ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนและมีความผันผวนสูงของเศรษฐกิจโลก แต่สำหรับเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ยังมองว่า จะยังคงเติบโตคงที่ในระดับปานกลางตลอดช่วง 3 ปีข้างหน้า
รายงานฉบับล่าสุดของเวิลด์แบงก์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกในปีนี้จะเติบโตที่ราว 5.8% และ 5.7% ในปี 2560-2561 ขณะที่จีนซึ่งดำเนินนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตช้าลงแต่ยั่งยืน ซึ่งคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจีนจะเติบโตที่ 6.7% และลดลง 6.5% ในปี 2560 และเหลือ 6.3% ในปี 2561
นาง
วิกตอเรีย กวากวา รองประธานเวิลด์แบงก์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกยังคงเป็นบวก แม้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์จากภายนอกจะยังคงอ่อนแอ
ผลจากการบริโภคและการลงทุนในประเทศมีความเข้มแข็ง ขณะที่ความท้าทายในระยะยาว คือ การสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและอย่างทั่วถึง รวมถึงการลดช่องว่างเรื่องรายได้และการเข้าถึงบริการของภาครัฐ และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทั่วทั้งภูมิภาค รวมทั้งใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงบริการด้านการเงิน
นอกจากนี้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจซบเซาในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้า นำมาซึ่งภาวะชะงักงันของการค้าโลก บ่งชี้ให้เห็นถึงปัจจัยเสี่ยงที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกต้องเผชิญ โดยเวิลด์แบงก์มองว่าการบริโภคภายในประเทศจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้
ขณะที่ นาย
ชูเดีย แชตตี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเวิลด์แบงก์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกกล่าวเสริมว่า อัตราการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง บวกกับการท่องเที่ยวระหว่างกันที่ยังมีโอกาสโตขึ้นต่อเนื่อง จะเป็นแรงผลักให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก สามารถเติบโตด้วยตัวเอง แม้เศรษฐกิจโลกที่พึ่งพา โดยเฉพาะจีนยังคงส่งสัญญาณชะลอตัว ซึ่งจากความไม่แน่นอนเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้กำหนดนโยบายของภาครัฐจะต้องดำเนินการลดความไม่สมดุลทางการเงินและการคลัง เพื่อความอยู่รอดของประเทศ
รายงานฉบับล่าสุดคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของ "
ฟิลิปปินส์" จะแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค โดยปีนี้จะเติบโต 6.4% สาเหตุสำคัญมาจากเสถียรภาพทางการเมือง และการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่มีความชัดเจนและต่อเนื่อง ประกอบกับกำลังซื้อของประชาชนที่สูงขึ้น เป็นอานิสงส์จากอุปสงค์ในประเทศที่เป็นเฟืองจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สำหรับ "
เวียดนาม" ซึ่งมีความโดดเด่นเช่นกัน แต่เนื่องจากปีนี้ต้องเผชิญกับภัยแล้งอย่างรุนแรง ทำให้การเติบโตลดลงอยู่ที่ 6.0% และคาดว่าจะกลับมาเติบโตที่ 6.3% ในปี 2560 ส่วน "
อินโดนีเซีย" คาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถขยับเพิ่มเป็น 5.5% ในปี 2561 หากอินโดนีเซียยังให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ส่วน "
มาเลเซีย" ในปีนี้คาดว่าจะลดลงจาก 5% ในปีก่อนเหลือ 4.2% เนื่องจากดีมานด์น้ำมันในตลาดโลกและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อาจฟื้นตัวดีขึ้นเล็กน้อยในปีหน้า หากข้อตกลงของกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมัน "
โอเปก" บรรลุผลในเชิงปฏิบัติ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดีดตัวสูงขึ้น
ขณะที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอย่างกัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว เวิลด์แบงก์ประเมินว่ายังมีแนวโน้มเติบโตอย่างสดใส เนื่องจากการปฏิรูปนโยบายและการให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในการลงทุน โดยเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจะช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทย เวิลด์แบงก์ปรับเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้เป็น 3.1% ดีขึ้นจากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ 2.5% ด้วยเหตุผลหลักมาจากไตรมาส 1 และ 2 ที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตค่อนข้างดีจากภาคการท่องเที่ยวและมาตรการการคลังที่เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
ด้าน นาย
เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า การลงทุนจากภาคเอกชนและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอุปสงค์ภายนอกลดลง บวกกับความไม่แน่นอนทางการเมือง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจจีนที่ขาดเสถียรภาพทางการเงิน นำมาซึ่งความเสี่ยงสูงที่บรรษัทที่มีหนี้จำนวนมากอาจผิดนัดชำระหนี้ และส่งผลกระทบกับไทยในเรื่องการค้าและช่องทางการไหลเวียนของเงินทุน เนื่องจากไทยส่งออกสินค้าไปจีนถึง 12% จากยอดการส่งออกทั้งหมด ขณะที่เงินลงทุนจากจีนเข้าไทยคิดเป็น 8% ของเงินทุนไหลเข้าจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
ประเด็นสำคัญที่ควรจับตามองที่สุด คือ สถานการณ์การเมืองของไทย เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายให้เกิดความไม่ต่อเนื่อง อาทิ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่อาจไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เพราะไม่เพียงแต่ทำให้ขาดแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการบริโภค การลงทุนของเอกชนในระยะต่อไป
