กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว บนดวงดาวไร้ชื่อที่ครอบครองโดยเหล่าปิศาจแห่งความมืด มนุษย์ถูกกดขี่เป็นทาสมานานหลายพันปี กระทั่งมีเทพจากดาวอีกดวงหลงทางเข้ามาเพื่อหลบหนีจึงพบว่าดาวดวงนี้ควรเป็นดาวของมนุษย์ พระนางกับสวามีจึงช่วยกันรวบรวมอำนาจมืดทั้งหมดบนดาวดวงนี้แล้วบรรจุมันลงไปในใจกลางดวงดาวเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน แล้วให้มนุษย์ครองอำนาจเหนือสัตว์ต่างๆบนดาวแห่งนั้นแล้วตั้งชื่อว่า เรมิสต์ เทพฝ่ายสามีสร้างร่างแยกของตนขึ้นเป็นจอมเทพหนึ่งเดียวของดาวดวงนี้ นามนั้นคือ เอซีร่า
ทว่าเทพผู้มีเนตรแห่งการพยากรณ์ที่คิดปักหลักบนดาวดวงนี้ได้หยั่งรู้ ว่าวันหนึ่งความมืดที่ใจกลางดวงดาวจะล้นทะลักออกมากลืนกินเหล่ามนุษย์จนสิ้น โดยร่างแยกเอซีร่าจะถูกควบคุมและแทนที่ด้วยความมืดเป็นอันดับแรก ก่อนพลังแห่งความมืดจะขยายตัวจนไม่มีผู้ใดปราบได้เพราะได้รับพลังจากเอซีร่า
เทพผู้เป็นสามีกำลังคิดสร้างอาวุธเทพชิ้นใหม่มองเห็นโอกาสสร้างอาวุธ จึงสร้างกระบี่ที่มีอำนาจของไฟขึ้นมาพร้อมผลึกเวทมนตร์อีกสองชิ้น เมื่อกระบี่ดังกล่าว ผลึกเวทมนตร์ ผสานกับความมืดจากแกนกลางดวงดาวด้วยพลังเวทแก่กล้ามันจะกำเนิดดาบวิเศษขึ้นมาเล่มหนึ่ง ดาบเล่มนั้นทำงานเหมือนดวงจันทร์ที่เก็บรับแสงอาทิตย์และสะท้อนมันไปยังโลกยามค่ำคืน ดาบดังกล่าวจึงได้รับชื่อว่าดาบจันทรา ส่วนนักรบผู้กล้าที่จะช่วยเหล่ามนุษย์จึงได้รับชื่อนักรบจันทราเฉกเช่นเดียวกัน
ด้วยความที่มนุษย์สายเลือดเก่าแก่บนดวงดาวนี้ไร้พลังวิเศษและไม่สามารถปกป้องตนเองได้ เทพผู้เป็นสามีจึงนำเชื้อสายพิเศษมาปกครองให้เป็นสองจักรวรรดิใหญ่ จะเป็นผู้สืบสายเลือดพิเศษที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าสายเลือดเดิมของดาวดวงนี้ โดยนักรบจันทราจะมีตัวแทนอีกสองตระกูลเป็นผู้เกื้อหนุน
แม้เส้นทางแห่งกาลเวลาจะบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยหากทุกอย่างยังดำเนินไปตามที่ควร ความมืดที่ได้รับชื่อว่าจอมปิศาจแทรกซึมขึ้นมาจากแกนของดวงดาวและสิงสู่อยู่กับมหาเทพเอซีร่าแห่งเรมิสต์ ในคราวแรกมันมอบพลังให้ราชาผู้หนึ่งเพื่อพิชิตจักรวรรดิทั้งสองแต่ผิดพลาด ต่อมาเชื้อสายของราชาองค์นั้นก็ได้รับพลังฝ่ายมืดเพื่อฟื้นฟูเมือง เขาลักพาตัวผู้ที่ได้ชื่อว่านักปราชญ์แห่งตะวันตกเพื่อใช้ประโยชน์ ด้วยความรักของทั้งคู่ทำให้เขาคนนั้นเลิกล้มแผนการทั้งหมดเพื่อใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา
จอมปิศาจเห็นดังนั้นจึงกุข่าวขึ้นเพื่อให้สองจักรวรรดิตามล่าชายคนนั้นด้วยความเข้าใจผิด จากความเข้าใจผิดทำให้เกิดการพรากจาก การพรากจากสำรอกเป็นความคั่งแค้น ชายหญิงคู่นั้นหลอมตัวเองเข้ากับอำนาจมืดจากจอมปิศาจสถาปนาตนเองเป็นจอมอสูรจองเวรกับสองจักรวรรดิที่พรากลูกของพวกเขาไป เป็นสาเหตุของภัยพิบัติที่ตนไม่ได้สร้างขึ้น และจะต้องตายแทนจอมปิศาจที่ชักใยอยู่
