How to ตั้งประโยคคำถามในภาษาอังกฤษ (สำหรับ Beginner โดยเฉพาะ)

You alright, mate?!

วันนี้เรามาเรียนเรื่องการตั้งประโยคคำถามในภาษาอังกฤษกัน กระทู้นี้เรามาดูกันว่า 'หลักในการสร้างประโยคคำถามเป็นอย่างไร' และ'ประโยคคำถามมีกี่แบบ'

แต่ก่อนจะไปดูกันว่าคำถามมีกี่แบบ มาทำความเข้าใจกับข้อสำคัญเหล่านี้ก่อน

ข้อสำคัญของการตั้งคำถามคือ ให้เราพิจารณาว่าคำตอบที่เราต้องการนั้นคืออะไร
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องการคำตอบแค่ว่า ใช่หรือไม่ / ได้หรือไม่ได้ ก็ให้ตั้งคำถามแบบ Yes – no question

แต่ถ้าเราต้องการคำตอบที่มากกว่านั้น พูดง่าย ๆ คือต้องการข้อมูลที่มากกว่าแค่คำว่าใช่หรือไม่ (ข้อมูลเหล่านี้ได้แก่ ใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่) ก็ให้เลือกใช้ประโยคคำถามแบบ WH – question

นอกจากนี้ยังมีการถามคำถามอีกหลายแบบ แต่เดี๋ยวไว้ไปต่อกันตรงหัวข้อชนิดของประโยคคำถามด้านล่างครับ

ข้อสำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ โครงสร้างของประโยคคำถาม
ในประโยคคำถาม เราจะใช้ ‘เวิร์บช่วย’ เข้ามาช่วยในการตั้งคำถาม
Verb เหล่านี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
1. กลุ่มแรกคือ กลุ่ม ‘เวิร์บช่วยที่ผันตามประธานและเทนส์’ (primary auxiliary verb) ได้แก่ Verb to do, verb to have และ Verb to be

2. และอีกกลุ่มคือ ‘เวิร์บช่วยที่ไม่ผันตามประธาน’ (Modal verb) ได้แก่ Can, could, shall, should, may, might, must, will, would

3. นอกจากเรายังใช้ Question word หรือ Question pronoun (หรือใครจะเรียก WH - word ก็ได้) เข้ามาช่วยในการตั้งคำถามได้ด้วย ได้แก่ What, when, where, why, who, whom, whose และ how

ที่นี้เรามาดูหลักในการตั้งประโยคคำถามแบบง่าย ๆ กันครับ
ประโยคคำถามมีกฎง่าย ๆ อยู่ว่า ‘เวิร์บต้องมาก่อนประธาน’ (แต่ก็ไม่เสมอไปนะครับ เดี๋ยวมาว่ากัน)

1. การใช้ ‘เวิร์บช่วยที่ผันตามประธานและเทนส์’ (คือเวิร์บกลุ่มที่หนึ่งตามข้อข้างบนครับ)
เวิร์บกลุ่มแรกนี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย (อย่าพึ่งตกใจกับชื่อหรืออะไรของมันนะครับ ให้ลองทำความเข้าใจก่อน แล้วจะพบว่ามันง่ายมาก)

1.1 กลุ่มย่อยแรก เราเรียกว่า ‘กลุ่มสลับที่’ ได้แก่ Verb to be และ verb to have
วิธีตั้งคำถามด้วยเวิร์บพวกนี้ก็ง่าย ๆ ครับ ประโยคบอกเล่ามายังไง พอจะตั้งคำถามก็แค่สลับเอาเวิร์บมาอยู่ข้างหน้าประธาน
เช่น ประโยคบอกเล่า ‘You are happy’ พอตั้งคำถามก็จะได้เป็น ‘Are you happy?’ โดยการสลับ 'are' กับประธาน 'you' นั่นเอง (อย่าลืมใส่เครื่องหมายคำถาม (Question mark (?)) เสมอเมื่อตั้งคำถาม)
ตัวอย่างการใช้ verb กลุ่มย่อยนี้
- Verb to be
He is sad. = Is he sad?
These are my shoes. = Are these your shoes?
Jonathan was a policeman. = Was Jonathan a policeman?
It is good. = Is it good?
It was rude of me to say that. = Was it rude of me to say that?

