มิถุนายน 2012 บรรยากาศในห้องประชุมคณะกรรมการบริษัทอันเก่าแก่ของญี่ปุ่น เต็มไปด้วยความเงียบงันและความตึงเครียด
บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของประธานคนใหม่ เต็มไปด้วยกองเอกสารที่วางระเกะระกะ เอกสารเหล่านี้ไม่ใช่รายงานความสำเร็จ หรือกราฟยอดขายที่พุ่งทะยานอย่างที่ใครหลายคนคาดหวังจากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก
แต่สิ่งที่ Kazuhiro Tsuga (คาซูฮิโระ สึกะ) ประธานคนใหม่ของ Panasonic กำลังจ้องมองอยู่นั้น คือตัวเลขผลประกอบการของ 88 แผนกธุรกิจ ที่ส่วนใหญ่ถูกฉาบไปด้วยสีแดงเถือก
สีแดงที่หมายถึง “การขาดทุน”
ยิ่งเขาพลิกหน้ากระดาษมากเท่าไหร่ ความกังวลก็ยิ่งกัดกินหัวใจมากขึ้นเท่านั้น เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า นี่มันแย่มาก
บริษัทกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤตขั้นรุนแรง และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน ยักษ์ใหญ่ที่มีอายุเกือบร้อยปีแห่งนี้ อาจจะต้องล้มละลายหายไปจากแผนที่โลกธุรกิจ
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าตัวเลขการขาดทุน คือ “ศัตรูที่มองไม่เห็น”
Panasonic เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีความภาคภูมิใจในเกียรติภูมิ และยึดติดกับวิถีปฏิบัติเดิมๆ อย่างฝังรากลึก
ความสำเร็จในอดีต ได้กลายเป็นกรงขังที่ทำให้พวกเขามองไม่เห็นความจริงที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
คู่ต่อสู้ที่ยากที่สุดสำหรับ Tsuga ในเวลานั้น จึงไม่ใช่คู่แข่งทางการค้าอย่าง Samsung หรือ LG แต่กลับเป็น ตัวบริษัทเอง…
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1990 ญี่ปุ่นคือราชาแห่งโลกอิเล็กทรอนิกส์
บริษัทอย่าง Sony, Sharp และ Panasonic คือสัญลักษณ์ของความพรีเมียมและความล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นทีวี เครื่องเล่นเพลง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน แบรนด์เหล่านี้คือเจ้าตลาดที่ผู้บริโภคทั่วโลกต่างถวิลหา
ความสำเร็จอันหอมหวานนี้ ทำให้บริษัทร่ำรวยมหาศาล และขยายกิจการออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ในโลกธุรกิจ ความใหญ่โตไม่ได้หมายถึงความแข็งแกร่งเสมอไป บางครั้งมันกลับหมายถึงความอุ้ยอ้ายและการเคลื่อนตัวที่เชื่องช้า
Panasonic ในยุคนั้น มีแผนกธุรกิจมากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะแผนกที่ใหญ่ที่สุดอย่าง AVC หรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ภาพและเสียง ที่ทำรายได้กว่า 40% ของบริษัท
ในขณะที่กำไรจากธุรกิจทีวีกำลังเติบโต แผนกธุรกิจอื่นๆ อีกมากมายกลับไม่สามารถทำกำไรได้เลย
เป็นเรื่องปกติที่บริษัทขนาดใหญ่จะใช้ธุรกิจที่เป็น “Cash Cow” ที่ทำเงินได้ดี มาช่วยอุ้มชูธุรกิจอื่นๆ ที่กำลังปลุกปั้น
แต่ปัญหาของ Panasonic คือ แผนกที่ขาดทุนเหล่านั้น ไม่ได้เพิ่งเริ่มขาดทุน แต่พวกเขาสูญเสียเงินต่อเนื่องมาหลายปี โดยที่ผู้บริหารในอดีตไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
เพราะในตอนนั้น ภาพรวมของบริษัทยังดูดี รายได้รวมยังมหาศาล
หารู้ไม่ว่า ระเบิดเวลากำลังทำงาน และจุดชนวนสำคัญอยู่ที่ “ห่านทองคำ” ของพวกเขา นั่นคือธุรกิจทีวี