เพราะมันรู้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะให้กำเนิดนักรบจันทราผู้สยบความมืดขึ้นมา มันวางแผนให้มนุษย์ห้ำหั่นกันด้วยความแค้น นักรบจันทราจะต้องต่อสู้และสังหารจอมอสูรบิดาของตน เนื้อเรื่องตรงนี้ผิดพลาดจากแผนการเพราะการพบกันระหว่าง ไบรอัน แบล็คสโตนกับเวเบอร์ เฟียร์เลส เสมือนกับทั้งสองฝ่ายมีตัวแทนที่ได้กลิ่นของความจริง จึงร่วมมือกันจนถือกำเนิดผู้กล้าแสงตะวันขึ้นมา
หน้าที่หลักของผู้กล้าแสงตะวันนั้นคือช่วยคุ้มกันและเป็นกำลังให้นักรบจันทรา เสมือนดวงอาทิตย์ที่คอยส่งแสงไปยังพระจันทร์เพื่อทำลายความมืดยามรัตติกาลฉะนั้น
บัดนี้จอมอสูรได้รับการปลดปล่อยแล้ว ดาริอุส ดรากาน หรือนักรบจันทราได้รับดาบจันทรา และมีตัวแทนตระกูลพิเศษอีกสองคนคอยช่วยเหลือ นั่นคือ ไบรอัน และเวเบอร์ที่เข้ามายุ่มย่ามกับเส้นทางเวลาของดาวดวงนี้ เหลือเพียงต้องค้นหาทางเลือกที่แท้จริงว่าควรทำอย่างไรกับจอมปิศาจที่สิงสู่ร่างของจอมเทพเอซีร่าเท่านั้น...
“เกราะ ใช่แล้วข้าต้องการเกราะ” ดาริอุส ดรากานพูดในวันหนึ่งหลังจากเรื่องของจอมอสูรลงตัว “ปกติผู้กล้าต้องมีสิ่งวิเศษมาช่วยสิ ข้ามีดาบแล้ว ยังขาดโล่กับเกราะไป ต้องเป็นของวิเศษด้วยนะไม่อย่างนั้นจะผิดธรรมเนียมผู้กล้า”
อดีตผู้กล้าแสงตะวันกุมขมับ เขาดีใจที่ดาริอุสมีสำนึกในหน้าที่จัดการจอมปิศาจ แต่มันไม่ใช่เกมหรือการละเล่นที่ต้องมีอาวุธให้ครบชุด
ในห้องรับรองของเพียรซ์มีพวกเขาอยู่กันพร้อมหน้า ดาริอุส ลาควีล่า เวเบอร์ เนอร์วาน่า แล้วก็เขาเองซึ่งลดความสำคัญของตัวเองเป็นแค่ผู้ติดตามนักรบจันทรา
“เจ้าก็มีเกราะอ่อนของตัวเองแล้วนี่” เนอร์วาน่าหรือนางผู้หยั่งรู้พูดเสียงเย็น “นอกเรื่องอีกคำเดียวข้าจะจับไปปล่อยใต้ปราสาทแก้วผลึก”
นางทำให้ทุกคนพร้อมใจหุบปากแล้วพูดเรื่องการต่อกรกับจอมปิศาจต่อ
“ข้าสรุปความคิดของหมอนี่ให้ก็แล้วกัน” ไบรอันผิวปาก มองไปรอบห้องเวทมนตร์เก็บเสียงยังทำงานดีอยู่ “เราจะคัดแยกเอาเฉพาะความมืดที่สิงสู่องค์เอซีร่าออกมา แล้วยัดลงไปแกนกลางดวงดาวอีกครั้ง ซึ่งเนอร์วาน่าสามารถสร้างทางเข้าได้”
“จะดีหรือท่านมาเวอร์ริค จอมปิศาจส่งสาวกมาทำลายท่านถึงสามครั้ง แล้วยังทำให้ครอบครัวท่านพลัดพรากกันอีก มันทำร้ายท่านครั้งแล้วครั้งเล่ายังคิดให้อภัยอีกหรือ” เวเบอร์กอดอกอย่างเคร่งเครียดต่างกับดาริอุสที่ทำเป็นเล่นได้เสมอ
“อลิเซียเคยบอกข้าตอนเราเดินทางไปเมืองแก้วผลึกด้วยกัน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ข้าเห็นด้วยกันนาง...ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำก็มีแค่ส่งจอมปิศาจกลับแกนกลางดาวเท่านั้น ฆ่าไปก็เสียเลือดเนื้อเปล่าๆ” ดาริอุสตอบ