- Verb to have (ใช้ตั้งคำถามในโครงสร้างประโยคแบบ Perfect tense (Have + V3) ใช้ถามถึงประสบการณ์การในการทำบางอย่าง (เช่นไปเที่ยวต่างประเทศ) หรือถามว่าทำอย่างนี้อย่างนั้นมาหรือยัง (เช่นกินข้าวยัง ทำการบ้านยัง))
I have been to England. = Have you been to England?
I have had breakfast. = Have you had breakfast?
Jeremy has finished his homework. = Has Jeremy finished his homework?

1.2 กลุ่มย่อยที่สองคือเราเรียกว่า 'กลุ่มเสริมหน้าประโยค' ซึ่งก็คือ Verb to do นั่นเอง
กลุ่มนี้ต่างจากกลุ่มแรกตรงที่ เราจะไม่สลับ Verb กับประธานเพื่อให้เป็นประโยคคำถาม แต่เราจะเติม Verb to do ไว้ข้างหน้า ซึ่ง Verb to do จะเป็น do, does, did ก็แล้วแต่ประธานกันเทนส์ครับ
ตัวอย่างเช่น ประโยคบอกเล่า ‘He likes Japanese food.’ พอเปลี่ยนเป็นประโยคคำถามก็เติม Do ไว้ข้างหน้าก็จะได้ 'Does he like Japanese food?' (do กลายเป็น Does เพราะประธานเป็น ยิ้ม, she, it แต่ถ้าถามถึงเรื่องอดีตจะใช้ did กับทุกประธานเลยครับ)
ตัวอย่างเพิ่มเติม
- Verb to do
He knows Jane. = Does he know Jane?
I slept well last night. = Did you sleep well last night?
I want something else. Do you want anything else?
I love you. = Do you love me?
She met John yesterday. = Did she meet John yesterday?

**แต่ถ้าประโยคบอกเรามาเป็นแบบ ปฏิเสธ (มี don’t) เราก็จะใช้การสลับที่แบบกลุ่มย่อยแรกนะครับ (หมายความว่า แค่สลับ Don't ไปไว้ข้างหน้าประโยคก็พอครับ เพราะ Don't ก็เป็น verb to do แล้ว)
I don’t like Japanese food. = Don’t you like Japanese food?
I didn’t sleep last night. = Didn’t you sleep last night?

2. ในส่วนของ เวิร์บช่วย กลุ่มที่สอง (Modal verb) เราก็สามาถใช้ได้ทั้งสองกฎที่กล่าวมาข้างบนครับ คือ
สลับที่จากประโยคบอกเล่า
เช่น He can swim. = Can he swim?
You may sit. = May I sit?

หรือเอามาเสริมข้างหน้า
เช่น He swims. = Can he swim? (สังเกตว่า s หายไปนะครับ เวิร์บที่อยู่หลัง Modal verb จะไม่ผันตามประธานหรือตามเทนส์ทั้งสิ้น)

ตัวอย่างเพิ่มเติม
He can read/ He reads. = Can he read?
I will go to Bangkok. = Will you go to Bangkok?
We should leave now. Should we leave now?

สุดท้ายไม่ว่าจะใช้กฎไหน ขอให้เข้าใจมันก็พอครับ

ทีนี้เรามาดูกันว่าประโยคคำถามมี่กี่ชนิด
1. Yes – no question: ประโยคที่ต้องการคำตอบว่า ใช่หรือไม่ / ได้หรือไม่ได้
ก็คือประโยคใช้ Verb ช่วยทั้ง 2 กลุ่มที่เราเรียนมาข้างบนนั้นเองครับ
Is he a doctor? (Yes, he is/ No, he isn’t)
Do you like that movie? (Yes, I do/ No, I don’t)
Can he cook? (Yes, he can/ No, he can’t)

2. WH – question: ประโยคที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม มากกว่าการตอบว่า ใช่ หรือ ไม่
ง่าย ๆ ครับเราก็แค่เอา WH - words ทั้งหลายมาเติมข้างหน้าประโยคแบบ Yes – no question เท่านั้น
Why do you like that movie?
Where did he go?
Why is the car dirty?
When can we meet?
How did you know John?

แต่เราจะขอละคำว่า Who ไว้หน่อย คำว่า Who เนี่ยจะมีโครงสร้างแบบประโยคบอกเล่าเลย (S + V + O?) เพียงแต่มี ? ไว้ข้างหลัง และเอา Who ไปแทนประธานที่อยู่ในประโยคบอกเล่านั้น
เช่น
He did the housework. = Who did the housework?
Jonathan told me about this. = Who told you about this?