เรื่องนี้ต้องย้อนไปถึงวิสัยทัศน์ของ Kunio Nakamura อดีตประธานผู้ยิ่งใหญ่ ที่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า อนาคตของโทรทัศน์โลก จะต้องเป็นเทคโนโลยีที่เรียกว่า Plasma
ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนถ่ายจากทีวีจอแก้ว มาสู่ทีวีจอแบน มีสองเทคโนโลยีที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด คือ Plasma และ LCD
Panasonic ทุ่มสุดตัวให้กับ Plasma เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของภาพที่ดีกว่า สีดำที่ดำสนิท และการแสดงผลที่แม่นยำ เหมาะสำหรับการดูภาพยนตร์
วิศวกรและผู้บริหารของ Panasonic มั่นใจมากว่า ของดี ย่อมขายได้
แต่ความจริงที่โหดร้ายคือ คุณภาพที่ดีที่สุด ไม่ได้ชนะเสมอไปในสงครามธุรกิจ
ในขณะที่ Panasonic มัวแต่โฟกัสที่คุณภาพของภาพ คู่แข่งอย่าง Samsung กลับเลือกเดินเกมด้วยเทคโนโลยี LCD ที่ผลิตได้ง่ายกว่า ต้นทุนถูกกว่า และตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ดีกว่า
ผลลัพธ์คือ ยอดขายทีวี LCD พุ่งทะยานแซงหน้า Plasma ไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
แต่ Panasonic ก็ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขายังคงเดินหน้าเปิดตัวทีวี Plasma ขนาดยักษ์ และเชื่อว่าวันหนึ่งผู้บริโภคจะหันกลับมาเห็นคุณค่าของมัน
ความดื้อรั้นนี้ นำมาสู่ความเสียหายครั้งใหญ่
เมื่อรวมเข้ากับวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ที่ทำให้ฟองสบู่แตก รายได้ของ Panasonic หายวับไปนับหมื่นล้านดอลลาร์
ซ้ำร้าย ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นจากการที่นักลงทุนมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ยิ่งทำให้สินค้าส่งออกของญี่ปุ่นมีราคาแพงขึ้นในตลาดโลก
ทีวี Panasonic ที่เคยขายดี กลายเป็นสินค้าราคาแพงเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากเกาหลี
มันคือพายุลูกใหญ่ที่โหมกระหน่ำเข้ามาพร้อมกันทุกทิศทาง จนทำให้บริษัทต้องตัดลดพนักงานกว่า 15,000 คน เพื่อประคองตัวให้อยู่รอด
แต่นั่นยังไม่ใช่จุดจบของปัญหา
ในขณะที่ Panasonic กำลังสาละวนอยู่กับการแก้ปัญหาเรื่องทีวี โลกเทคโนโลยีภายนอกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ
นั่นคือการมาถึงของ “สมาร์ทโฟน”
พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผู้คนเริ่มหันหลังให้กับทีวีและเครื่องเล่นความบันเทิงในบ้าน แล้วหันไปจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตแทน
บริษัทญี่ปุ่นที่เคยครองโลก กลับตกขบวนรถไฟสายนี้อย่างจัง
พวกเขาปรับตัวไม่ทัน ไม่สามารถแข่งขันกับ Apple หรือ Samsung ได้ในตลาดมือถือ และยังคงพยายามยัดเยียดขายสินค้าเดิมๆ ที่โลกไม่ต้องการอีกต่อไป
Roger Cheng จาก CNET เคยวิเคราะห์ไว้ว่า บริษัทญี่ปุ่นอย่าง Panasonic และ Sharp นั้นปิดกั้นตัวเองมากเกินไป พวกเขามัวแต่สนใจตลาดในประเทศ จนลืมมองไปว่าโลกข้างนอกเขาไปถึงไหนกันแล้ว
เมื่อ Apple เข้ามาเคาะประตูบ้านพร้อมกับ iPhone ยักษ์ใหญ่เหล่านี้จึงพบว่าตัวเองไม่มีอาวุธใดๆ ที่จะไปสู้รบปรบมือได้เลย
รายได้ของ Panasonic เริ่มดิ่งลงเหว และกลับมาขาดทุนมหาศาลอีกครั้งในปี 2012
และนั่นคือกองเพลิงที่ Kazuhiro Tsuga ต้องกระโดดลงไปดับ ทันทีที่เขารับตำแหน่ง
Tsuga ไม่เหมือนกับผู้บริหารญี่ปุ่นทั่วไป เขาไม่ได้เติบโตมาจากการประนีประนอม แต่เขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
เขาเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบสถานะที่แท้จริงของบริษัทอย่างละเอียด โดยใช้เวลาถึง 90 วัน ในการขุดคุ้ยข้อมูลร่วมกับ Tetsuro Homma เพื่อนสนิทที่เขาไว้วางใจ
สิ่งที่พบคือ หนึ่งในสามของแผนกธุรกิจทั้งหมดกำลังขาดทุน
และที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือธุรกิจทีวีและอิเล็กทรอนิกส์ที่เคยเป็นความภาคภูมิใจ กำลังพังทลายลงอย่างไม่มีทางฟื้น
Tsuga ตระหนักดีว่า ถ้าจะรอด เขาต้องทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ นั่นคือการยอมรับว่า Panasonic พ่ายแพ้แล้วในสมรภูมิเครื่องใช้ไฟฟ้า
เขาต้องรื้อบริษัทใหม่ตั้งแต่รากฐาน
แต่การจะเปลี่ยนทิศทางเรือลำยักษ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อลูกเรือส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับความสำเร็จในอดีต
พนักงานในสายการผลิตทีวี เกลียดทีวี LCD เข้าไส้ พวกเขาเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า Plasma คือเทคโนโลยีที่ดีที่สุด และมองว่าการเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นคือการทรยศต่อจิตวิญญาณของบริษัท
วัฒนธรรมองค์กรของ Panasonic ในขณะนั้น เต็มไปด้วยความเงียบงัน
ในที่ประชุมบอร์ดบริหาร ไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็น ทุกคนทำตามคำสั่งเบื้องบน แม้จะรู้ว่าเรือกำลังจะจม ก็ยังคงพายไปในทิศทางเดิม
Tsuga รู้ดีว่าเขาต้องทำลายวัฒนธรรมแห่งความกลัวนี้ทิ้งไป
เขาเริ่มเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของทุกแผนกให้พนักงานทุกคนได้รับรู้ เพื่อสร้าง ความรู้สึกถึงวิกฤต ให้เกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กร
เขาต้องการให้ทุกคนเห็นความจริงว่า บริษัทไม่ได้แข็งแรงอย่างที่คิด และถ้าไม่เปลี่ยน ทุกคนจะต้องตกงาน
และแล้วในเดือนมีนาคม 2013 Tsuga ก็ได้ทำการประกาศที่สั่นสะเทือนวงการ
เขายอมรับกับนักลงทุนอย่างตรงไปตรงมาว่า บริษัทมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรง และจำเป็นต้องมีการผ่าตัดครั้งใหญ่
เขาตัดสินใจขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจดูแลสุขภาพ หรือธุรกิจบริการด้านไอที
เขาควบรวมแผนกต่างๆ เข้าด้วยกัน จาก 88 แผนก เหลือเพียง 37 แผนก เพื่อลดความซ้ำซ้อนและความล่าช้า
และสิ่งที่โหดร้ายที่สุด แต่จำเป็นที่สุด คือการลดขนาดสำนักงานใหญ่
จากเดิมที่มีพนักงานนั่งทำงานเอกสารอยู่กว่า 7,000 คน Tsuga สั่งย้ายคนเหล่านั้นออกไปอยู่ตามหน้างานจริง จนเหลือคนทำงานที่สำนักงานใหญ่เพียงแค่ 130 คน
เป้าหมายของเขาคือ ทำให้ทุกอย่าง เรียบง่าย ขึ้น
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์และความไม่พอใจ Tsuga ถูกมองว่าเป็นปีศาจที่เข้ามาทำลายบริษัทที่ทุกคนรัก
แต่เขาเลือกที่จะแบกรับความเกลียดชังนั้นไว้ เพราะเขารู้ดีว่า นี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้ Panasonic มีลมหายใจต่อไปได้
สัญลักษณ์แห่งการตัดใจครั้งสำคัญที่สุด คือการประกาศยุติการผลิตทีวี Plasma ในปี 2014
มันคือการยอมแพ้ในศึก เพื่อที่จะไปชนะในสงคราม
คำถามสำคัญต่อมาคือ เมื่อเลิกขายทีวีและเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว Panasonic จะไปทำมาหากินอะไร
