ที่มา:
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1475959612
ไม่บ่อยครั้งนักที่ "ธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ขึ้นเวทีเปิดวิสัยทัศน์ต่อสาธารณชน ล่าสุดได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาเวที "Nikkei Asia 300 Global Business Forum" เมื่อ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ในหัวข้อ "พันธมิตรระดับโลกในยุคโลกานิยม" กล่าวว่า ยุคปัจจุบันการมีพันธมิตรที่ดีและมีความเข้าใจในการทำธุรกิจทิศทางเดียวกัน ถือเป็นสิ่งสำคัญ แม้หลายคนจะเริ่มกังวลว่า สังคมผู้สูงอายุเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้น ขณะที่หลายธุรกิจที่ผมสัมผัสจะกังวลเรื่อง "ขาดแคลนแรงงาน" ซึ่งแตกต่างจากความคิดของผมมาก เพราะตัวเองเชื่อว่า "ตราบใดที่ยังมีมนุษย์ โอกาสก็ยังมีอยู่เสมอ" แต่โอกาสอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่านั้นเอง
สำหรับ สหรัฐอเมริกา มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งมีความได้เปรียบทั้งเรื่องนวัตกรรม เทคโนโลยี และกฎหมายที่คล่องตัว ต้องยอมรับว่าการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยมา ประยุกต์ใช้กับธุรกิจ จะช่วยหนุนให้เกิดรายได้อย่างสูงสุด
ขณะที่ "ญี่ปุ่น" มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลก เป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนทั่วโลกมากที่สุดประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันก็ยังเห็นอยู่เรื่อย ๆ และญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถสร้าง "หุ่นยนต์" ได้จำนวนมาก ๆ เพราะมีทั้งเงินทุนและความสามารถ ความเชี่ยวชาญ นี่จึงเป็นคำตอบที่หลายฝ่ายกลัวเรื่อง "ขาดแคลนแรงงานคน"
"อนาคต ข้างหน้าผมเชื่อว่า ประเทศที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดจะสามารถอยู่รอดได้ และเชื่อว่าอนาคตจะเห็นแรงงานหุ่นยนต์ทำงานแทนแรงงานคนอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้ประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ก็สามารถดำเนินธุรกิจได้เพราะเพียงกดปุ่มสั่งงาน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือ การคิดค้นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสามารถประยุกต์ใช้เป็น"
และขณะเดียวกันในอนาคตมนุษย์จะทำงานน้อยลง เหลือแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ และหยุด 4 วัน เพื่อไปท่องเที่ยว ทำให้มนุษย์จะมีความสุขมากขึ้น ไม่เหมือนกับโลกปัจจุบันที่คนทำงานมากขึ้น จนไม่รู้ตัวว่าอาจทำงานเกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน การมีเทคโนโลยีที่ไร้พรมแดนช่วยให้เราสามารถจัดการและบริหารธุรกิจได้ง่าย ขึ้น เพียงกดปุ่มสั่ง แต่ก่อนที่จะถึงขั้นนั้นได้ เราต้องรับมือและเข้าใจเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างถ่องแท้เสียก่อน
"ธนินท์" ระบุถึงแนวทางการทำธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นว่า โอกาสที่ญี่ปุ่นจะก้าวสู่ประเทศมหาอำนาจการเงินโลกได้ไม่ยาก เพราะทุกปัจจัยและองค์ประกอบที่สำคัญมีครบหมดแล้ว แต่สไตล์การทำธุรกิจแบบ "ไม่กล้า" กลัวล้มละลายและเจ็บหนักเกินไป ทำให้ญี่ปุ่นมีการป้องกันและเซฟตัวเองจากความเสี่ยง ทำให้ธุรกิจเกิดการเดินหน้าช้าลงไปหนึ่งก้าว