“โดยทฤษฎีแล้วทำได้” เวเบอร์ผู้มองเห็นปัญหาทุกอย่างขัด “แต่จอมปิศาจสิงสู่ร่างเทพเอซีร่าอยู่ทำให้มีพลังมากมาย ไหนจะต้องทำให้กายเนื้อหยุดที่ตำแหน่งที่เหมาะ ไหนจะต้องมีแหล่งพลังเวทที่เหมาะสมอีก โอกาสที่เราจะทำได้แทบไม่มีเลย แล้วที่สำคัญคือ...” อยู่ๆเวเบอร์ก็หยุดราวนึกได้ว่าไม่ควรพูดสิ่งนั้นออกมา ไบรอันขมวดคิ้วหันไปถามลาควีล่าเผื่อจะรู้อะไรบ้าง
“เราจะต่อสู้กับจอมปิศาจในร่างของจอมเทพเอซีร่า เมื่ออีกฝ่ายอ่อนแอถึงที่สุดข้าจะดึงความมืดส่วนที่เป็นจอมปิศาจไปเก็บไว้ใจกลางดาวเหมือนเดิม แบบนี้ดีกว่า” เนอร์วาน่าคงเป็นผู้เดียวที่รู้ว่าสิ่งใดทำให้เวเบอร์ลำบากใจ
“เราจะสู้กับจอมเทพได้อย่างไร เราเป็นมนุษย์ธรรมดานะ ต่อให้มีของวิเศษช่วยก็เท่านั้น ไม่มีทางต่อกรกับคู่มือระดับเทพเจ้าได้หรอก” ไบรอันส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“เหลือแค่ทางนี้ทางเดียวแล้ว ไม่อย่างนั้นจอมปิศาจจะก่อเรื่องร้ายแรงมากๆ ข้าขอเน้นคำว่ามากอีกสิบครั้ง!” เวเบอร์พูดด้วยสีหน้าเครียดจัด
“เบื้องหลังของดินแดนข้าเคลื่อนไหวแล้ว จอมปิศาจต้องถูกกำจัด” เวเบอร์ประสานมือไว้ข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น “เชื่อข้าสิ เมื่อเราไปถึงจะสู้กับซากร่างเทพที่จอมปิศาจสิงสู่อยู่เท่านั้น ไม่ต้องสู้กับจอมเทพหรือพลังระดับเทพ”
“ท่านรู้อะไรมาหรือเวเบอร์ บอกข้าบ้างสิ” ลาควีล่าเอ่ยปากหวังให้อีกฝ่ายพูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกมา
เวเบอร์นิ่งงัน กำลังชั่งน้ำหนักว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดควรเก็บไว้
“ทางดินแดนของข้า สี่เสาค้ำจุนจะเป็นผู้ดูดและคืนพลังของจอมเทพเอซีร่าเอง สิ่งที่เราต้องสู้ด้วยคือเปลือกกลวงๆของเทพเอซีร่ากับเนื้อในที่เป็นจอมปิศาจ ข้าบอกได้แค่นี้ อย่าถามข้า” เวเบอร์โบกมือเมื่อดาริอุสจะเอ่ยปาก
“ดังนั้นพวกเจ้าทั้งสี่จะต้องสู้กับจอมปิศาจให้อ่อนแอที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนข้าจะคอยเปิดประตูส่งมันกลับไปกลางเรมิสต์เอง” เนอร์วาน่าสรุปโดยไม่มีข้อโต้แย้ง “ข้าช่วยไม่ได้เพราะต้องเป็นกลางกับทุกฝ่าย”
“เจ้าคงจัดการการเดินทางของพวกเราแล้วใช่ไหมไบรอัน ยิ่งคนเข้ามายุ่งมากเรื่องก็ยิ่งยุ่งยากตามไปอีก” เวเบอร์โบกมือถาม
“เราแอบไปก่อนวันที่บอกเขาจริง เมื่อทางจักรวรรดิรู้ตัวงานก็เสร็จแล้ว ไม่เราก็จอมปิศาจ เนอร์วาน่าจะช่วยใช้มนตร์เคลื่อนย้ายไปขั้วเรมิสต์วิหารของจอมเทพเอซีร่าเอง” ไบรอันพยักหน้าว่าทุกอย่างลงตัว
ความจริงแล้วเรื่องของจอมปิศาจทางจักรวรรดิทั้งสองก็ต้องการร่วมมือกันกำจัดเพื่อเอาหน้า เป็นโชคของพวกเขาที่ทั้งไบรอันและเวเบอร์รายงานโดยปิดบังใจความสำคัญเอาไว้...