การลดต้นทุนอาจทำให้ตัวเลขขาดทุนลดลง แต่บริษัทจะอยู่รอดได้ในระยะยาว จำเป็นต้องมีรายได้เข้ามา
Tsuga มองเห็นว่า ตลาดสินค้าผู้บริโภค หรือ B2C นั้นมีการแข่งขันที่รุนแรงเกินไป และกำไรบางเฉียบ เขาจึงตัดสินใจเบนเข็มทิศมุ่งหน้าสู่ตลาด B2B หรือการขายสินค้าให้กับภาคธุรกิจแทน
และพันธมิตรคนสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนชะตาชีวิตของ Panasonic ก็คือบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า Tesla
ในปี 2014 Tesla ยังเป็นเพียงค่ายรถยนต์น้องใหม่ที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ Panasonic กลับมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่
พวกเขามองเห็นอนาคตของ “รถยนต์ไฟฟ้า”
Panasonic ตัดสินใจเซ็นสัญญาและทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเพื่อร่วมสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่กับ Tesla ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นความเสี่ยงสูงมาก
หลายคนมองว่านี่คือการกระทำที่บ้าบิ่น แต่ Tsuga เชื่อมั่นว่า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน จะกลายเป็นน้ำมันของโลกยุคใหม่
ผลจากการเดิมพันครั้งนั้น ทำให้ Panasonic กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก
จากบริษัทที่เคยขายทีวีและตู้เย็น วันนี้ Panasonic คือผู้อยู่เบื้องหลังขุมพลังของรถยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งอยู่บนท้องถนน
แต่บทเรียนจากการพึ่งพาธุรกิจเดียวมากเกินไปในอดีต ทำให้ Tsuga ไม่หยุดอยู่แค่นั้น
เขาขยายความร่วมมือไปยังค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้น
Panasonic ในวันนี้ ได้กลายร่างจากยักษ์ใหญ่ที่เชื่องช้า มาเป็นบริษัทที่คล่องตัวและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
แม้รายได้รวมอาจจะไม่หวือหวาเท่ากับยุคทองในอดีต แต่กำไรและสถานะทางการเงินของบริษัทกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
Tsuga พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การยอมรับความจริงที่เจ็บปวด ดีกว่าการหลอกตัวเองด้วยความฝันที่สวยหรู
เขาได้เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรจากที่เคยปิดกั้น ให้กลายเป็นองค์กรที่โปร่งใสและกล้าแสดงความคิดเห็น
พนักงานเริ่มเข้าใจว่า ความมั่นคงไม่ได้เกิดจากการยึดติดกับสิ่งที่เคยทำมา แต่เกิดจากการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนไป
เรื่องราวของ Panasonic ภายใต้การนำของ Tsuga คือกรณีศึกษาที่คลาสสิกของโลกธุรกิจ
มันสอนให้เรารู้ว่า ไม่มีแบรนด์ใดที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะล้มเหลว และไม่มีวิกฤตใดที่หนักหนาเกินกว่าจะแก้ไข
หากผู้นำมีความกล้าหาญพอที่จะทุบทำลายสิ่งเก่า เพื่อเปิดทางให้กับสิ่งใหม่
การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์เสมอ เพราะลึกๆ แล้วเราทุกคนต่างกลัวที่จะต้องสูญเสียสิ่งที่คุ้นเคย
แต่ในโลกธุรกิจ สิ่งเดียวที่แน่นอนและหยุดยั้งไม่ได้ ก็คือ การเปลี่ยนแปลง
วันนี้ Panasonic อาจไม่ใช่ราชาแห่งเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่เราคุ้นเคยอีกต่อไป
แต่พวกเขากำลังสร้างตำนานบทใหม่ ในฐานะผู้นำแห่งเทคโนโลยีพลังงานและโซลูชันสำหรับอนาคต