JJNY : เศรษกิจดี๊ดี...เวิลด์แบงก์ชี้ "เศรษฐกิจฟิลิปปินส์" แกร่ง ส่งสัญญาณบวก "เอเชียตะวันออก"
รายงานฉบับล่าสุดของเวิลด์แบงก์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโดยรวมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกในปีนี้จะเติบโตที่ราว 5.8% และ 5.7% ในปี 2560-2561 ขณะที่จีนซึ่งดำเนินนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตช้าลงแต่ยั่งยืน ซึ่งคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจีนจะเติบโตที่ 6.7% และลดลง 6.5% ในปี 2560 และเหลือ 6.3% ในปี 2561
นางวิกตอเรีย กวากวา รองประธานเวิลด์แบงก์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกยังคงเป็นบวก แม้ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์จากภายนอกจะยังคงอ่อนแอ
ผลจากการบริโภคและการลงทุนในประเทศมีความเข้มแข็ง ขณะที่ความท้าทายในระยะยาว คือ การสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและอย่างทั่วถึง รวมถึงการลดช่องว่างเรื่องรายได้และการเข้าถึงบริการของภาครัฐ และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทั่วทั้งภูมิภาค รวมทั้งใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงบริการด้านการเงิน
นอกจากนี้การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจซบเซาในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้า นำมาซึ่งภาวะชะงักงันของการค้าโลก บ่งชี้ให้เห็นถึงปัจจัยเสี่ยงที่ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกต้องเผชิญ โดยเวิลด์แบงก์มองว่าการบริโภคภายในประเทศจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้
ขณะที่ นายชูเดีย แชตตี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของเวิลด์แบงก์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกกล่าวเสริมว่า อัตราการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่ง บวกกับการท่องเที่ยวระหว่างกันที่ยังมีโอกาสโตขึ้นต่อเนื่อง จะเป็นแรงผลักให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก สามารถเติบโตด้วยตัวเอง แม้เศรษฐกิจโลกที่พึ่งพา โดยเฉพาะจีนยังคงส่งสัญญาณชะลอตัว ซึ่งจากความไม่แน่นอนเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้กำหนดนโยบายของภาครัฐจะต้องดำเนินการลดความไม่สมดุลทางการเงินและการคลัง เพื่อความอยู่รอดของประเทศ
รายงานฉบับล่าสุดคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของ "ฟิลิปปินส์" จะแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาค โดยปีนี้จะเติบโต 6.4% สาเหตุสำคัญมาจากเสถียรภาพทางการเมือง และการกำหนดนโยบายของภาครัฐที่มีความชัดเจนและต่อเนื่อง ประกอบกับกำลังซื้อของประชาชนที่สูงขึ้น เป็นอานิสงส์จากอุปสงค์ในประเทศที่เป็นเฟืองจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สำหรับ "เวียดนาม" ซึ่งมีความโดดเด่นเช่นกัน แต่เนื่องจากปีนี้ต้องเผชิญกับภัยแล้งอย่างรุนแรง ทำให้การเติบโตลดลงอยู่ที่ 6.0% และคาดว่าจะกลับมาเติบโตที่ 6.3% ในปี 2560 ส่วน "อินโดนีเซีย" คาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถขยับเพิ่มเป็น 5.5% ในปี 2561 หากอินโดนีเซียยังให้ความสำคัญกับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ส่วน "มาเลเซีย" ในปีนี้คาดว่าจะลดลงจาก 5% ในปีก่อนเหลือ 4.2% เนื่องจากดีมานด์น้ำมันในตลาดโลกและการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อาจฟื้นตัวดีขึ้นเล็กน้อยในปีหน้า หากข้อตกลงของกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมัน "โอเปก" บรรลุผลในเชิงปฏิบัติ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดีดตัวสูงขึ้น
ขณะที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอย่างกัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว เวิลด์แบงก์ประเมินว่ายังมีแนวโน้มเติบโตอย่างสดใส เนื่องจากการปฏิรูปนโยบายและการให้ความสำคัญกับการปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในการลงทุน โดยเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจะช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศไทย เวิลด์แบงก์ปรับเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้เป็น 3.1% ดีขึ้นจากเดิมที่เคยประเมินไว้ที่ 2.5% ด้วยเหตุผลหลักมาจากไตรมาส 1 และ 2 ที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตค่อนข้างดีจากภาคการท่องเที่ยวและมาตรการการคลังที่เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
ด้าน นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า การลงทุนจากภาคเอกชนและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอุปสงค์ภายนอกลดลง บวกกับความไม่แน่นอนทางการเมือง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจจีนที่ขาดเสถียรภาพทางการเงิน นำมาซึ่งความเสี่ยงสูงที่บรรษัทที่มีหนี้จำนวนมากอาจผิดนัดชำระหนี้ และส่งผลกระทบกับไทยในเรื่องการค้าและช่องทางการไหลเวียนของเงินทุน เนื่องจากไทยส่งออกสินค้าไปจีนถึง 12% จากยอดการส่งออกทั้งหมด ขณะที่เงินลงทุนจากจีนเข้าไทยคิดเป็น 8% ของเงินทุนไหลเข้าจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
ประเด็นสำคัญที่ควรจับตามองที่สุด คือ สถานการณ์การเมืองของไทย เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายให้เกิดความไม่ต่อเนื่อง อาทิ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ที่อาจไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เพราะไม่เพียงแต่ทำให้ขาดแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการบริโภค การลงทุนของเอกชนในระยะต่อไป