ที่ขั้วของดวงดาวแทนที่จะเป็นน้ำแข็งกลับเป็นทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม รอบด้านราบเรียบเห็นวิหารขนาดใหญ่ที่สถิตของจอมเทพเอซีร่าอยู่บนพื้นหลังสีฟ้า เวลานี้อยู่ในฤดูหนาวขั้วด้านเหนือของดวงดาวจึงเป็นเวลากลางคืนตลอดเวลา หากสามารถเห็นสิ่งต่างๆได้ด้วยแสงจากเวทมนตร์ที่ปกคลุมที่นั่นอยู่ ทำให้อากาศอบอุ่นผิดกับส่วนอื่นของขั้วเรมิสต์
เมื่อแสงจากมนตร์เคลื่อนย้ายดับลง พวกเขาก็เห็นซากศพของปิศาจตายเกลื่อนกราดราวกับมีการฆ่าล้างบางครั้งใหญ่
“พี่สองคนของข้าบอกว่าจะจัดการกับส่วนที่เป็นจอมเทพเอซีร่าให้ก่อน คงเป็นพวกเขากระมัง” เวเบอร์พูดเรียบๆ
ที่สุดสายตามีสิ่งหนึ่งรอพวกเขาอยู่ ต้องเดินต่อไปอีกสักพักจึงเห็นว่าเป็นหอคอยน้ำแข็งขนาดใหญ่ มีร่างจอมเทพเอซีร่าถูกแช่แข็งอยู่บนส่วนยอด
“กว่าจะมาถึงกันได้นะพวกเจ้า พวกเรารอจนรากเกือบงอก” พี่ชายของเวเบอร์ยืนข้างๆภรรยาตนเองที่คลุมผ้าสีสดอยู่บนไหล่
ดาริอุสขนลุกชันเมื่อสังเกตได้ว่าไม่มีรอยเลือดสีแดงหรือศพของมนุษย์เลย แสดงว่าผู้ถูกฆ่ามีแต่เหล่าปิศาจล้วนๆ พี่ชายพี่สาวของเวเบอร์คงเก่งเกินมนุษย์เลยกระมังจึงบุกเข้ามาด้วยกำลังคนเพียงสองคนเท่านั้น
“ตอนนี้จอมเทพเอซีร่าอยู่ในมิติแห่งการหลับใหล ผ้าคลุมเหล็กกล้าก็ยึดมาแล้ว พวกเจ้าเข้าไปทำงานต่อกันได้เลย” พี่สาวของเวเบอร์ขยับปีกน้อยๆให้เห็นผ้าคลุมที่คลุมไหล่นางอยู่
“พวกท่านจัดการทั้งหมดนั่น แค่สองคน” ดาริอุสชี้นิ้วโป้งไปด้านหลังร่ำๆจะเป็นลม ในเมื่อพี่ทั้งสองของเวเบอร์เก่งขนาดนี้แล้วทำไมไม่กำจัดจอมปิศาจเสียเองให้สิ้นเรื่องล่ะ
“ปัญหาของคนบนดาวดวงนี้ก็ต้องให้คนบนดาวดวงนี้แก้สิเจ้าหนุ่ม” พี่ชายของเวเบอร์พูดราวกับเข้าใจคำถามของดาริอุส “พวกเราอุดรอยรั่วที่แกนดาวให้แล้ว เหลือแค่จอมปิศาจตัวเดียวโดดๆตรงนั้น พวกเจ้าต้องจัดการกันเอง...แล้วเจอกันเมื่อถึงเวลา”
แล้วทั้งคู่ก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปบนท้องฟ้าโดยไม่อาจระบุทิศได้แม่นยำ
(มีต่อ)
นักรบจันทรา ตอนที่ 28
ทว่าเทพผู้มีเนตรแห่งการพยากรณ์ที่คิดปักหลักบนดาวดวงนี้ได้หยั่งรู้ ว่าวันหนึ่งความมืดที่ใจกลางดวงดาวจะล้นทะลักออกมากลืนกินเหล่ามนุษย์จนสิ้น โดยร่างแยกเอซีร่าจะถูกควบคุมและแทนที่ด้วยความมืดเป็นอันดับแรก ก่อนพลังแห่งความมืดจะขยายตัวจนไม่มีผู้ใดปราบได้เพราะได้รับพลังจากเอซีร่า
