นักฆ่า
=====
มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยหากต้องฆ่าใครสักคนทั้งที่ไม่มีความแค้น ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีเรื่องบาดหมางใจ แต่ฆ่าเพื่อเงิน ฟังดูแล้วคงไม่ต่างจากสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ และนั่นแหละฉัน … ฉันฆ่าคนเพื่อเงิน..สำหรับฉันสิ่งนี้นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผลกับคนที่เกิดมามีชีวิตเดนตายอย่างฉัน .. ฆ่า.. รับเงิน..ซ่อนตัว วัฎจักรในชีวิตฉันก็มีเพียงเท่านี้
ฉันกำลังใคร่ครวญคิดถึงใครหลายคนซึ่งถูกฉันสังหาร บางคนฉันไม่รู้จักชื่อพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ใครจะสนล่ะ ฉันเป็นนักฆ่าแค่มาฆ่าตามที่ได้รับว่าจ้าง รับเงินแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย.. ชีวิตวนเวียนอยู่กับกลิ่นคาวเลือด กลิ่นแห่งความตายและเสียงร้องโหยหวนร้องขอชีวิตจากเหยื่อรายแล้วรายเล่า
ฉันเล็งปืนใส่หัวพวกเขาลั่นไกปืนฝังลูกตะกั่วไว้ในกะโหลกเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ส่งพวกเขาไปยมโลกอย่างสงบสุข เรียบง่าย เฉียบขาด ไม่มีอะไรน่ากังวลใจ แล้วฉันก็นั่งอยู่ตรงนั้นมองดูศพสักสี่หรือห้านาที..เลือดแดงฉานไหลออกมาจากสมองสวยงามราวกับลาวาพวยพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟ
รายที่เท่าไรแล้วนะ ฉันยกนิ้วขึ้นมานับจำนวนเหยื่อที่ฉันสังหารไป และมันก็หยุดที่เลขยี่สิบสอง ไม่น้อยเลยทีเดียว ฉันอมยิ้มให้กับผลงานตัวเอง ….
สายตากำลังเพ่งมองไปยังชายหนุ่มผมทอง ตาสีฟ้าน้ำทะเล นอนตะแคงอยู่บนพรมสีเขียวเข้ม ลมหายใจรวยริน ดวงตาเปิดโพลงคงนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมาตายง่ายดายแบบนี้ ดวงตาสีฟ้านั่นจ้องมองมาที่ฉัน ฉันจ้องกลับด้วยแววตาเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านต่อคำสาปแช่งทางสายตา
วันนี้ฉันพลาดเป้าลูกกระสุนนัดเดียวไม่สามารถปลิดชีพพ่อหนุ่มตาสีฟ้าคนนี้ได้ ฉันเดินวนรอบห้องพักหรูของโรงแรมดังกลางเมืองภูเก็ต มือถือปืนซึ่งมีกระบอบเก็บเสียงหมุนเกลียวแน่นอยู่ปลายกระบอบปืน รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่เขายังไม่ตาย แต่เอาเถอะ..ถ้าเหยื่อยังไม่อยากตายง่ายๆก็ต้องเล่นเกมกวนประสาทกับเหยื่อสักหน่อย
“การตายมันไม่ง่ายเลยว่าไหมโจนส์นาธาน” ฉันพูดกับเหยื่อ มือดึงรูปถ่ายครอบครัวของเขาออกมาจากกระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง รูปถ่ายใบนั้นเป็นภาพภรรยากอดแขนสามี ลูกชายอายุประมาณสี่หรือห้าขวบขี่คอพ่อ เบื้องหลังพวกเขาคือหอไอเฟลในกรุงปารีส ทั้งสามฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายเจิดจรัสขานรับกับแสงสีเหลืองส้มรำไรยามพระอาทิตย์อัสดง เป็นภาพที่บ่งบอกว่าเป็นครอบครัวซึ่งอบอุ่นและมีความสุขล้นปรี่จนน่าอิจฉา
ฉันเก็บรูปถ่ายไว้ที่เดิม
แล้วเดินมานั่งไขว้ห้างที่ปลายเตียง..เอียงคอเมียงมองโจนส์นาธานตะเกียกตะกายพาร่างโชกเลือดคลานขยับเขยื้อนจะไปให้ถึงประตูห้องให้ได้ ปากขยับตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
“ไม่มีประโยชน์หรอกน่าโจนส์นาธาน ไม่มีใครได้ยินเสียงคุณหรอกนะ”
ฉันพูดกับเขาอีกครั้ง พยายามดึงเขาให้หันกลับมาในห้อง และได้ผลโจนส์นาธานหันมาสบตาฉัน ดวงตาฉายแววหวาดกลัว อ้อนวอนขอความเมตตาและแฝงไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ริมฝีปากสั่นระริกบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปทรง….
