วันนี้ เพิ่งมีโอกาสได้อ่านบทความของคุณ วินทร์ เลียววาริณ เขียนบรรยายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “รัชกาลที่ 9”
รู้สึกประทับใจและได้รับข้อคิดดีๆ จากบทความชิ้นนี้ จึงต้องการเผยแพร่ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ และขอขอบคุณ
คุณวินทร์ เลียววาริณ ที่ได้เขียนบทความดีๆ ให้เราได้อ่านครับ
"วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสู่พระราชสมบัติโดยไม่คาดฝัน
ยามนั้นทรงคิดจะเป็นกษัตริย์ชั่วคราว เพราะขึ้นครองราชย์เมื่อเพียงสิบแปดชันษา ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ
ยังทรงเรียนไม่จบ และไม่เคยทรงเตรียมพระองค์สำหรับตำแหน่งนี้
หลังจากนั้นราวสองเดือน ก็ทรงกลับไปศึกษาต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างทางที่ประทับรถพระที่นั่งไปที่สนามบิน
ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนว่า “อย่าละทิ้งประชาชน”
และประโยคนั้นก็เปลี่ยนชีวิตของพระองค์และของแผ่นดินไทยไปตลอดกาล พระองค์เสด็จกลับยังแผ่นดินเกิด
เลือกหนทางที่ขรุขระยากเข็ญ
ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์ ตีพิมพ์ในวารสาร วงวรรณคดี ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2490
หนึ่งปีหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงเขียนไว้ว่า “ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า ‘อย่าละทิ้งประชาชน’
อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว”
ยี่สิบปีต่อมา ทรงพบราษฎรผู้ร้องประโยคนั้น ชายผู้นั้นเล่าว่าประโยคนั้นโพล่งออกจากหัวใจ เนื่องจากเห็นพระพักตร์เศร้าหมอง
ของพระองค์ตรัสว่านั่นคือเหตุผลที่เสด็จกลับมา เพราะทรงตระหนักถึงหน้าที่ใหม่ของพระองค์
เมื่อกลับไปศึกษาต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม ทรงเปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์เป็นสาขาสังคมศาสตร์
นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ เพื่อให้เหมาะกับบทบาทใหม่ของพระองค์
เมื่อสำเร็จการศึกษา เสด็จนิวัตกลับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2493 เข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 5 พฤษภาคม ในวันนั้นคนไทย
ทั้งแผ่นดินได้ยินปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ภายหลังครองราชย์ไม่นาน พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระสหายซึ่งร่วมศึกษาในยุโรปว่า “เมื่อข้าพเจ้าเป็นนักเรียนอยู่ในยุโรป
ข้าพเจ้าไม่เคยตระหนักว่าประเทศของข้าพเจ้าคืออะไร และเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าแค่ไหนไม่ทราบตราบจนกระทั่งข้าพเจ้าได้เรียนรู้
ที่จะรักประชาชนของข้าพเจ้า เมื่อได้ติดต่อกับเขาเหล่านั้น ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสำนึกในความรักอันมีค่ายิ่ง
ข้าพเจ้าไม่เป็นโรคคิดถึงบ้านที่จริงจังอะไรนัก แต่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้โดยการทำงานที่นี่ว่า ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้
คือการที่ได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นคือคนไทยทั้งปวง...”
ตลอดกาลเจ็ดสิบปีหลังจากนั้น ทรงย่ำพระบาทไปทั่วแผ่นดินทุกตารางนิ้ว ทุกชนบท ทุกถิ่นทุรกันดาร ดูแลทุกข์สุขของราษฎร
ทรงริเริ่มโครงการต่างๆ โครงการแล้วโครงการเล่า นับไม่ถ้วน เช่น โครงการแก้มลิง โครงการฝนหลวง กังหันชัยพัฒนา ฯลฯ
จนไม่น่าเชื่อว่าเหล่านี้คืองานของบุคคลคนเดียว มากมายจนล้นพระหัตถ์ แต่ไม่เคยทรงหยุดทรงงาน
ตลอดพระชนม์ชีพ ทรงพัฒนาคุณภาพชีวิตราษฎร การศึกษา สาธารณสุข ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทรงสอนคนที่ทำงาน
ในโครงการต่างๆ ว่า โครงการที่ดีต้องสวย มีประโยชน์กับประชาชน และยั่งยืน วิธีสอนของพระองค์ก็คือทรงทำให้ดู
ทรงผ่านห้วงยามทุกข์ยากของสงครามโลก สงครามเย็น สงครามกลางเมือง ผ่านหัวเลี้ยวหัวต่อและนานาวิกฤติการณ์
ผ่านหลายสิบรัฐบาล ผ่านห้วงยามที่ลูกๆ ทะเลาะกัน
เงาของพระองค์ทอดผ่านทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกคราที่แผ่นดินประสบเหตุร้าย โดยเฉพาะความแตกแยกทางการเมือง
เรามองหาพระองค์
ทรงเป็นประทีปของความรู้ ความหวัง ความสามัคคี ความรัก ความเมตตา ปรัชญาการใช้ชีวิต ทรงเป็นชีพจร
ทรงเป็นหัวใจของคนไทยทั้งมวล"
………………
วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสู่สวรรคาลัย
เรารู้ว่าจะมีวันนี้ เรารู้ว่าจะมาถึงวันนี้ คราวนี้ผู้ไม่เคยละทิ้งประชาชนจำเป็นต้องละทิ้งประชาชนตามสัจธรรมของธรรมชาติ
เรารู้ว่าจะมีวันนี้ เรารู้ว่าจะมาถึงวันนี้ แต่เราทำใจไม่ได้
ใครเล่าจะทำใจได้?