เทพผู้เป็นสามีกำลังคิดสร้างอาวุธเทพชิ้นใหม่มองเห็นโอกาสสร้างอาวุธ จึงสร้างกระบี่ที่มีอำนาจของไฟขึ้นมาพร้อมผลึกเวทมนตร์อีกสองชิ้น เมื่อกระบี่ดังกล่าว ผลึกเวทมนตร์ ผสานกับความมืดจากแกนกลางดวงดาวด้วยพลังเวทแก่กล้ามันจะกำเนิดดาบวิเศษขึ้นมาเล่มหนึ่ง ดาบเล่มนั้นทำงานเหมือนดวงจันทร์ที่เก็บรับแสงอาทิตย์และสะท้อนมันไปยังโลกยามค่ำคืน ดาบดังกล่าวจึงได้รับชื่อว่าดาบจันทรา ส่วนนักรบผู้กล้าที่จะช่วยเหล่ามนุษย์จึงได้รับชื่อนักรบจันทราเฉกเช่นเดียวกัน
ด้วยความที่มนุษย์สายเลือดเก่าแก่บนดวงดาวนี้ไร้พลังวิเศษและไม่สามารถปกป้องตนเองได้ เทพผู้เป็นสามีจึงนำเชื้อสายพิเศษมาปกครองให้เป็นสองจักรวรรดิใหญ่ จะเป็นผู้สืบสายเลือดพิเศษที่มีพลังอำนาจเหนือกว่าสายเลือดเดิมของดาวดวงนี้ โดยนักรบจันทราจะมีตัวแทนอีกสองตระกูลเป็นผู้เกื้อหนุน
แม้เส้นทางแห่งกาลเวลาจะบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยหากทุกอย่างยังดำเนินไปตามที่ควร ความมืดที่ได้รับชื่อว่าจอมปิศาจแทรกซึมขึ้นมาจากแกนของดวงดาวและสิงสู่อยู่กับมหาเทพเอซีร่าแห่งเรมิสต์ ในคราวแรกมันมอบพลังให้ราชาผู้หนึ่งเพื่อพิชิตจักรวรรดิทั้งสองแต่ผิดพลาด ต่อมาเชื้อสายของราชาองค์นั้นก็ได้รับพลังฝ่ายมืดเพื่อฟื้นฟูเมือง เขาลักพาตัวผู้ที่ได้ชื่อว่านักปราชญ์แห่งตะวันตกเพื่อใช้ประโยชน์ ด้วยความรักของทั้งคู่ทำให้เขาคนนั้นเลิกล้มแผนการทั้งหมดเพื่อใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา
จอมปิศาจเห็นดังนั้นจึงกุข่าวขึ้นเพื่อให้สองจักรวรรดิตามล่าชายคนนั้นด้วยความเข้าใจผิด จากความเข้าใจผิดทำให้เกิดการพรากจาก การพรากจากสำรอกเป็นความคั่งแค้น ชายหญิงคู่นั้นหลอมตัวเองเข้ากับอำนาจมืดจากจอมปิศาจสถาปนาตนเองเป็นจอมอสูรจองเวรกับสองจักรวรรดิที่พรากลูกของพวกเขาไป เป็นสาเหตุของภัยพิบัติที่ตนไม่ได้สร้างขึ้น และจะต้องตายแทนจอมปิศาจที่ชักใยอยู่
เพราะมันรู้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะให้กำเนิดนักรบจันทราผู้สยบความมืดขึ้นมา มันวางแผนให้มนุษย์ห้ำหั่นกันด้วยความแค้น นักรบจันทราจะต้องต่อสู้และสังหารจอมอสูรบิดาของตน เนื้อเรื่องตรงนี้ผิดพลาดจากแผนการเพราะการพบกันระหว่าง ไบรอัน แบล็คสโตนกับเวเบอร์ เฟียร์เลส เสมือนกับทั้งสองฝ่ายมีตัวแทนที่ได้กลิ่นของความจริง จึงร่วมมือกันจนถือกำเนิดผู้กล้าแสงตะวันขึ้นมา