และนี่อาจเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่า และยั่งยืนกว่าที่พวกเขาเคยมีมาในอดีตเสียอีก…
CR
https://www.facebook.com/share/1ADh2hj5X2/?mibextid=wwXIfr
การกลับมาเกิดใหม่ของเจ้าพ่อเครื่องใช้ไฟฟ้า Panasonic สู่ราชาแบตเตอรี่ EV Tesla
บนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของประธานคนใหม่ เต็มไปด้วยกองเอกสารที่วางระเกะระกะ เอกสารเหล่านี้ไม่ใช่รายงานความสำเร็จ หรือกราฟยอดขายที่พุ่งทะยานอย่างที่ใครหลายคนคาดหวังจากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก
แต่สิ่งที่ Kazuhiro Tsuga (คาซูฮิโระ สึกะ) ประธานคนใหม่ของ Panasonic กำลังจ้องมองอยู่นั้น คือตัวเลขผลประกอบการของ 88 แผนกธุรกิจ ที่ส่วนใหญ่ถูกฉาบไปด้วยสีแดงเถือก
สีแดงที่หมายถึง “การขาดทุน”
ยิ่งเขาพลิกหน้ากระดาษมากเท่าไหร่ ความกังวลก็ยิ่งกัดกินหัวใจมากขึ้นเท่านั้น เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ ว่า นี่มันแย่มาก
บริษัทกำลังอยู่ในสภาวะวิกฤตขั้นรุนแรง และหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน ยักษ์ใหญ่ที่มีอายุเกือบร้อยปีแห่งนี้ อาจจะต้องล้มละลายหายไปจากแผนที่โลกธุรกิจ
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าตัวเลขการขาดทุน คือ “ศัตรูที่มองไม่เห็น”
Panasonic เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีความภาคภูมิใจในเกียรติภูมิ และยึดติดกับวิถีปฏิบัติเดิมๆ อย่างฝังรากลึก
ความสำเร็จในอดีต ได้กลายเป็นกรงขังที่ทำให้พวกเขามองไม่เห็นความจริงที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
คู่ต่อสู้ที่ยากที่สุดสำหรับ Tsuga ในเวลานั้น จึงไม่ใช่คู่แข่งทางการค้าอย่าง Samsung หรือ LG แต่กลับเป็น ตัวบริษัทเอง…
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1990 ญี่ปุ่นคือราชาแห่งโลกอิเล็กทรอนิกส์
บริษัทอย่าง Sony, Sharp และ Panasonic คือสัญลักษณ์ของความพรีเมียมและความล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นทีวี เครื่องเล่นเพลง หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน แบรนด์เหล่านี้คือเจ้าตลาดที่ผู้บริโภคทั่วโลกต่างถวิลหา
ความสำเร็จอันหอมหวานนี้ ทำให้บริษัทร่ำรวยมหาศาล และขยายกิจการออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ในโลกธุรกิจ ความใหญ่โตไม่ได้หมายถึงความแข็งแกร่งเสมอไป บางครั้งมันกลับหมายถึงความอุ้ยอ้ายและการเคลื่อนตัวที่เชื่องช้า
Panasonic ในยุคนั้น มีแผนกธุรกิจมากเกินความจำเป็น โดยเฉพาะแผนกที่ใหญ่ที่สุดอย่าง AVC หรือกลุ่มผลิตภัณฑ์ภาพและเสียง ที่ทำรายได้กว่า 40% ของบริษัท
ในขณะที่กำไรจากธุรกิจทีวีกำลังเติบโต แผนกธุรกิจอื่นๆ อีกมากมายกลับไม่สามารถทำกำไรได้เลย
เป็นเรื่องปกติที่บริษัทขนาดใหญ่จะใช้ธุรกิจที่เป็น “Cash Cow” ที่ทำเงินได้ดี มาช่วยอุ้มชูธุรกิจอื่นๆ ที่กำลังปลุกปั้น
แต่ปัญหาของ Panasonic คือ แผนกที่ขาดทุนเหล่านั้น ไม่ได้เพิ่งเริ่มขาดทุน แต่พวกเขาสูญเสียเงินต่อเนื่องมาหลายปี โดยที่ผู้บริหารในอดีตไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
เพราะในตอนนั้น ภาพรวมของบริษัทยังดูดี รายได้รวมยังมหาศาล
หารู้ไม่ว่า ระเบิดเวลากำลังทำงาน และจุดชนวนสำคัญอยู่ที่ “ห่านทองคำ” ของพวกเขา นั่นคือธุรกิจทีวี
