อาชากระซิบ
ครับชื่อหนังไม่ใช่ตามที่จั่วหัวไว้นะครับ ชื่อหนังยาวมาก ผมจึงย่อมาให้ตรงกับชื่อฝรั่งตั้งประดับเท่านั้น เนื่องด้วยเมื่อวานได้ดู ตั้งแต่ต้นจนจบ ทางเคเบิลช่องหนึ่ง และเมื่อหนังจบแล้ว ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างจากหนัง ต่างกับปี 1998 ที่ไปดูในโรง ซึ่งตอนนั้นดูจบแล้วก็รู้สึกว่า หนังดี ภาพสวย แต่ไม่ได้ประทับใจในเนื้อหาสักเท่าไร อาจด้วย ตัวเรายังไม่รู้เรื่องราวของชีวิตมากนัก ก็เป็นหนังที่ หากจะดูอีกรอบ คิดหนักทีเดียวกับ run time ของหนังเกือบ 3 ชั่วโมงเรื่องนี้
สิ่งแรกที่ต้องขอบอกว่า Amazing ในใจมากหลังจากเมื่อวานคือ Robert Redford ในวัย 60 ปี แกดูดีกว่านักแสดงหลายๆคน ทั้งหน้าตา และหุ่นของแก คือ ก็ชราแล้วแต่ยังไม่เสียทรงว่างั้นก็ได้ ยังเป็นคาวบอยส์ รุ่นใหญ่ ที่โชกโชน แต่ก็ยังมีความเป็น ปุถุชน เต็มเปี่ยม รวมถึงมีความรักสนุกอยู่ในตัวพระเอกรุ่นใหญ่มากในเรื่องนี้
จากในภาพ คงเห็นเด็กน้อยที่เคียงข้างกับ Redford คือ Scarlett Johansson ที่ผมรู้จักเธอครั้งแรก จากหนังเรื่องนี้ในวัย 13 ปี งานนี้ แบล็ค วิโดวส์ คนปัจจุบันใจขบวนการ Avengers เล่นได้พอตัวเลยทีเดียว มารับบท ลูกสาวของครอบครัวมีฐานะ ที่เกิดอุบัติเหตุ ทำให้เพื่อนเธอต้องเสียชีวิต และม้าเธอต้องบาดเจ็บ รวมถึงตัวเธอต้องสูญเสียมากมาย
Scarlett เล่นได้ดื้อน่าเดินหนีจริงกับบทของเด็กที่ เจ็บปวด สับสน และ จะรวนๆใส่แม่ แบบ เถียงคำไม่ตกฟากกันเลยทีเดียว สีหน้า แววตา ออกมาครบ เรียกว่า ผู้กำกับ ปั้นได้ดีทีเดียว รวมถึงการเข้าฉากกับ Redford ก็เล่นได้พอเหมาะพอดี ในบทเวลาเด็กดื้อ เจอผู้ใหญ่เอาจริง ซึ่งในฉากหนึ่ง มีบทสนทนา ที่ Redford บอกให้ Scarlett ช่วยงานในคอกหลายอย่าง และด้วยความเคยตัว สาวน้อยถามว่า นี่คือคำถาม หรือ ขอร้อง แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่ตอบกลับมา ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง และเธอก็ยอมรับด้วยความเต็มใจ ( ส่วนนี้อยากให้ไปหาหนังมาดูเองน่ะครับ จะเห็นว่าคนเรา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตามลักษณะของคนที่เราเจอ )
และมาถึงตัวหลักของหนัง คือ คริสติน สก๊อต โธมัส ก็หากคุณไม่รู้จักเธอ อย่าคิดว่า นี่คือ สามนักแสดงในหนัง เพราะเป็นชื่อเต็มของนางเอกคนเดียวครับ