หน้าที่หลักของผู้กล้าแสงตะวันนั้นคือช่วยคุ้มกันและเป็นกำลังให้นักรบจันทรา เสมือนดวงอาทิตย์ที่คอยส่งแสงไปยังพระจันทร์เพื่อทำลายความมืดยามรัตติกาลฉะนั้น
บัดนี้จอมอสูรได้รับการปลดปล่อยแล้ว ดาริอุส ดรากาน หรือนักรบจันทราได้รับดาบจันทรา และมีตัวแทนตระกูลพิเศษอีกสองคนคอยช่วยเหลือ นั่นคือ ไบรอัน และเวเบอร์ที่เข้ามายุ่มย่ามกับเส้นทางเวลาของดาวดวงนี้ เหลือเพียงต้องค้นหาทางเลือกที่แท้จริงว่าควรทำอย่างไรกับจอมปิศาจที่สิงสู่ร่างของจอมเทพเอซีร่าเท่านั้น...
“เกราะ ใช่แล้วข้าต้องการเกราะ” ดาริอุส ดรากานพูดในวันหนึ่งหลังจากเรื่องของจอมอสูรลงตัว “ปกติผู้กล้าต้องมีสิ่งวิเศษมาช่วยสิ ข้ามีดาบแล้ว ยังขาดโล่กับเกราะไป ต้องเป็นของวิเศษด้วยนะไม่อย่างนั้นจะผิดธรรมเนียมผู้กล้า”
อดีตผู้กล้าแสงตะวันกุมขมับ เขาดีใจที่ดาริอุสมีสำนึกในหน้าที่จัดการจอมปิศาจ แต่มันไม่ใช่เกมหรือการละเล่นที่ต้องมีอาวุธให้ครบชุด
ในห้องรับรองของเพียรซ์มีพวกเขาอยู่กันพร้อมหน้า ดาริอุส ลาควีล่า เวเบอร์ เนอร์วาน่า แล้วก็เขาเองซึ่งลดความสำคัญของตัวเองเป็นแค่ผู้ติดตามนักรบจันทรา
“เจ้าก็มีเกราะอ่อนของตัวเองแล้วนี่” เนอร์วาน่าหรือนางผู้หยั่งรู้พูดเสียงเย็น “นอกเรื่องอีกคำเดียวข้าจะจับไปปล่อยใต้ปราสาทแก้วผลึก”
นางทำให้ทุกคนพร้อมใจหุบปากแล้วพูดเรื่องการต่อกรกับจอมปิศาจต่อ
“ข้าสรุปความคิดของหมอนี่ให้ก็แล้วกัน” ไบรอันผิวปาก มองไปรอบห้องเวทมนตร์เก็บเสียงยังทำงานดีอยู่ “เราจะคัดแยกเอาเฉพาะความมืดที่สิงสู่องค์เอซีร่าออกมา แล้วยัดลงไปแกนกลางดวงดาวอีกครั้ง ซึ่งเนอร์วาน่าสามารถสร้างทางเข้าได้”
“จะดีหรือท่านมาเวอร์ริค จอมปิศาจส่งสาวกมาทำลายท่านถึงสามครั้ง แล้วยังทำให้ครอบครัวท่านพลัดพรากกันอีก มันทำร้ายท่านครั้งแล้วครั้งเล่ายังคิดให้อภัยอีกหรือ” เวเบอร์กอดอกอย่างเคร่งเครียดต่างกับดาริอุสที่ทำเป็นเล่นได้เสมอ
“อลิเซียเคยบอกข้าตอนเราเดินทางไปเมืองแก้วผลึกด้วยกัน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ข้าเห็นด้วยกันนาง...ดังนั้นสิ่งที่เราจะทำก็มีแค่ส่งจอมปิศาจกลับแกนกลางดาวเท่านั้น ฆ่าไปก็เสียเลือดเนื้อเปล่าๆ” ดาริอุสตอบ
“โดยทฤษฎีแล้วทำได้” เวเบอร์ผู้มองเห็นปัญหาทุกอย่างขัด “แต่จอมปิศาจสิงสู่ร่างเทพเอซีร่าอยู่ทำให้มีพลังมากมาย ไหนจะต้องทำให้กายเนื้อหยุดที่ตำแหน่งที่เหมาะ ไหนจะต้องมีแหล่งพลังเวทที่เหมาะสมอีก โอกาสที่เราจะทำได้แทบไม่มีเลย แล้วที่สำคัญคือ...” อยู่ๆเวเบอร์ก็หยุดราวนึกได้ว่าไม่ควรพูดสิ่งนั้นออกมา ไบรอันขมวดคิ้วหันไปถามลาควีล่าเผื่อจะรู้อะไรบ้าง