เรื่องนี้ต้องย้อนไปถึงวิสัยทัศน์ของ Kunio Nakamura อดีตประธานผู้ยิ่งใหญ่ ที่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า อนาคตของโทรทัศน์โลก จะต้องเป็นเทคโนโลยีที่เรียกว่า Plasma
ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนถ่ายจากทีวีจอแก้ว มาสู่ทีวีจอแบน มีสองเทคโนโลยีที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด คือ Plasma และ LCD
Panasonic ทุ่มสุดตัวให้กับ Plasma เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของภาพที่ดีกว่า สีดำที่ดำสนิท และการแสดงผลที่แม่นยำ เหมาะสำหรับการดูภาพยนตร์
วิศวกรและผู้บริหารของ Panasonic มั่นใจมากว่า ของดี ย่อมขายได้
แต่ความจริงที่โหดร้ายคือ คุณภาพที่ดีที่สุด ไม่ได้ชนะเสมอไปในสงครามธุรกิจ
ในขณะที่ Panasonic มัวแต่โฟกัสที่คุณภาพของภาพ คู่แข่งอย่าง Samsung กลับเลือกเดินเกมด้วยเทคโนโลยี LCD ที่ผลิตได้ง่ายกว่า ต้นทุนถูกกว่า และตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ดีกว่า
ผลลัพธ์คือ ยอดขายทีวี LCD พุ่งทะยานแซงหน้า Plasma ไปอย่างไม่เห็นฝุ่น
แต่ Panasonic ก็ยังไม่ยอมแพ้ พวกเขายังคงเดินหน้าเปิดตัวทีวี Plasma ขนาดยักษ์ และเชื่อว่าวันหนึ่งผู้บริโภคจะหันกลับมาเห็นคุณค่าของมัน
ความดื้อรั้นนี้ นำมาสู่ความเสียหายครั้งใหญ่
เมื่อรวมเข้ากับวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ที่ทำให้ฟองสบู่แตก รายได้ของ Panasonic หายวับไปนับหมื่นล้านดอลลาร์
ซ้ำร้าย ค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นจากการที่นักลงทุนมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ยิ่งทำให้สินค้าส่งออกของญี่ปุ่นมีราคาแพงขึ้นในตลาดโลก
ทีวี Panasonic ที่เคยขายดี กลายเป็นสินค้าราคาแพงเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากเกาหลี
มันคือพายุลูกใหญ่ที่โหมกระหน่ำเข้ามาพร้อมกันทุกทิศทาง จนทำให้บริษัทต้องตัดลดพนักงานกว่า 15,000 คน เพื่อประคองตัวให้อยู่รอด
แต่นั่นยังไม่ใช่จุดจบของปัญหา
ในขณะที่ Panasonic กำลังสาละวนอยู่กับการแก้ปัญหาเรื่องทีวี โลกเทคโนโลยีภายนอกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบศตวรรษ
นั่นคือการมาถึงของ “สมาร์ทโฟน”
พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผู้คนเริ่มหันหลังให้กับทีวีและเครื่องเล่นความบันเทิงในบ้าน แล้วหันไปจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตแทน
บริษัทญี่ปุ่นที่เคยครองโลก กลับตกขบวนรถไฟสายนี้อย่างจัง
พวกเขาปรับตัวไม่ทัน ไม่สามารถแข่งขันกับ Apple หรือ Samsung ได้ในตลาดมือถือ และยังคงพยายามยัดเยียดขายสินค้าเดิมๆ ที่โลกไม่ต้องการอีกต่อไป
Roger Cheng จาก CNET เคยวิเคราะห์ไว้ว่า บริษัทญี่ปุ่นอย่าง Panasonic และ Sharp นั้นปิดกั้นตัวเองมากเกินไป พวกเขามัวแต่สนใจตลาดในประเทศ จนลืมมองไปว่าโลกข้างนอกเขาไปถึงไหนกันแล้ว
เมื่อ Apple เข้ามาเคาะประตูบ้านพร้อมกับ iPhone ยักษ์ใหญ่เหล่านี้จึงพบว่าตัวเองไม่มีอาวุธใดๆ ที่จะไปสู้รบปรบมือได้เลย
รายได้ของ Panasonic เริ่มดิ่งลงเหว และกลับมาขาดทุนมหาศาลอีกครั้งในปี 2012
และนั่นคือกองเพลิงที่ Kazuhiro Tsuga ต้องกระโดดลงไปดับ ทันทีที่เขารับตำแหน่ง
Tsuga ไม่เหมือนกับผู้บริหารญี่ปุ่นทั่วไป เขาไม่ได้เติบโตมาจากการประนีประนอม แต่เขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความจริง
เขาเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบสถานะที่แท้จริงของบริษัทอย่างละเอียด โดยใช้เวลาถึง 90 วัน ในการขุดคุ้ยข้อมูลร่วมกับ Tetsuro Homma เพื่อนสนิทที่เขาไว้วางใจ
สิ่งที่พบคือ หนึ่งในสามของแผนกธุรกิจทั้งหมดกำลังขาดทุน
และที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือธุรกิจทีวีและอิเล็กทรอนิกส์ที่เคยเป็นความภาคภูมิใจ กำลังพังทลายลงอย่างไม่มีทางฟื้น
Tsuga ตระหนักดีว่า ถ้าจะรอด เขาต้องทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ นั่นคือการยอมรับว่า Panasonic พ่ายแพ้แล้วในสมรภูมิเครื่องใช้ไฟฟ้า
เขาต้องรื้อบริษัทใหม่ตั้งแต่รากฐาน
แต่การจะเปลี่ยนทิศทางเรือลำยักษ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อลูกเรือส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับความสำเร็จในอดีต
พนักงานในสายการผลิตทีวี เกลียดทีวี LCD เข้าไส้ พวกเขาเชื่ออย่างสุดหัวใจว่า Plasma คือเทคโนโลยีที่ดีที่สุด และมองว่าการเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นคือการทรยศต่อจิตวิญญาณของบริษัท
วัฒนธรรมองค์กรของ Panasonic ในขณะนั้น เต็มไปด้วยความเงียบงัน
ในที่ประชุมบอร์ดบริหาร ไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็น ทุกคนทำตามคำสั่งเบื้องบน แม้จะรู้ว่าเรือกำลังจะจม ก็ยังคงพายไปในทิศทางเดิม
Tsuga รู้ดีว่าเขาต้องทำลายวัฒนธรรมแห่งความกลัวนี้ทิ้งไป
เขาเริ่มเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของทุกแผนกให้พนักงานทุกคนได้รับรู้ เพื่อสร้าง ความรู้สึกถึงวิกฤต ให้เกิดขึ้นทั่วทั้งองค์กร
เขาต้องการให้ทุกคนเห็นความจริงว่า บริษัทไม่ได้แข็งแรงอย่างที่คิด และถ้าไม่เปลี่ยน ทุกคนจะต้องตกงาน
และแล้วในเดือนมีนาคม 2013 Tsuga ก็ได้ทำการประกาศที่สั่นสะเทือนวงการ
เขายอมรับกับนักลงทุนอย่างตรงไปตรงมาว่า บริษัทมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุนแรง และจำเป็นต้องมีการผ่าตัดครั้งใหญ่
เขาตัดสินใจขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรทิ้งไป ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจดูแลสุขภาพ หรือธุรกิจบริการด้านไอที
เขาควบรวมแผนกต่างๆ เข้าด้วยกัน จาก 88 แผนก เหลือเพียง 37 แผนก เพื่อลดความซ้ำซ้อนและความล่าช้า
และสิ่งที่โหดร้ายที่สุด แต่จำเป็นที่สุด คือการลดขนาดสำนักงานใหญ่
จากเดิมที่มีพนักงานนั่งทำงานเอกสารอยู่กว่า 7,000 คน Tsuga สั่งย้ายคนเหล่านั้นออกไปอยู่ตามหน้างานจริง จนเหลือคนทำงานที่สำนักงานใหญ่เพียงแค่ 130 คน
เป้าหมายของเขาคือ ทำให้ทุกอย่าง เรียบง่าย ขึ้น
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์และความไม่พอใจ Tsuga ถูกมองว่าเป็นปีศาจที่เข้ามาทำลายบริษัทที่ทุกคนรัก
แต่เขาเลือกที่จะแบกรับความเกลียดชังนั้นไว้ เพราะเขารู้ดีว่า นี่คือหนทางเดียวที่จะทำให้ Panasonic มีลมหายใจต่อไปได้
สัญลักษณ์แห่งการตัดใจครั้งสำคัญที่สุด คือการประกาศยุติการผลิตทีวี Plasma ในปี 2014
มันคือการยอมแพ้ในศึก เพื่อที่จะไปชนะในสงคราม
คำถามสำคัญต่อมาคือ เมื่อเลิกขายทีวีและเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว Panasonic จะไปทำมาหากินอะไร
การลดต้นทุนอาจทำให้ตัวเลขขาดทุนลดลง แต่บริษัทจะอยู่รอดได้ในระยะยาว จำเป็นต้องมีรายได้เข้ามา