ทว่ามองในอีกมุมหนึ่ง ทรงเหนื่อยมากพอแล้ว ทรงสมควรพักผ่อนมานานแล้ว เราต่างหากที่ควรรับภาระงานหนักอึ้ง
ของพระองค์มาในมือของเรา เราควรใช้โอกาสนี้สานต่อพระปณิธานของพ่อ
เรา ‘คนไทยทั้งปวง’ ควรเปลี่ยนหยดน้ำตาเป็นหยดน้ำใจต่อเพื่อนร่วมแผ่นดินเดียวกัน เปลี่ยนเสียงร้องไห้เป็นเสียงร้องเรียก
ให้ทุกคนทำเพื่อคนอื่นบ้าง เปลี่ยนความเศร้าเป็นพลังพัฒนาแผ่นดินของเราไปสู่สิ่งที่พระองค์วาดฝันไว้ เปลี่ยนความเสียใจเป็นความรัก ความสามัคคี
หากเราทำหน้าที่แต่ละคนให้สมกับเป็นคนไทย เป็นคนไทยด้วยหัวใจ รักแผ่นดินของพ่อเหมือนที่พ่อรักแผ่นดินนี้
เราก็ได้ตอบแทนพระองค์อย่างแท้จริง และเมื่อนั้นเราจึงสามารถเรียกตัวเองว่าเป็น ‘คนไทย’
………………
วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ค
https://www.facebook.com/winlyovarin/
ประทับใจ บทความคุณ วินทร์ เลียววาริณ เขียนเกี่ยวกับ "พ่อหลวง รัชกาลที่ 9"
รู้สึกประทับใจและได้รับข้อคิดดีๆ จากบทความชิ้นนี้ จึงต้องการเผยแพร่ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ และขอขอบคุณ
คุณวินทร์ เลียววาริณ ที่ได้เขียนบทความดีๆ ให้เราได้อ่านครับ
"วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสู่พระราชสมบัติโดยไม่คาดฝัน
ยามนั้นทรงคิดจะเป็นกษัตริย์ชั่วคราว เพราะขึ้นครองราชย์เมื่อเพียงสิบแปดชันษา ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ
ยังทรงเรียนไม่จบ และไม่เคยทรงเตรียมพระองค์สำหรับตำแหน่งนี้
หลังจากนั้นราวสองเดือน ก็ทรงกลับไปศึกษาต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างทางที่ประทับรถพระที่นั่งไปที่สนามบิน
ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนว่า “อย่าละทิ้งประชาชน”
และประโยคนั้นก็เปลี่ยนชีวิตของพระองค์และของแผ่นดินไทยไปตลอดกาล พระองค์เสด็จกลับยังแผ่นดินเกิด
เลือกหนทางที่ขรุขระยากเข็ญ
ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์ ตีพิมพ์ในวารสาร วงวรรณคดี ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2490
หนึ่งปีหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงเขียนไว้ว่า “ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า ‘อย่าละทิ้งประชาชน’
อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว”
ยี่สิบปีต่อมา ทรงพบราษฎรผู้ร้องประโยคนั้น ชายผู้นั้นเล่าว่าประโยคนั้นโพล่งออกจากหัวใจ เนื่องจากเห็นพระพักตร์เศร้าหมอง
ของพระองค์ตรัสว่านั่นคือเหตุผลที่เสด็จกลับมา เพราะทรงตระหนักถึงหน้าที่ใหม่ของพระองค์
เมื่อกลับไปศึกษาต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม ทรงเปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์เป็นสาขาสังคมศาสตร์
นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ เพื่อให้เหมาะกับบทบาทใหม่ของพระองค์
เมื่อสำเร็จการศึกษา เสด็จนิวัตกลับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2493 เข้าพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่ 5 พฤษภาคม ในวันนั้นคนไทย
ทั้งแผ่นดินได้ยินปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”
ภายหลังครองราชย์ไม่นาน พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระสหายซึ่งร่วมศึกษาในยุโรปว่า “เมื่อข้าพเจ้าเป็นนักเรียนอยู่ในยุโรป
ข้าพเจ้าไม่เคยตระหนักว่าประเทศของข้าพเจ้าคืออะไร และเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าแค่ไหนไม่ทราบตราบจนกระทั่งข้าพเจ้าได้เรียนรู้
ที่จะรักประชาชนของข้าพเจ้า เมื่อได้ติดต่อกับเขาเหล่านั้น ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสำนึกในความรักอันมีค่ายิ่ง
ข้าพเจ้าไม่เป็นโรคคิดถึงบ้านที่จริงจังอะไรนัก แต่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้โดยการทำงานที่นี่ว่า ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้
คือการที่ได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นคือคนไทยทั้งปวง...”