แต่ถ้า Who เป็นกรรมของประโยคก็ให้ละกรรมออกครับ
I saw Tim. = Who did you see?
He hates Jenny. = Who does he hate?

3. ประโยคคำถามแบบ Question tag
ประโยคคำถามแบบนี้เป็นกามถามเพื่อย้ำความมั่นใจของผู้พูด กล่าวคือผู้พูดก็พอจะรู้คำตอบแล้วแหละ แต่แค่อยากถามเพื่อความแน่ใจเฉย ๆ โครงสร้างง่าย ๆ เหมือนประโยคบอกเหล่าเป๊ะ แค่พ่วง Verb ช่วยกับประธานของประโยคไว้ข้างหลัง
เช่น
You like that colour, don’t you? (นายชอบสีนี้ ใช่มั้ย)
You don’t love me, do you? (เธอไม่รักฉัน ใช่มั้ย)
The weather is nice, isn't it? (อากาศดีเนอะ ว่ามั้ย)
He can do it, can't he? (เขาทำมันได้ ใช่มั้ย)
We shouldn't go there, should we? (เราไม่ควรไปที่นั้น ใช่มั้ย)

เห็นความแตกต่างของสองประโยคนี้ไหมครับ อีกอันลงท้ายด้วย Don’t you ก็เพราะว่าประโยคก่อนหน้ามาแบบประโยคบอกเล่า อีกอันพ่วงท้ายด้วย do you เพราะประโยคข้างหน้ามาแบบ negative
พูดง่าย ๆ คือ ถ้าประโยคมาแบบ negative (มี don't หรือ isn't หรือ not อยู่) ตัว question tag ก็จะเป็นแบบ positive (do, is) ดูตัวอย่างเพิ่มนะ

He is a doctor, isn’t he?
They are your friends, aren’t they?
You don’t need this, do you?
That wasn’t so good, was it?
You have eaten, havn’t you?

4. คำถามแบบ How about….?
เป็นประโยคคำถามที่เอาไว้เสนอแนะอะไรสักอย่าง โครงสร้าง ๆ ง่าย How about ตามด้วย verb – ing หรือจะตามด้วยประโยคบอกเล่าก็ได้
เช่น
How about swimming tonight? หรือ How about we swim tonight? (จะว่าไงถ้าคืนนี้ไปว่ายน้ำ หรือ ไปว่ายน้ำคืนนี้ดีมั้ย)
How about going to the cinema? หรือ How about we go to the cinema? (จะว่าไงถ้าจะไปดูหนัง หรือ เราไปดูหนังกันดีมั้ย)
How about dancing with me? หรือ How about you dance with me? (ลองเต้นกับผมมั้ย)

แต่อย่าไปสับสนกับการใช้ How about กับ What about … นะ
What about จะตามด้วยคำนามเสมอ (จะไม่ตามด้วย V-ing หรือประโยค)
เช่น
What about my money? (แล้วเงินฉันละ จะว่าไง)
What about your mom? (แล้วแม่เธอละ ว่าไง)

แต่เราจะบอกว่า How about you? หรือ What about you? ก็ได้ทั้งคู่ครับ

5. คำถามในรูปประโยคบอกเล่า
เราก็แค่เอาประโยคบอกเล่ามาลงท้ายด้วยเสียงสูงมันก็สามารถกลายเป็นประโยคคำถามได้ครับ ซึ่งจะเป็นภาษาแบบ informal (ไม่เป็นทางการ) ซะมากกว่า
เช่น
You like him? (him เสียงสูง) เธอชอบเขาเหรอ
This is your house? (house เสียงสูง) นี่บ้านนายเหรอ
He doesn't like me? (me เสียงสูง) เขาเหม็นขี้หน้าฉันเหรอ

นี่แค่ 'คร่าว ๆ' นะครับ แต่คิดว่าน่าจะพอเป็นแนวทางให้ใครหลาย ๆ คนเริ่มเข้าใจอะไรได้บ้าง อย่าลืมไปหาอ่านเพิ่มเติมนะ จะได้เข้าใจมากกว่านี้ สงสัยอะไรถามได้เลยนะครับ

ไม่จำเป็นต้องรู้หมดทุกอย่างในวันนี้ แค่รู้มากขึ้นกว่าเมื่อวานนี้ก็พอแล้วครับ
รู้ภาษาอังกฤษมากขึ้นทุกวันที่: https://www.facebook.com/MyFathersAnEnglishMan/ (FB Page: พ่อผมเป็นคนอังกฤษ)
Stay tuned
JGC.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่