Tsuga มองเห็นว่า ตลาดสินค้าผู้บริโภค หรือ B2C นั้นมีการแข่งขันที่รุนแรงเกินไป และกำไรบางเฉียบ เขาจึงตัดสินใจเบนเข็มทิศมุ่งหน้าสู่ตลาด B2B หรือการขายสินค้าให้กับภาคธุรกิจแทน
และพันธมิตรคนสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนชะตาชีวิตของ Panasonic ก็คือบริษัทเล็กๆ ที่ชื่อว่า Tesla
ในปี 2014 Tesla ยังเป็นเพียงค่ายรถยนต์น้องใหม่ที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ Panasonic กลับมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่
พวกเขามองเห็นอนาคตของ “รถยนต์ไฟฟ้า”
Panasonic ตัดสินใจเซ็นสัญญาและทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเพื่อร่วมสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่กับ Tesla ทั้งๆ ที่ในตอนนั้นความเสี่ยงสูงมาก
หลายคนมองว่านี่คือการกระทำที่บ้าบิ่น แต่ Tsuga เชื่อมั่นว่า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน จะกลายเป็นน้ำมันของโลกยุคใหม่
ผลจากการเดิมพันครั้งนั้น ทำให้ Panasonic กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก
จากบริษัทที่เคยขายทีวีและตู้เย็น วันนี้ Panasonic คือผู้อยู่เบื้องหลังขุมพลังของรถยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งอยู่บนท้องถนน
แต่บทเรียนจากการพึ่งพาธุรกิจเดียวมากเกินไปในอดีต ทำให้ Tsuga ไม่หยุดอยู่แค่นั้น
เขาขยายความร่วมมือไปยังค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้น
Panasonic ในวันนี้ ได้กลายร่างจากยักษ์ใหญ่ที่เชื่องช้า มาเป็นบริษัทที่คล่องตัวและพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง
แม้รายได้รวมอาจจะไม่หวือหวาเท่ากับยุคทองในอดีต แต่กำไรและสถานะทางการเงินของบริษัทกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
Tsuga พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การยอมรับความจริงที่เจ็บปวด ดีกว่าการหลอกตัวเองด้วยความฝันที่สวยหรู
เขาได้เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรจากที่เคยปิดกั้น ให้กลายเป็นองค์กรที่โปร่งใสและกล้าแสดงความคิดเห็น
พนักงานเริ่มเข้าใจว่า ความมั่นคงไม่ได้เกิดจากการยึดติดกับสิ่งที่เคยทำมา แต่เกิดจากการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนไป
เรื่องราวของ Panasonic ภายใต้การนำของ Tsuga คือกรณีศึกษาที่คลาสสิกของโลกธุรกิจ
มันสอนให้เรารู้ว่า ไม่มีแบรนด์ใดที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะล้มเหลว และไม่มีวิกฤตใดที่หนักหนาเกินกว่าจะแก้ไข
หากผู้นำมีความกล้าหาญพอที่จะทุบทำลายสิ่งเก่า เพื่อเปิดทางให้กับสิ่งใหม่
การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับมนุษย์เสมอ เพราะลึกๆ แล้วเราทุกคนต่างกลัวที่จะต้องสูญเสียสิ่งที่คุ้นเคย
แต่ในโลกธุรกิจ สิ่งเดียวที่แน่นอนและหยุดยั้งไม่ได้ ก็คือ การเปลี่ยนแปลง
วันนี้ Panasonic อาจไม่ใช่ราชาแห่งเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่เราคุ้นเคยอีกต่อไป
แต่พวกเขากำลังสร้างตำนานบทใหม่ ในฐานะผู้นำแห่งเทคโนโลยีพลังงานและโซลูชันสำหรับอนาคต
และนี่อาจเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่กว่า และยั่งยืนกว่าที่พวกเขาเคยมีมาในอดีตเสียอีก…
CR https://www.facebook.com/share/1ADh2hj5X2/?mibextid=wwXIfr