ฉันเห็นภาพแบบนี้มายี่สิบสองครั้ง โจนส์นาธานคือครั้งที่ยี่สิบสาม..มันเริ่มชินเสียแล้วกับภาพตรงหน้าในลักษณะแบบนี้ ไม่มีอะไรทำให้ฉันเปลี่ยนใจ ไม่มีความสงสาร ไม่มีความเมตตาและเห็นใจ…ฉันใช้ปลายกระบอบปืนลูบไล้บริเวณขาอ่อนแผ่วเบา สัมผัสได้ถึงไอเย็นจากแท่งเหล็กซึ่งแทรกซึมผ่านกางเกงหนังสีดำรัดเปรี๊ยะ ความเย็นของมันทำให้ฉันรู้เสียวซาบซ่านและตื่นตัว ขมบเม้นริมฝีปากก่อนจะตวัดลิ้นสีชมพูลามเลียริมฝีปากบนล่าง
“มันคืองานของฉันน่ะโจนส์นาธาน …ฆ่าคน นั่นแหละงานฉัน” ฉันบอกเขาเพื่อให้เขาได้เข้าใจในสิ่งที่ฉันทำหรืออย่างน้อยเขาจะได้ลงไปบอกยมทูตได้ถูกต้องว่าเขาได้ตายอย่างไร มันคงเป็นการดีถ้าฉันและเขาไม่มีอะไรข้องใจในการกระทำของอีกฝ่าย การได้พูดคุยกับเหยื่อก่อนจะกระชากวิญญาณให้หลุดออกจากร่างถือว่าเป็นเกมอย่างหนึ่งที่เย้ายวนใจฉันอยู่ไม่น้อย
ฉันยังคงจำเหยื่อรายแรกที่ฉันฆ่าได้เป็นอย่างดี ฉันใช้เวลาพูดคุยกับเขาค่อนข้างนาน.. ไม่สิ .. นานพอสมควรก่อนที่ฉันจะลงมือเอามีดบาดคอหอย ฉันนั่งคร่อมหลังเขาดึงผมเพื่องัดคอให้หงายขึ้นจากพื้นจากนั่นก็ค่อยๆบรรจงกรีดมีดทำครัวแหลมคม เชือดคอเขาเหมือนคนที่กำลังเชือดคอไก่ เป็นภาพที่ไม่น่าดูนักหรอก แต่ถ้าเป็นคุณ เชื่อเถอะไม่ช้าไม่นานคุณก็จะทำเหมือนฉัน … หากคุณเคยเป็นผู้ที่ถูกกระทำอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนจากใครสักคนที่คุณไว้วางใจ
“ทำ..ทำไม” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นของโจนส์นาธานเอ่ยถามฉัน
“ทำไมน่ะหรือ .. มันเป็นแบบนี้นะโจนส์นาธาน มีคนว่าจ้างฉันให้มาฆ่าคุณ พอฉันฆ่าคุณเสร็จก็ไปรับเงินอีกส่วนที่เหลือ ปิดงานฆ่า ฉันเผ่นแน่บหายเข้ากลีบเมฆ .. พรุ่งนี้เช้าจะมีคนมาพบศพคุณ ตำรวจทั้งโรงพักจะยกโขยงกันมาที่นี่ สืบเสาะหาฆาตกร หลังจากนั้นครอบครัวคุณจะจัดงานศพให้คุณอย่างสมเกียรติจะมีแขกเหรื่อมาร่วมงานศพคุณมากมาย พวกเขาจะตีหน้าเศร้าสร้อย บางคนอาจร้องห่มร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง ร่างไร้วิญญาณของคุณจะถูกยัดลงโลงและถูกหย่อนลงหลุมซึ่งขุดเตรียมไว้อย่างพอเหมาะพอดีกับโลงศพ แขกเหรื่อจะพากันโยนดอกไม้และเศษดินลงหลุมศพ เดินหันหลังจากไป ชื่อของคุณกลายเป็นอดีต และไม่ช้าไม่นานคุณก็เลือนหายไปจากความทรงจำของพวกเขา … จบฉากศิลปะแห่งการตาย คุณลองจินตนาการดูสิว่ามันสวยงามเพียงใด”
ฉันหยุดพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ร่างโชกเลือดกระตุกสามครั้ง ดวงตากลอกกลิ้งไปมา เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นกลางหน้าผาก เลือดแดงฉานไหลย้อยออกจากปาก ศิลปะแห่งการตายดูท่าจะทำให้โจนส์นาธานหวาดหวั่นสั่นสะพรึงอยู่ไม่น้อย ฉันเหยียดยิ้มและขยิบตาให้เขา
“ใคร….” โจนส์นาธานกลั่นกรองคำพูดออกจากปากอย่างยากเย็นแสนเข็ญ
“จุ๊ๆ” ฉันยกปลายกระบอบปืนแนบริมฝีปากแล้วเลื่อนลงมาถูคางเล่น
“คุณจะไม่มีทางรู้ว่าคนที่จ้างฉันมาฆ่าคุณเป็นใคร มันเป็นกฎน่ะโจนส์นาธาน คุณต้องเข้าใจตรงนี้ด้วยนะ” ฉันเหยียดยิ้มอีกครั้ง การได้กุมชีวิตใครสักคนไว้ในกำมือมันช่างสนุกสนานและสร้างความจรรโลงใจฉันอยู่ไม่น้อย หากโจนส์นาธานรู้ว่าใครจ้างฉันมาฆ่าเขา คงกระอักเลือดตายก่อนที่ฉันจะเหนี่ยวไกปืนเสียด้วยซ้ำ
“ห้าล้านบาท.. คือจำนวนเงินที่เขาจ้างฉันมาฆ่าคุณ เป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยว่าไหม คุณมีค่าตัวแพงลิบเลย คุณน่าจะดีใจนะ …โอ๋ๆอย่างทำหน้าเบื่อโลกขนาดนั้นสิ เดี๋ยวก็จะได้ลาโลกแล้ว”
ฉันลุกขึ้นก้าวย่างเข้ามาหาเขา นั่งยองๆข้างร่างโจนส์นาธานที่สั่นเทา จ่อปลายกระบอบปืนเข้ากลางหน้าผากเขาและลั่นไกลูกตะกั่วเจาะทะลุทะลวงเข้าสมอง ร่างไร้วิญญาณนอนแน่นิ่ง ฉันยืนมองรูโว่กลางหน้าผากของเหยื่อรายที่ยี่สิบสามด้วยความรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ทรมาน ฉันส่งเขาไปอยู่ในที่ที่สมควรอยู่ จบสิ้นงาน..ปลอดโปร่งและโล่งใจ
ฉันกระซิบข้างหูเขาแผ่วเบาและนุ่มนวลที่สุด
“คนที่จ้างฉันให้มาฆ่าคุณคือผู้หญิงในรูปถ่ายใบนั้น”
ฉันดึงผ้าห่มบนเตียงมาคลุมศพ ยืนสวดมนต์ให้เขาเล็กน้อย อันที่จริงฉันกำลังสวดมนต์ให้ตัวเองเสียมากกว่า คนตายไปแล้วจะรับรู้อะไร …. ฉันวางโปสการ์ดแหลมพรหมเทพไว้ข้างกระเป๋าสตางค์ และเดินออกจากห้อง หลบหลีกมาทางบันไดหนีไฟและออกมาทางด้านหลังโรงแรม มันเป็นตรอกเล็กๆมืดมิดและมีกลิ่นเหม็นเน่าจากกองขยะ
ฉันดึงวิกผมสั้นสีน้ำตาลโยนลงถังขยะ เดินออกจากตรอกเน่าเหม็นวิ่งข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้าม เดินเข้าไปอีกซอยหนึ่งก่อนจะลัดเลาะมาโผล่อีกซอย..รูดซิปเสื้อเจ๊กเก็ตหนังซึ่งใหญ่กว่าตัวฉันสองไซส์ ถอดมันออกแล้วโยนลงถังสังกะสีที่ชาวบ้านกำลังจุดไฟเผาเศษกระดาษเศษกิ่งไม้ ถอดคอนเทคเลนส์สีน้ำตาลทิ้งลงท่อระบายน้ำ