คริสติน ผมได้ดูเธอครั้งแรกจากหนัง Four wedding and the funeral หนังอังกฤษ ที่เพลงดังพา ฮิวจ์ แกรนท์ และ แอนดี้ แมคโดเวล โด่งดั่งในอาชีพไปล่วงหน้า ก่อนคริสติน จะได้เล่นหนังระดับชิงออสการ์อย่าง The English Patient ซึ่ง หนังได้รางวัลแต่ดาราไม่ได้อะไรเลยในปีนั้น ทั้งนำและสนับสนุน
แต่ในเรื่องนี้ คริสติน สวยงามตามวัย 36 ของเธอกับบทคุณแม่ Working Woman แห่ง นิวยอร์ สาวใหญ่ที่เดินทางทั่วโลก แต่ต้องมาอยากใช้ชีวิตที่สงบสุขที่ บ้านไร่ใน มอนตาน่า ( ถ้าคุณจำหนัง Cast away ของ Tom hank ตอนใกล้จบได้ ว่า 4 แยกที่ทอม แฮ้งค์ ไปหลงนั้น สุดลูกหูลูกตาหาบ้านไม่เจอสักหลัง นั่นละครับ ภาพเดียวกับ มอนตาน่า )
คริสติน เรื่องนี้เจิดจรัสมากสุดแล้วในงานแสดงของเธอทั้งหมด ( อันนี ้ความเห็นส่วนตัว ) รับบท บรรณาธิการ นิตยสารในนิวยอร์ค ที่ลูกต้องประสบอุบัติเหตุ สามีก็เริ่มจะไม่ค่อยจะลงรอยกัน ( รับบทโดย แซม นีล แห่ง จูราสิคปาร์ค ภาคแรก ) ฝั่งฝ่ายชายไม่ค่อยได้แสดงเท่าไหร่ แต่บทของคริสติน ต้องรับบท ผู้หญิงเก่ง ที่ถ้าพูดกันไม่เพราะก็ อะไรก็ตรู จนทำให้เธอต้องตัดสินใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การปฏิเสธจะฆ่าม้า ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ฆ่าม้าเสียเพื่อไม่ทรมาน และ ไม่เชื่อหมอที่แนะนำว่า ลูกสาวเธอ ต้องพักเยอะๆ ห้ามเดินทาง แต่เธอ ครับ เธอไม่ฟังใครเลย แต่ในหนังก็แสดงให้เห็นว่า คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ จะแน่นอนเสมอไป
หนังเริ่มจากลูกสาวเธอแลเพื่อนประสบอุบัติเหตุ เพื่อนลูกสาวตาย ม้าบาดเจ็บหนัก ลูกสาวก็ต้องเผชิญชะตากรรมที่น่าเจ็บปวก เธอจึงตัดสินใจ หาข้อมูลเกี่ยวกับคนรู้เรื่องม้าทั้งหมด ด้วยอาชีพสื่อของเธอ เธอพบคนที่ถูกเรียกว่า Horse Whisperer หรือ ผู้หยั่งรู้จิตใจม้า และได้พยายามติดต่อให้พระเอกของเรา Redford มาหาเธอ แต่กลับโดนปฏิเสธแบบสุภาพแล้ว และการเดินทางจาก นิวยอร์ค มา มอนตาน่า ก็เริ่มขึ้นบนความหวังที่ไม่รู้เหมือนกันว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร
ชื่อหนังผูกปมไปที่ พระเอก แต่เนื้อเรื่องกลับเป็นนางเอกที่เดินเรื่องทั้งหมด และหลักๆเลย คือ กับลูก และ ความรักของเธอที่มีกับ ผู้หยั่งรู้ใจม้า ในบรรยากาศไม่เร่งรีบ อากาศแบบรีสอร์ท ชีวิตชนบทที่งดงาม แต่การตัดสินใจเลือกรักใครทั้งที่มีครอบครัวแล้ว สำหรับสังคมอเมริกัน และหลายๆประเทศทั่วโลก ย่อมไม่ใช่สิ่งถูกต้องแน่นอน ยิ่งเมื่อคู่ของเธอยังอยู่ดี ไม่หย่า ไม่ลาจากกันไป รวมถึงลูกอีกหนึ่งคน ทำให้ บทบาท รักต้องห้าม ก็เกิดขึ้นคล้ายๆกับ Bridge of Madison County ที่ ปู่ คลิ้นท์ กับ ป้า เมอรีล สตรีพ เคยเล่นไว้ สองปีก่อนที่หนังเรื่องนี้จะออกฉาย