ความน่าสนใจของญี่ปุ่น ทั้งความเชี่ยวชาญ ความสามารถ และศักยภาพของเทคโนโลยี ทำให้เป็น "แรงดึงดูด" มากกว่า "แรงผลัก" อย่างเรื่องที่คาดการณ์ว่าอนาคตจะมีหุ่นยนต์ทำงานในภาคการผลิตแทน ประโยชน์ที่จะได้รับมีมากกว่าเสีย ผมไม่ต้องถูกตำหนิว่าใช้แรงงานเด็ก ไม่ถูกต่อว่าเรื่องให้แรงงานทำงานเกิน 12 ชั่วโมง หรือสวัสดิการไม่ดีพอ
"แรงงานหุ่นยนต์" สามารถตอบโจทย์ปัญหาทุกด้าน
ดังนั้นความกลัวที่จะขาดแรงงาน หรือประเมินว่าอนาคตประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 90 ล้านคน แล้วจะเกิดปัญหาการขาดอาหารไม่เพียงพอต่อการเพิ่มขึ้นของประชากร แต่ผมมองว่า สิ่งที่น่ากังวลมากกว่า คือ อาหารจะล้นเกินความต้องการเสียด้วยซ้ำ เพราะเมื่อมีแรงงานหุ่นยนต์ เราจะสามารถทำงานและผลิตอาหารได้ 24 ชั่วโมง ยิ่งโลกในยุคดิจิทัลเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดธุรกิจบริการและธุรกิจ อีคอมเมิร์ซมากขึ้น ใคร ๆ ก็สามารถเปิดเว็บไซต์เพื่อทำอีคอมเมิร์ซได้ สินค้ากระจายอยู่ทั่วโลก ระบบการขนส่งเอื้อต่อการทำธุรกิจเช่นนี้มากขึ้น
นอกจากนี้ "เจ้าสัวธนินท์" กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ของซีพียังเชื่อเสมอว่าการที่เข้าไปทำธุรกิจกับประเทศตลาดเกิด ใหม่ ไม่มีกำลังซื้อ ไม่มีบุคลากรคุณภาพ เพราะยังเป็นเหมือน "กระดาษขาว" ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่สุด โดยการทำธุรกิจเน้นช่วยสร้างนักธุรกิจในประเทศนั้น ๆ แบบที่จะโตไปพร้อม ๆ กัน ไม่ไปแย่งงานเกษตรกร แต่เราจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนสิ่งที่ประเทศนั้น ๆ ขาด เช่น ช่วยด้านเทคโนโลยีการเพาะพันธุ์สัตว์ นวัตกรรมแปรรูปอาหาร การบริหารอย่างมีศักยภาพ รวมถึงกลยุทธ์ด้านการตลาดในโลกที่แข่งขันสูงขึ้น
ประธานคณะผู้บริหารซีพี กล่าวถึงการร่วมมือกับ "อิโตชู" บริษัทการค้าชั้นนำญี่ปุ่นว่า เป้าหมายเพื่อต่อยอดธุรกิจและเรียนรู้เทคโนโลยีของญี่ปุ่น โดยมีแผนจะผลิตอาหารสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินชีวิต และมีสุขภาพที่แข็งแรง เช่นเดียวกับที่ได้เข้าไปลงทุนใน "ผิงอัน" บริษัทประกันจีนก็เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูล ไม่ใช่ทางการเงิน เพราะสถาบันการเงินมีอยู่มากมาย แต่ "ข้อมูล" คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนักธุรกิจ
พร้อมย้ำว่า คีย์สำคัญของซีพี คือ "คน" ให้ความสำคัญกับคนมากกว่าเม็ดเงิน
หากคุณมีบุคลากรที่ดีมีคุณภาพ ธุรกิจจะสามารถต่อยอดได้เร็วมาก
"สำหรับผมลูกค้าคืออันดับหนึ่ง พนักงานมาเป็นอันดับสอง และอันดับสามจึงจะเป็นผู้ถือหุ้น ซีพีมีโครงการอบรมบ่มเพาะบุคลากรเสมอ และคัดเอาหัวกะทิเพื่อนำมาสู่การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ หากคุณยังสร้างคนให้มีคุณภาพไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งขยายธุรกิจ"
และสิ่งสำคัญอีกประการต้องเข้าใจและยอมรับเทรนด์ของโลกด้วย คือ การทำธุรกิจด้วยใจคุณธรรม เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งซีพีในฐานะผู้ผลิตอาหารอันดับต้น ๆ ของโลก ก็กำลังดำเนินในแนวทางนี้