สาวเท้าก้าวเดินฉับๆเลียบริมฟุตปาธเพื่อรอคอยบางอย่าง และไม่ถึงห้านาทีสิ่งที่รอคอยก็มา เด็กแว้นขับมอเตอร์ไซค์รุ่นดัดแปลงท่อไอเสีย โครงสร้างของรถมีแต่ซากเหล็กซึ่งไม่ห่อหุ้มพลาสติกเปลือกนอกเอาไว้ สวมหมวกกันน็อคแบบเต็มใบปิดบังใบหน้ามิดชิด ฉันมองดูอย่างไม่แน่ใจว่าจะใช่คนส่งของหรือเปล่า
แต่ก็คงใช่เด็กแว้นจอดรถข้างฉัน ล้วงมือลงไปในกระเป๋าดึงถุงผ้าสีดำขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ฉัน ฉันยื่นมือไปรับ และเมื่อส่งของเรียบร้อยเด็กแว้นเร่งเครื่องยนต์ตะบึงรถหายเข้าไปในซอยเล็กซึ่งอยู่ถนัดไป แสงไฟสลัวริมทางทำให้ฉันมองเห็นแผ่นหลังเขาไวๆและไม่นานก็ลับหายไปในความมืดมิด
ฉันไม่รู้ว่าเด็กแว้นคนนั้นเป็นใคร เช่นเดียวกับที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร ไปทำอะไรมา เด็กแว้นพวกนี้มีหน้าที่เพียงส่งของให้เหล่านักฆ่า ห้ามพูด ห้ามถามแค่มาส่งของแล้วจากไป ใครผิดกฎหากไม่ตายเป็นวิญญาณเฝ้าถนนก็กลายเป็นคนพิการแบบพูดไม่ได้ทันที
ฉันเทของบางอย่างออกจากถุงผ้า ในนั้นมีกุญแจเพียงดอกเดียว ฉันเก็บกุญแจยัดใส่กระเป๋ากางเกงแล้วโยนถุงผ้าลงคลองน้ำเน่า โบกรถมอเตอร์ไชค์รับจ้างให้ไปส่งที่กรีนวิลล่ารีสอร์ท
ไม่ถึงยี่สิบนาทีฉันมายืนอยู่ทางเข้ารีสอร์ทซึ่งมีต้นลีลาวดีสี่ต้นปลูกอยู่หน้าทางเข้า ดอกสีขาวร่วงหล่นลงพื้นซีเมนต์ ฉันเดินสวนกับคู่รักต่างชาติซึ่งกำลังยืนกอดจูบอยู่ในมุมมืดๆมุมหนึ่ง ใช้ร่มเงาของต้นไม้เป็นที่กันบัง ฉันเหลือบไปมองแบบไม่สนใจก่อนจะรีบสาวก้าวเดินมุ่งหน้าเข้าไปภายในรีสอร์ท เห็นห้องพักสองสามห้องยังเปิดไปสว่างจ้า ฉันเดินหลบหลีกแสงไฟเดินอ้อมอาคารสำนักงานที่เตรียมไว้สำหรับต้อนรับลูกค้า มุ่งไปอีกทางที่ไม่ใช่จุดห้องพักของลูกค้า มันเป็นเส้นทางแคบๆซอยมืดมิด ตลอดทางเดินโรยด้วยกรวดหินสีขาวและมีหมากเหลืองปลูกยาวตลอดริมทางเดิน เดินมาไม่นานก็เจอบ้านไม้ชั้นเดียว หลังคาทรงปั้นหยา
หยุดอยู่หน้าประตูไม้เกาะสลัก และเคาะประตูบ้านสามครั้ง
“รหัส” ทุ้มเสียงห้วนๆฟังดูไม่เป็นมิตรตะโกนออกมาจากในบ้าน
“ไปตายซะ ถ้าไม่เปิดประตูภายในหนึ่งนาที” ฉันพูดรหัสออกไป และรู้สึกอยากบีบคอชาร์ล็อตนัก ที่คิดประโยคตั้งรหัสบ้าบอให้ และเขาดันคิดว่ามันตลกขบขันดีถ้าฉันเป็นคนพูดรหัสนี้ออกมา
เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้น และประตูก็เปิดออก ฉันเห็นชายผิวสีรูปร่างสูงใหญ่ หนังศีรษะล้านเตียน หน้าตาและท่าทางเบื่อโลก เขาใส่เสื้อยืดสีแดงภาพบนเสื้อยืดคือรูปหัวกะโหลกปากคาบบุหรี่และมีหูฟังแนบอยู่ข้างหู
“เสื้อสวยดีนะ” ฉันเอ่ยชม .. เขาทำหน้าเหมือนจะยิ้ม แต่ยังไม่ยิ้มเหลียวมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะปิดประตูและเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างประตู ซึ่งมีปืนไรเฟิลวางพิงอยู่ข้างเก้าอี้
ฉันเดินไปเปิดประตูห้องซึ่งอยู่ด้านหลังของหนุ่มผิวสี ในห้องนั่นว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย มีเพียงตู้เสื้อผ้าเก่าๆมีรอยขีดข่วนจากของมีคมอยู่หลายจุด มันตั้งเด่นอยู่กลางห้อง
....
นักฆ่า
นักฆ่า
=====
มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยหากต้องฆ่าใครสักคนทั้งที่ไม่มีความแค้น ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีเรื่องบาดหมางใจ แต่ฆ่าเพื่อเงิน ฟังดูแล้วคงไม่ต่างจากสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ และนั่นแหละฉัน … ฉันฆ่าคนเพื่อเงิน..สำหรับฉันสิ่งนี้นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผลกับคนที่เกิดมามีชีวิตเดนตายอย่างฉัน .. ฆ่า.. รับเงิน..ซ่อนตัว วัฎจักรในชีวิตฉันก็มีเพียงเท่านี้
ฉันกำลังใคร่ครวญคิดถึงใครหลายคนซึ่งถูกฉันสังหาร บางคนฉันไม่รู้จักชื่อพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ใครจะสนล่ะ ฉันเป็นนักฆ่าแค่มาฆ่าตามที่ได้รับว่าจ้าง รับเงินแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย.. ชีวิตวนเวียนอยู่กับกลิ่นคาวเลือด กลิ่นแห่งความตายและเสียงร้องโหยหวนร้องขอชีวิตจากเหยื่อรายแล้วรายเล่า
ฉันเล็งปืนใส่หัวพวกเขาลั่นไกปืนฝังลูกตะกั่วไว้ในกะโหลกเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ส่งพวกเขาไปยมโลกอย่างสงบสุข เรียบง่าย เฉียบขาด ไม่มีอะไรน่ากังวลใจ แล้วฉันก็นั่งอยู่ตรงนั้นมองดูศพสักสี่หรือห้านาที..เลือดแดงฉานไหลออกมาจากสมองสวยงามราวกับลาวาพวยพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟ
รายที่เท่าไรแล้วนะ ฉันยกนิ้วขึ้นมานับจำนวนเหยื่อที่ฉันสังหารไป และมันก็หยุดที่เลขยี่สิบสอง ไม่น้อยเลยทีเดียว ฉันอมยิ้มให้กับผลงานตัวเอง ….