จุดจบของหนัง การเยียวยาม้า ซึ่งถูกดำเนินการโดยผู้หยั่งรู้ ไม่เพียงเยียวยาม้า แต่ยังเยียวยาจิตใจลูกสาว ไปพร้อมกัน และบทสรุปของรักต้องห้าม ท่ามกลางบรรยากาศขุนเขาเขียวขจี ไอหมอก และลำธาร จบลงแบบคนดูหลายคน แอบมโน หรือในชีวิตจริงอาจไม่จบอย่างในหนัง แต่ก็สรุปว่าเป็นหนังที่ดูได้ทั้งครอบครัวครับ แต่เด็กดูอาจหลับเพราะคงยังไม่เข้าใจว่า คำทักทาย มันไม่ใช่แค่คำทักทาย สายตาที่มองพร้อมกับคำพูด มันสื่อสารตรงข้ามกัน ก็คงจะต้องให้คนที่เคยพบเจอ เรื่องราวต่างๆ ได้แง่คิดกันไปแบบแตกต่างในบริบทที่เหมือนกัน
สุดท้าย ถ้าถามผมว่าหนังเป็นไง ผมก็ตอบว่า หนังดีมีแง่คิดติดมา แต่ถ้าจะดูแค่ผ่านไป จบแบบ หนังที่มีวิวสวย มีความรู้เรื่องม้าผสม ดาราน่าดู ก็เพียงพอแล้วครับ หากใครไม่เคยดู หรือ อยากหาหนังบรรยากาศเรื่อยๆ แต่ดูไม่น่าเบื่อก็แนะนำ The Horse Whisperer ครับ
ขอบคุณภาพจาก Google
[CR] หนังเก่า The Horse Whisperer
ครับชื่อหนังไม่ใช่ตามที่จั่วหัวไว้นะครับ ชื่อหนังยาวมาก ผมจึงย่อมาให้ตรงกับชื่อฝรั่งตั้งประดับเท่านั้น เนื่องด้วยเมื่อวานได้ดู ตั้งแต่ต้นจนจบ ทางเคเบิลช่องหนึ่ง และเมื่อหนังจบแล้ว ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างจากหนัง ต่างกับปี 1998 ที่ไปดูในโรง ซึ่งตอนนั้นดูจบแล้วก็รู้สึกว่า หนังดี ภาพสวย แต่ไม่ได้ประทับใจในเนื้อหาสักเท่าไร อาจด้วย ตัวเรายังไม่รู้เรื่องราวของชีวิตมากนัก ก็เป็นหนังที่ หากจะดูอีกรอบ คิดหนักทีเดียวกับ run time ของหนังเกือบ 3 ชั่วโมงเรื่องนี้
สิ่งแรกที่ต้องขอบอกว่า Amazing ในใจมากหลังจากเมื่อวานคือ Robert Redford ในวัย 60 ปี แกดูดีกว่านักแสดงหลายๆคน ทั้งหน้าตา และหุ่นของแก คือ ก็ชราแล้วแต่ยังไม่เสียทรงว่างั้นก็ได้ ยังเป็นคาวบอยส์ รุ่นใหญ่ ที่โชกโชน แต่ก็ยังมีความเป็น ปุถุชน เต็มเปี่ยม รวมถึงมีความรักสนุกอยู่ในตัวพระเอกรุ่นใหญ่มากในเรื่องนี้
จากในภาพ คงเห็นเด็กน้อยที่เคียงข้างกับ Redford คือ Scarlett Johansson ที่ผมรู้จักเธอครั้งแรก จากหนังเรื่องนี้ในวัย 13 ปี งานนี้ แบล็ค วิโดวส์ คนปัจจุบันใจขบวนการ Avengers เล่นได้พอตัวเลยทีเดียว มารับบท ลูกสาวของครอบครัวมีฐานะ ที่เกิดอุบัติเหตุ ทำให้เพื่อนเธอต้องเสียชีวิต และม้าเธอต้องบาดเจ็บ รวมถึงตัวเธอต้องสูญเสียมากมาย