“เราจะต่อสู้กับจอมปิศาจในร่างของจอมเทพเอซีร่า เมื่ออีกฝ่ายอ่อนแอถึงที่สุดข้าจะดึงความมืดส่วนที่เป็นจอมปิศาจไปเก็บไว้ใจกลางดาวเหมือนเดิม แบบนี้ดีกว่า” เนอร์วาน่าคงเป็นผู้เดียวที่รู้ว่าสิ่งใดทำให้เวเบอร์ลำบากใจ
“เราจะสู้กับจอมเทพได้อย่างไร เราเป็นมนุษย์ธรรมดานะ ต่อให้มีของวิเศษช่วยก็เท่านั้น ไม่มีทางต่อกรกับคู่มือระดับเทพเจ้าได้หรอก” ไบรอันส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“เหลือแค่ทางนี้ทางเดียวแล้ว ไม่อย่างนั้นจอมปิศาจจะก่อเรื่องร้ายแรงมากๆ ข้าขอเน้นคำว่ามากอีกสิบครั้ง!” เวเบอร์พูดด้วยสีหน้าเครียดจัด
“เบื้องหลังของดินแดนข้าเคลื่อนไหวแล้ว จอมปิศาจต้องถูกกำจัด” เวเบอร์ประสานมือไว้ข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น “เชื่อข้าสิ เมื่อเราไปถึงจะสู้กับซากร่างเทพที่จอมปิศาจสิงสู่อยู่เท่านั้น ไม่ต้องสู้กับจอมเทพหรือพลังระดับเทพ”
“ท่านรู้อะไรมาหรือเวเบอร์ บอกข้าบ้างสิ” ลาควีล่าเอ่ยปากหวังให้อีกฝ่ายพูดสิ่งที่เก็บไว้ในใจออกมา
เวเบอร์นิ่งงัน กำลังชั่งน้ำหนักว่าสิ่งใดควรพูดสิ่งใดควรเก็บไว้
“ทางดินแดนของข้า สี่เสาค้ำจุนจะเป็นผู้ดูดและคืนพลังของจอมเทพเอซีร่าเอง สิ่งที่เราต้องสู้ด้วยคือเปลือกกลวงๆของเทพเอซีร่ากับเนื้อในที่เป็นจอมปิศาจ ข้าบอกได้แค่นี้ อย่าถามข้า” เวเบอร์โบกมือเมื่อดาริอุสจะเอ่ยปาก
“ดังนั้นพวกเจ้าทั้งสี่จะต้องสู้กับจอมปิศาจให้อ่อนแอที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนข้าจะคอยเปิดประตูส่งมันกลับไปกลางเรมิสต์เอง” เนอร์วาน่าสรุปโดยไม่มีข้อโต้แย้ง “ข้าช่วยไม่ได้เพราะต้องเป็นกลางกับทุกฝ่าย”
“เจ้าคงจัดการการเดินทางของพวกเราแล้วใช่ไหมไบรอัน ยิ่งคนเข้ามายุ่งมากเรื่องก็ยิ่งยุ่งยากตามไปอีก” เวเบอร์โบกมือถาม
“เราแอบไปก่อนวันที่บอกเขาจริง เมื่อทางจักรวรรดิรู้ตัวงานก็เสร็จแล้ว ไม่เราก็จอมปิศาจ เนอร์วาน่าจะช่วยใช้มนตร์เคลื่อนย้ายไปขั้วเรมิสต์วิหารของจอมเทพเอซีร่าเอง” ไบรอันพยักหน้าว่าทุกอย่างลงตัว
ความจริงแล้วเรื่องของจอมปิศาจทางจักรวรรดิทั้งสองก็ต้องการร่วมมือกันกำจัดเพื่อเอาหน้า เป็นโชคของพวกเขาที่ทั้งไบรอันและเวเบอร์รายงานโดยปิดบังใจความสำคัญเอาไว้...