วิสัยทัศน์เจ้าสัว "ธนินท์" ชูญี่ปุ่นต้นแบบ ลูกค้าอันดับหนึ่ง พนักงานอันดับสอง อันดับสามผู้ถือหุ้น
ไม่บ่อยครั้งนักที่ "ธนินท์ เจียรวนนท์" ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ขึ้นเวทีเปิดวิสัยทัศน์ต่อสาธารณชน ล่าสุดได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาเวที "Nikkei Asia 300 Global Business Forum" เมื่อ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ในหัวข้อ "พันธมิตรระดับโลกในยุคโลกานิยม" กล่าวว่า ยุคปัจจุบันการมีพันธมิตรที่ดีและมีความเข้าใจในการทำธุรกิจทิศทางเดียวกัน ถือเป็นสิ่งสำคัญ แม้หลายคนจะเริ่มกังวลว่า สังคมผู้สูงอายุเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้น ขณะที่หลายธุรกิจที่ผมสัมผัสจะกังวลเรื่อง "ขาดแคลนแรงงาน" ซึ่งแตกต่างจากความคิดของผมมาก เพราะตัวเองเชื่อว่า "ตราบใดที่ยังมีมนุษย์ โอกาสก็ยังมีอยู่เสมอ" แต่โอกาสอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่านั้นเอง
สำหรับ สหรัฐอเมริกา มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งมีความได้เปรียบทั้งเรื่องนวัตกรรม เทคโนโลยี และกฎหมายที่คล่องตัว ต้องยอมรับว่าการที่ประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยมา ประยุกต์ใช้กับธุรกิจ จะช่วยหนุนให้เกิดรายได้อย่างสูงสุด
ขณะที่ "ญี่ปุ่น" มหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลก เป็นประเทศที่เข้าไปลงทุนทั่วโลกมากที่สุดประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันก็ยังเห็นอยู่เรื่อย ๆ และญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถสร้าง "หุ่นยนต์" ได้จำนวนมาก ๆ เพราะมีทั้งเงินทุนและความสามารถ ความเชี่ยวชาญ นี่จึงเป็นคำตอบที่หลายฝ่ายกลัวเรื่อง "ขาดแคลนแรงงานคน"
"อนาคต ข้างหน้าผมเชื่อว่า ประเทศที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดจะสามารถอยู่รอดได้ และเชื่อว่าอนาคตจะเห็นแรงงานหุ่นยนต์ทำงานแทนแรงงานคนอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้ประเทศที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ก็สามารถดำเนินธุรกิจได้เพราะเพียงกดปุ่มสั่งงาน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือ การคิดค้นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย และสามารถประยุกต์ใช้เป็น"
และขณะเดียวกันในอนาคตมนุษย์จะทำงานน้อยลง เหลือแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ และหยุด 4 วัน เพื่อไปท่องเที่ยว ทำให้มนุษย์จะมีความสุขมากขึ้น ไม่เหมือนกับโลกปัจจุบันที่คนทำงานมากขึ้น จนไม่รู้ตัวว่าอาจทำงานเกิน 12 ชั่วโมงต่อวัน การมีเทคโนโลยีที่ไร้พรมแดนช่วยให้เราสามารถจัดการและบริหารธุรกิจได้ง่าย ขึ้น เพียงกดปุ่มสั่ง แต่ก่อนที่จะถึงขั้นนั้นได้ เราต้องรับมือและเข้าใจเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างถ่องแท้เสียก่อน
"ธนินท์" ระบุถึงแนวทางการทำธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นว่า โอกาสที่ญี่ปุ่นจะก้าวสู่ประเทศมหาอำนาจการเงินโลกได้ไม่ยาก เพราะทุกปัจจัยและองค์ประกอบที่สำคัญมีครบหมดแล้ว แต่สไตล์การทำธุรกิจแบบ "ไม่กล้า" กลัวล้มละลายและเจ็บหนักเกินไป ทำให้ญี่ปุ่นมีการป้องกันและเซฟตัวเองจากความเสี่ยง ทำให้ธุรกิจเกิดการเดินหน้าช้าลงไปหนึ่งก้าว