Scarlett เล่นได้ดื้อน่าเดินหนีจริงกับบทของเด็กที่ เจ็บปวด สับสน และ จะรวนๆใส่แม่ แบบ เถียงคำไม่ตกฟากกันเลยทีเดียว สีหน้า แววตา ออกมาครบ เรียกว่า ผู้กำกับ ปั้นได้ดีทีเดียว รวมถึงการเข้าฉากกับ Redford ก็เล่นได้พอเหมาะพอดี ในบทเวลาเด็กดื้อ เจอผู้ใหญ่เอาจริง ซึ่งในฉากหนึ่ง มีบทสนทนา ที่ Redford บอกให้ Scarlett ช่วยงานในคอกหลายอย่าง และด้วยความเคยตัว สาวน้อยถามว่า นี่คือคำถาม หรือ ขอร้อง แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่ตอบกลับมา ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง และเธอก็ยอมรับด้วยความเต็มใจ ( ส่วนนี้อยากให้ไปหาหนังมาดูเองน่ะครับ จะเห็นว่าคนเรา ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตามลักษณะของคนที่เราเจอ )
และมาถึงตัวหลักของหนัง คือ คริสติน สก๊อต โธมัส ก็หากคุณไม่รู้จักเธอ อย่าคิดว่า นี่คือ สามนักแสดงในหนัง เพราะเป็นชื่อเต็มของนางเอกคนเดียวครับ
คริสติน ผมได้ดูเธอครั้งแรกจากหนัง Four wedding and the funeral หนังอังกฤษ ที่เพลงดังพา ฮิวจ์ แกรนท์ และ แอนดี้ แมคโดเวล โด่งดั่งในอาชีพไปล่วงหน้า ก่อนคริสติน จะได้เล่นหนังระดับชิงออสการ์อย่าง The English Patient ซึ่ง หนังได้รางวัลแต่ดาราไม่ได้อะไรเลยในปีนั้น ทั้งนำและสนับสนุน
แต่ในเรื่องนี้ คริสติน สวยงามตามวัย 36 ของเธอกับบทคุณแม่ Working Woman แห่ง นิวยอร์ สาวใหญ่ที่เดินทางทั่วโลก แต่ต้องมาอยากใช้ชีวิตที่สงบสุขที่ บ้านไร่ใน มอนตาน่า ( ถ้าคุณจำหนัง Cast away ของ Tom hank ตอนใกล้จบได้ ว่า 4 แยกที่ทอม แฮ้งค์ ไปหลงนั้น สุดลูกหูลูกตาหาบ้านไม่เจอสักหลัง นั่นละครับ ภาพเดียวกับ มอนตาน่า )
คริสติน เรื่องนี้เจิดจรัสมากสุดแล้วในงานแสดงของเธอทั้งหมด ( อันนี ้ความเห็นส่วนตัว ) รับบท บรรณาธิการ นิตยสารในนิวยอร์ค ที่ลูกต้องประสบอุบัติเหตุ สามีก็เริ่มจะไม่ค่อยจะลงรอยกัน ( รับบทโดย แซม นีล แห่ง จูราสิคปาร์ค ภาคแรก ) ฝั่งฝ่ายชายไม่ค่อยได้แสดงเท่าไหร่ แต่บทของคริสติน ต้องรับบท ผู้หญิงเก่ง ที่ถ้าพูดกันไม่เพราะก็ อะไรก็ตรู จนทำให้เธอต้องตัดสินใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การปฏิเสธจะฆ่าม้า ทั้งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ฆ่าม้าเสียเพื่อไม่ทรมาน และ ไม่เชื่อหมอที่แนะนำว่า ลูกสาวเธอ ต้องพักเยอะๆ ห้ามเดินทาง แต่เธอ ครับ เธอไม่ฟังใครเลย แต่ในหนังก็แสดงให้เห็นว่า คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ จะแน่นอนเสมอไป