ตลอดกาลเจ็ดสิบปีหลังจากนั้น ทรงย่ำพระบาทไปทั่วแผ่นดินทุกตารางนิ้ว ทุกชนบท ทุกถิ่นทุรกันดาร ดูแลทุกข์สุขของราษฎร
ทรงริเริ่มโครงการต่างๆ โครงการแล้วโครงการเล่า นับไม่ถ้วน เช่น โครงการแก้มลิง โครงการฝนหลวง กังหันชัยพัฒนา ฯลฯ
จนไม่น่าเชื่อว่าเหล่านี้คืองานของบุคคลคนเดียว มากมายจนล้นพระหัตถ์ แต่ไม่เคยทรงหยุดทรงงาน
ตลอดพระชนม์ชีพ ทรงพัฒนาคุณภาพชีวิตราษฎร การศึกษา สาธารณสุข ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทรงสอนคนที่ทำงาน
ในโครงการต่างๆ ว่า โครงการที่ดีต้องสวย มีประโยชน์กับประชาชน และยั่งยืน วิธีสอนของพระองค์ก็คือทรงทำให้ดู
ทรงผ่านห้วงยามทุกข์ยากของสงครามโลก สงครามเย็น สงครามกลางเมือง ผ่านหัวเลี้ยวหัวต่อและนานาวิกฤติการณ์
ผ่านหลายสิบรัฐบาล ผ่านห้วงยามที่ลูกๆ ทะเลาะกัน
เงาของพระองค์ทอดผ่านทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกคราที่แผ่นดินประสบเหตุร้าย โดยเฉพาะความแตกแยกทางการเมือง
เรามองหาพระองค์
ทรงเป็นประทีปของความรู้ ความหวัง ความสามัคคี ความรัก ความเมตตา ปรัชญาการใช้ชีวิต ทรงเป็นชีพจร
ทรงเป็นหัวใจของคนไทยทั้งมวล"
………………
วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสู่สวรรคาลัย
เรารู้ว่าจะมีวันนี้ เรารู้ว่าจะมาถึงวันนี้ คราวนี้ผู้ไม่เคยละทิ้งประชาชนจำเป็นต้องละทิ้งประชาชนตามสัจธรรมของธรรมชาติ
เรารู้ว่าจะมีวันนี้ เรารู้ว่าจะมาถึงวันนี้ แต่เราทำใจไม่ได้
ใครเล่าจะทำใจได้?
ทว่ามองในอีกมุมหนึ่ง ทรงเหนื่อยมากพอแล้ว ทรงสมควรพักผ่อนมานานแล้ว เราต่างหากที่ควรรับภาระงานหนักอึ้ง
ของพระองค์มาในมือของเรา เราควรใช้โอกาสนี้สานต่อพระปณิธานของพ่อ
เรา ‘คนไทยทั้งปวง’ ควรเปลี่ยนหยดน้ำตาเป็นหยดน้ำใจต่อเพื่อนร่วมแผ่นดินเดียวกัน เปลี่ยนเสียงร้องไห้เป็นเสียงร้องเรียก
ให้ทุกคนทำเพื่อคนอื่นบ้าง เปลี่ยนความเศร้าเป็นพลังพัฒนาแผ่นดินของเราไปสู่สิ่งที่พระองค์วาดฝันไว้ เปลี่ยนความเสียใจเป็นความรัก ความสามัคคี
หากเราทำหน้าที่แต่ละคนให้สมกับเป็นคนไทย เป็นคนไทยด้วยหัวใจ รักแผ่นดินของพ่อเหมือนที่พ่อรักแผ่นดินนี้
เราก็ได้ตอบแทนพระองค์อย่างแท้จริง และเมื่อนั้นเราจึงสามารถเรียกตัวเองว่าเป็น ‘คนไทย’
………………
วินทร์ เลียววาริณ
เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/winlyovarin/