สายตากำลังเพ่งมองไปยังชายหนุ่มผมทอง ตาสีฟ้าน้ำทะเล นอนตะแคงอยู่บนพรมสีเขียวเข้ม ลมหายใจรวยริน ดวงตาเปิดโพลงคงนึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมาตายง่ายดายแบบนี้ ดวงตาสีฟ้านั่นจ้องมองมาที่ฉัน ฉันจ้องกลับด้วยแววตาเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านต่อคำสาปแช่งทางสายตา
วันนี้ฉันพลาดเป้าลูกกระสุนนัดเดียวไม่สามารถปลิดชีพพ่อหนุ่มตาสีฟ้าคนนี้ได้ ฉันเดินวนรอบห้องพักหรูของโรงแรมดังกลางเมืองภูเก็ต มือถือปืนซึ่งมีกระบอบเก็บเสียงหมุนเกลียวแน่นอยู่ปลายกระบอบปืน รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่เขายังไม่ตาย แต่เอาเถอะ..ถ้าเหยื่อยังไม่อยากตายง่ายๆก็ต้องเล่นเกมกวนประสาทกับเหยื่อสักหน่อย
“การตายมันไม่ง่ายเลยว่าไหมโจนส์นาธาน” ฉันพูดกับเหยื่อ มือดึงรูปถ่ายครอบครัวของเขาออกมาจากกระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง รูปถ่ายใบนั้นเป็นภาพภรรยากอดแขนสามี ลูกชายอายุประมาณสี่หรือห้าขวบขี่คอพ่อ เบื้องหลังพวกเขาคือหอไอเฟลในกรุงปารีส ทั้งสามฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายเจิดจรัสขานรับกับแสงสีเหลืองส้มรำไรยามพระอาทิตย์อัสดง เป็นภาพที่บ่งบอกว่าเป็นครอบครัวซึ่งอบอุ่นและมีความสุขล้นปรี่จนน่าอิจฉา
ฉันเก็บรูปถ่ายไว้ที่เดิม
แล้วเดินมานั่งไขว้ห้างที่ปลายเตียง..เอียงคอเมียงมองโจนส์นาธานตะเกียกตะกายพาร่างโชกเลือดคลานขยับเขยื้อนจะไปให้ถึงประตูห้องให้ได้ ปากขยับตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ
“ไม่มีประโยชน์หรอกน่าโจนส์นาธาน ไม่มีใครได้ยินเสียงคุณหรอกนะ”
ฉันพูดกับเขาอีกครั้ง พยายามดึงเขาให้หันกลับมาในห้อง และได้ผลโจนส์นาธานหันมาสบตาฉัน ดวงตาฉายแววหวาดกลัว อ้อนวอนขอความเมตตาและแฝงไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ริมฝีปากสั่นระริกบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปทรง….
ฉันเห็นภาพแบบนี้มายี่สิบสองครั้ง โจนส์นาธานคือครั้งที่ยี่สิบสาม..มันเริ่มชินเสียแล้วกับภาพตรงหน้าในลักษณะแบบนี้ ไม่มีอะไรทำให้ฉันเปลี่ยนใจ ไม่มีความสงสาร ไม่มีความเมตตาและเห็นใจ…ฉันใช้ปลายกระบอบปืนลูบไล้บริเวณขาอ่อนแผ่วเบา สัมผัสได้ถึงไอเย็นจากแท่งเหล็กซึ่งแทรกซึมผ่านกางเกงหนังสีดำรัดเปรี๊ยะ ความเย็นของมันทำให้ฉันรู้เสียวซาบซ่านและตื่นตัว ขมบเม้นริมฝีปากก่อนจะตวัดลิ้นสีชมพูลามเลียริมฝีปากบนล่าง