ความน่าสนใจของญี่ปุ่น ทั้งความเชี่ยวชาญ ความสามารถ และศักยภาพของเทคโนโลยี ทำให้เป็น "แรงดึงดูด" มากกว่า "แรงผลัก" อย่างเรื่องที่คาดการณ์ว่าอนาคตจะมีหุ่นยนต์ทำงานในภาคการผลิตแทน ประโยชน์ที่จะได้รับมีมากกว่าเสีย ผมไม่ต้องถูกตำหนิว่าใช้แรงงานเด็ก ไม่ถูกต่อว่าเรื่องให้แรงงานทำงานเกิน 12 ชั่วโมง หรือสวัสดิการไม่ดีพอ
"แรงงานหุ่นยนต์" สามารถตอบโจทย์ปัญหาทุกด้าน
ดังนั้นความกลัวที่จะขาดแรงงาน หรือประเมินว่าอนาคตประชากรโลกจะเพิ่มขึ้นอีก 90 ล้านคน แล้วจะเกิดปัญหาการขาดอาหารไม่เพียงพอต่อการเพิ่มขึ้นของประชากร แต่ผมมองว่า สิ่งที่น่ากังวลมากกว่า คือ อาหารจะล้นเกินความต้องการเสียด้วยซ้ำ เพราะเมื่อมีแรงงานหุ่นยนต์ เราจะสามารถทำงานและผลิตอาหารได้ 24 ชั่วโมง ยิ่งโลกในยุคดิจิทัลเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดธุรกิจบริการและธุรกิจ อีคอมเมิร์ซมากขึ้น ใคร ๆ ก็สามารถเปิดเว็บไซต์เพื่อทำอีคอมเมิร์ซได้ สินค้ากระจายอยู่ทั่วโลก ระบบการขนส่งเอื้อต่อการทำธุรกิจเช่นนี้มากขึ้น
นอกจากนี้ "เจ้าสัวธนินท์" กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ของซีพียังเชื่อเสมอว่าการที่เข้าไปทำธุรกิจกับประเทศตลาดเกิด ใหม่ ไม่มีกำลังซื้อ ไม่มีบุคลากรคุณภาพ เพราะยังเป็นเหมือน "กระดาษขาว" ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่สุด โดยการทำธุรกิจเน้นช่วยสร้างนักธุรกิจในประเทศนั้น ๆ แบบที่จะโตไปพร้อม ๆ กัน ไม่ไปแย่งงานเกษตรกร แต่เราจะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนสิ่งที่ประเทศนั้น ๆ ขาด เช่น ช่วยด้านเทคโนโลยีการเพาะพันธุ์สัตว์ นวัตกรรมแปรรูปอาหาร การบริหารอย่างมีศักยภาพ รวมถึงกลยุทธ์ด้านการตลาดในโลกที่แข่งขันสูงขึ้น
ประธานคณะผู้บริหารซีพี กล่าวถึงการร่วมมือกับ "อิโตชู" บริษัทการค้าชั้นนำญี่ปุ่นว่า เป้าหมายเพื่อต่อยอดธุรกิจและเรียนรู้เทคโนโลยีของญี่ปุ่น โดยมีแผนจะผลิตอาหารสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินชีวิต และมีสุขภาพที่แข็งแรง เช่นเดียวกับที่ได้เข้าไปลงทุนใน "ผิงอัน" บริษัทประกันจีนก็เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูล ไม่ใช่ทางการเงิน เพราะสถาบันการเงินมีอยู่มากมาย แต่ "ข้อมูล" คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนักธุรกิจ
พร้อมย้ำว่า คีย์สำคัญของซีพี คือ "คน" ให้ความสำคัญกับคนมากกว่าเม็ดเงิน
หากคุณมีบุคลากรที่ดีมีคุณภาพ ธุรกิจจะสามารถต่อยอดได้เร็วมาก
"สำหรับผมลูกค้าคืออันดับหนึ่ง พนักงานมาเป็นอันดับสอง และอันดับสามจึงจะเป็นผู้ถือหุ้น ซีพีมีโครงการอบรมบ่มเพาะบุคลากรเสมอ และคัดเอาหัวกะทิเพื่อนำมาสู่การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ หากคุณยังสร้างคนให้มีคุณภาพไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งขยายธุรกิจ"
และสิ่งสำคัญอีกประการต้องเข้าใจและยอมรับเทรนด์ของโลกด้วย คือ การทำธุรกิจด้วยใจคุณธรรม เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งซีพีในฐานะผู้ผลิตอาหารอันดับต้น ๆ ของโลก ก็กำลังดำเนินในแนวทางนี้