือดร้อนจากภัยพิบัติต่างๆ คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักกาเมืองที่ไม่ทำตามนโยบายที่นำเสนอตอนหาเสียง คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่เอาแต่นั่งอยู่ในสภา โดยไม่ใส่ใจกับปัญหาของประชาชน คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่พยายามออกกฎหมายที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่ตั้งพรรคพวกเข้ามาร่วมรุมทึ้งงบประมาณอย่างไม่มีเหตุผล คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่ตั้งคนตรวจสอบความโปร่งใสของตัวเองโดยพวกเดียวกัน คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่ไม่อยู่คิดอยู่เคียงข้างคนส่วนใหญ่ แต่กลับมุ่งเอาใจคนส่วนน้อย คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่มีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่หวังได้ตำแหน่ง โดยไม่สนใจกับวิธีการ คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่มีแต่ความเพ้อฝัน จินตนาการหลุดโลก คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่ดีแต่พูด เอาแต่สร้างภาพ ประชาชนไม่เคยเห็นหัว นอกจากในสื่อทีวี คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
นักการเมืองที่ไม่ได้หวังคะแนนเสียงจากประชาชน แต่อยากได้ตำแหน่งจากทางลัด คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
และนักการเมืองที่ไม่มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย ไม่มีอุดมการณ์เพื่อประชาชน คนพวกนี้ ผมจะจำเอาไว้
และเมื่อโอกาสของผมมาถึง ผมก็จะลงโทษคนพวกนี้ด้วย 1 เสียงที่มีอยู่ตามวิถีแห่งประชาธิปไตย และเมื่อคนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับผม เมื่อนั้นนักการเมืองพวกนี้ก็จะหมดโอกาสเป็นตัวแทนของประชาชน เปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามาทำงานแทน
ดังนั้นผมจึงไม่ใช่สาวกนักการเมือง แต่เป็นผมและประชาชนต่างหาก ที่สามารถจะกำหนดการทำงานของนักการเมืองเป็นไปตามที่เราต้องการ มันเป็นอย่างนี้ครับ ถ้าเรามีประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