ที่ขั้วของดวงดาวแทนที่จะเป็นน้ำแข็งกลับเป็นทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม รอบด้านราบเรียบเห็นวิหารขนาดใหญ่ที่สถิตของจอมเทพเอซีร่าอยู่บนพื้นหลังสีฟ้า เวลานี้อยู่ในฤดูหนาวขั้วด้านเหนือของดวงดาวจึงเป็นเวลากลางคืนตลอดเวลา หากสามารถเห็นสิ่งต่างๆได้ด้วยแสงจากเวทมนตร์ที่ปกคลุมที่นั่นอยู่ ทำให้อากาศอบอุ่นผิดกับส่วนอื่นของขั้วเรมิสต์
เมื่อแสงจากมนตร์เคลื่อนย้ายดับลง พวกเขาก็เห็นซากศพของปิศาจตายเกลื่อนกราดราวกับมีการฆ่าล้างบางครั้งใหญ่
“พี่สองคนของข้าบอกว่าจะจัดการกับส่วนที่เป็นจอมเทพเอซีร่าให้ก่อน คงเป็นพวกเขากระมัง” เวเบอร์พูดเรียบๆ
ที่สุดสายตามีสิ่งหนึ่งรอพวกเขาอยู่ ต้องเดินต่อไปอีกสักพักจึงเห็นว่าเป็นหอคอยน้ำแข็งขนาดใหญ่ มีร่างจอมเทพเอซีร่าถูกแช่แข็งอยู่บนส่วนยอด
“กว่าจะมาถึงกันได้นะพวกเจ้า พวกเรารอจนรากเกือบงอก” พี่ชายของเวเบอร์ยืนข้างๆภรรยาตนเองที่คลุมผ้าสีสดอยู่บนไหล่
ดาริอุสขนลุกชันเมื่อสังเกตได้ว่าไม่มีรอยเลือดสีแดงหรือศพของมนุษย์เลย แสดงว่าผู้ถูกฆ่ามีแต่เหล่าปิศาจล้วนๆ พี่ชายพี่สาวของเวเบอร์คงเก่งเกินมนุษย์เลยกระมังจึงบุกเข้ามาด้วยกำลังคนเพียงสองคนเท่านั้น
“ตอนนี้จอมเทพเอซีร่าอยู่ในมิติแห่งการหลับใหล ผ้าคลุมเหล็กกล้าก็ยึดมาแล้ว พวกเจ้าเข้าไปทำงานต่อกันได้เลย” พี่สาวของเวเบอร์ขยับปีกน้อยๆให้เห็นผ้าคลุมที่คลุมไหล่นางอยู่
“พวกท่านจัดการทั้งหมดนั่น แค่สองคน” ดาริอุสชี้นิ้วโป้งไปด้านหลังร่ำๆจะเป็นลม ในเมื่อพี่ทั้งสองของเวเบอร์เก่งขนาดนี้แล้วทำไมไม่กำจัดจอมปิศาจเสียเองให้สิ้นเรื่องล่ะ
“ปัญหาของคนบนดาวดวงนี้ก็ต้องให้คนบนดาวดวงนี้แก้สิเจ้าหนุ่ม” พี่ชายของเวเบอร์พูดราวกับเข้าใจคำถามของดาริอุส “พวกเราอุดรอยรั่วที่แกนดาวให้แล้ว เหลือแค่จอมปิศาจตัวเดียวโดดๆตรงนั้น พวกเจ้าต้องจัดการกันเอง...แล้วเจอกันเมื่อถึงเวลา”
แล้วทั้งคู่ก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปบนท้องฟ้าโดยไม่อาจระบุทิศได้แม่นยำ
(มีต่อ)