“มันคืองานของฉันน่ะโจนส์นาธาน …ฆ่าคน นั่นแหละงานฉัน” ฉันบอกเขาเพื่อให้เขาได้เข้าใจในสิ่งที่ฉันทำหรืออย่างน้อยเขาจะได้ลงไปบอกยมทูตได้ถูกต้องว่าเขาได้ตายอย่างไร มันคงเป็นการดีถ้าฉันและเขาไม่มีอะไรข้องใจในการกระทำของอีกฝ่าย การได้พูดคุยกับเหยื่อก่อนจะกระชากวิญญาณให้หลุดออกจากร่างถือว่าเป็นเกมอย่างหนึ่งที่เย้ายวนใจฉันอยู่ไม่น้อย
ฉันยังคงจำเหยื่อรายแรกที่ฉันฆ่าได้เป็นอย่างดี ฉันใช้เวลาพูดคุยกับเขาค่อนข้างนาน.. ไม่สิ .. นานพอสมควรก่อนที่ฉันจะลงมือเอามีดบาดคอหอย ฉันนั่งคร่อมหลังเขาดึงผมเพื่องัดคอให้หงายขึ้นจากพื้นจากนั่นก็ค่อยๆบรรจงกรีดมีดทำครัวแหลมคม เชือดคอเขาเหมือนคนที่กำลังเชือดคอไก่ เป็นภาพที่ไม่น่าดูนักหรอก แต่ถ้าเป็นคุณ เชื่อเถอะไม่ช้าไม่นานคุณก็จะทำเหมือนฉัน … หากคุณเคยเป็นผู้ที่ถูกกระทำอย่างโหดร้ายป่าเถื่อนจากใครสักคนที่คุณไว้วางใจ
“ทำ..ทำไม” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นของโจนส์นาธานเอ่ยถามฉัน
“ทำไมน่ะหรือ .. มันเป็นแบบนี้นะโจนส์นาธาน มีคนว่าจ้างฉันให้มาฆ่าคุณ พอฉันฆ่าคุณเสร็จก็ไปรับเงินอีกส่วนที่เหลือ ปิดงานฆ่า ฉันเผ่นแน่บหายเข้ากลีบเมฆ .. พรุ่งนี้เช้าจะมีคนมาพบศพคุณ ตำรวจทั้งโรงพักจะยกโขยงกันมาที่นี่ สืบเสาะหาฆาตกร หลังจากนั้นครอบครัวคุณจะจัดงานศพให้คุณอย่างสมเกียรติจะมีแขกเหรื่อมาร่วมงานศพคุณมากมาย พวกเขาจะตีหน้าเศร้าสร้อย บางคนอาจร้องห่มร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง ร่างไร้วิญญาณของคุณจะถูกยัดลงโลงและถูกหย่อนลงหลุมซึ่งขุดเตรียมไว้อย่างพอเหมาะพอดีกับโลงศพ แขกเหรื่อจะพากันโยนดอกไม้และเศษดินลงหลุมศพ เดินหันหลังจากไป ชื่อของคุณกลายเป็นอดีต และไม่ช้าไม่นานคุณก็เลือนหายไปจากความทรงจำของพวกเขา … จบฉากศิลปะแห่งการตาย คุณลองจินตนาการดูสิว่ามันสวยงามเพียงใด”
ฉันหยุดพูดเพื่อดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ร่างโชกเลือดกระตุกสามครั้ง ดวงตากลอกกลิ้งไปมา เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นกลางหน้าผาก เลือดแดงฉานไหลย้อยออกจากปาก ศิลปะแห่งการตายดูท่าจะทำให้โจนส์นาธานหวาดหวั่นสั่นสะพรึงอยู่ไม่น้อย ฉันเหยียดยิ้มและขยิบตาให้เขา
“ใคร….” โจนส์นาธานกลั่นกรองคำพูดออกจากปากอย่างยากเย็นแสนเข็ญ
“จุ๊ๆ” ฉันยกปลายกระบอบปืนแนบริมฝีปากแล้วเลื่อนลงมาถูคางเล่น
“คุณจะไม่มีทางรู้ว่าคนที่จ้างฉันมาฆ่าคุณเป็นใคร มันเป็นกฎน่ะโจนส์นาธาน คุณต้องเข้าใจตรงนี้ด้วยนะ” ฉันเหยียดยิ้มอีกครั้ง การได้กุมชีวิตใครสักคนไว้ในกำมือมันช่างสนุกสนานและสร้างความจรรโลงใจฉันอยู่ไม่น้อย หากโจนส์นาธานรู้ว่าใครจ้างฉันมาฆ่าเขา คงกระอักเลือดตายก่อนที่ฉันจะเหนี่ยวไกปืนเสียด้วยซ้ำ