หนังเริ่มจากลูกสาวเธอแลเพื่อนประสบอุบัติเหตุ เพื่อนลูกสาวตาย ม้าบาดเจ็บหนัก ลูกสาวก็ต้องเผชิญชะตากรรมที่น่าเจ็บปวก เธอจึงตัดสินใจ หาข้อมูลเกี่ยวกับคนรู้เรื่องม้าทั้งหมด ด้วยอาชีพสื่อของเธอ เธอพบคนที่ถูกเรียกว่า Horse Whisperer หรือ ผู้หยั่งรู้จิตใจม้า และได้พยายามติดต่อให้พระเอกของเรา Redford มาหาเธอ แต่กลับโดนปฏิเสธแบบสุภาพแล้ว และการเดินทางจาก นิวยอร์ค มา มอนตาน่า ก็เริ่มขึ้นบนความหวังที่ไม่รู้เหมือนกันว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร
ชื่อหนังผูกปมไปที่ พระเอก แต่เนื้อเรื่องกลับเป็นนางเอกที่เดินเรื่องทั้งหมด และหลักๆเลย คือ กับลูก และ ความรักของเธอที่มีกับ ผู้หยั่งรู้ใจม้า ในบรรยากาศไม่เร่งรีบ อากาศแบบรีสอร์ท ชีวิตชนบทที่งดงาม แต่การตัดสินใจเลือกรักใครทั้งที่มีครอบครัวแล้ว สำหรับสังคมอเมริกัน และหลายๆประเทศทั่วโลก ย่อมไม่ใช่สิ่งถูกต้องแน่นอน ยิ่งเมื่อคู่ของเธอยังอยู่ดี ไม่หย่า ไม่ลาจากกันไป รวมถึงลูกอีกหนึ่งคน ทำให้ บทบาท รักต้องห้าม ก็เกิดขึ้นคล้ายๆกับ Bridge of Madison County ที่ ปู่ คลิ้นท์ กับ ป้า เมอรีล สตรีพ เคยเล่นไว้ สองปีก่อนที่หนังเรื่องนี้จะออกฉาย
จุดจบของหนัง การเยียวยาม้า ซึ่งถูกดำเนินการโดยผู้หยั่งรู้ ไม่เพียงเยียวยาม้า แต่ยังเยียวยาจิตใจลูกสาว ไปพร้อมกัน และบทสรุปของรักต้องห้าม ท่ามกลางบรรยากาศขุนเขาเขียวขจี ไอหมอก และลำธาร จบลงแบบคนดูหลายคน แอบมโน หรือในชีวิตจริงอาจไม่จบอย่างในหนัง แต่ก็สรุปว่าเป็นหนังที่ดูได้ทั้งครอบครัวครับ แต่เด็กดูอาจหลับเพราะคงยังไม่เข้าใจว่า คำทักทาย มันไม่ใช่แค่คำทักทาย สายตาที่มองพร้อมกับคำพูด มันสื่อสารตรงข้ามกัน ก็คงจะต้องให้คนที่เคยพบเจอ เรื่องราวต่างๆ ได้แง่คิดกันไปแบบแตกต่างในบริบทที่เหมือนกัน
สุดท้าย ถ้าถามผมว่าหนังเป็นไง ผมก็ตอบว่า หนังดีมีแง่คิดติดมา แต่ถ้าจะดูแค่ผ่านไป จบแบบ หนังที่มีวิวสวย มีความรู้เรื่องม้าผสม ดาราน่าดู ก็เพียงพอแล้วครับ หากใครไม่เคยดู หรือ อยากหาหนังบรรยากาศเรื่อยๆ แต่ดูไม่น่าเบื่อก็แนะนำ The Horse Whisperer ครับ