“ห้าล้านบาท.. คือจำนวนเงินที่เขาจ้างฉันมาฆ่าคุณ เป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยว่าไหม คุณมีค่าตัวแพงลิบเลย คุณน่าจะดีใจนะ …โอ๋ๆอย่างทำหน้าเบื่อโลกขนาดนั้นสิ เดี๋ยวก็จะได้ลาโลกแล้ว”
ฉันลุกขึ้นก้าวย่างเข้ามาหาเขา นั่งยองๆข้างร่างโจนส์นาธานที่สั่นเทา จ่อปลายกระบอบปืนเข้ากลางหน้าผากเขาและลั่นไกลูกตะกั่วเจาะทะลุทะลวงเข้าสมอง ร่างไร้วิญญาณนอนแน่นิ่ง ฉันยืนมองรูโว่กลางหน้าผากของเหยื่อรายที่ยี่สิบสามด้วยความรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ทรมาน ฉันส่งเขาไปอยู่ในที่ที่สมควรอยู่ จบสิ้นงาน..ปลอดโปร่งและโล่งใจ
ฉันกระซิบข้างหูเขาแผ่วเบาและนุ่มนวลที่สุด
“คนที่จ้างฉันให้มาฆ่าคุณคือผู้หญิงในรูปถ่ายใบนั้น”
ฉันดึงผ้าห่มบนเตียงมาคลุมศพ ยืนสวดมนต์ให้เขาเล็กน้อย อันที่จริงฉันกำลังสวดมนต์ให้ตัวเองเสียมากกว่า คนตายไปแล้วจะรับรู้อะไร …. ฉันวางโปสการ์ดแหลมพรหมเทพไว้ข้างกระเป๋าสตางค์ และเดินออกจากห้อง หลบหลีกมาทางบันไดหนีไฟและออกมาทางด้านหลังโรงแรม มันเป็นตรอกเล็กๆมืดมิดและมีกลิ่นเหม็นเน่าจากกองขยะ
ฉันดึงวิกผมสั้นสีน้ำตาลโยนลงถังขยะ เดินออกจากตรอกเน่าเหม็นวิ่งข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้าม เดินเข้าไปอีกซอยหนึ่งก่อนจะลัดเลาะมาโผล่อีกซอย..รูดซิปเสื้อเจ๊กเก็ตหนังซึ่งใหญ่กว่าตัวฉันสองไซส์ ถอดมันออกแล้วโยนลงถังสังกะสีที่ชาวบ้านกำลังจุดไฟเผาเศษกระดาษเศษกิ่งไม้ ถอดคอนเทคเลนส์สีน้ำตาลทิ้งลงท่อระบายน้ำ
สาวเท้าก้าวเดินฉับๆเลียบริมฟุตปาธเพื่อรอคอยบางอย่าง และไม่ถึงห้านาทีสิ่งที่รอคอยก็มา เด็กแว้นขับมอเตอร์ไซค์รุ่นดัดแปลงท่อไอเสีย โครงสร้างของรถมีแต่ซากเหล็กซึ่งไม่ห่อหุ้มพลาสติกเปลือกนอกเอาไว้ สวมหมวกกันน็อคแบบเต็มใบปิดบังใบหน้ามิดชิด ฉันมองดูอย่างไม่แน่ใจว่าจะใช่คนส่งของหรือเปล่า
แต่ก็คงใช่เด็กแว้นจอดรถข้างฉัน ล้วงมือลงไปในกระเป๋าดึงถุงผ้าสีดำขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ฉัน ฉันยื่นมือไปรับ และเมื่อส่งของเรียบร้อยเด็กแว้นเร่งเครื่องยนต์ตะบึงรถหายเข้าไปในซอยเล็กซึ่งอยู่ถนัดไป แสงไฟสลัวริมทางทำให้ฉันมองเห็นแผ่นหลังเขาไวๆและไม่นานก็ลับหายไปในความมืดมิด
ฉันไม่รู้ว่าเด็กแว้นคนนั้นเป็นใคร เช่นเดียวกับที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร ไปทำอะไรมา เด็กแว้นพวกนี้มีหน้าที่เพียงส่งของให้เหล่านักฆ่า ห้ามพูด ห้ามถามแค่มาส่งของแล้วจากไป ใครผิดกฎหากไม่ตายเป็นวิญญาณเฝ้าถนนก็กลายเป็นคนพิการแบบพูดไม่ได้ทันที
ฉันเทของบางอย่างออกจากถุงผ้า ในนั้นมีกุญแจเพียงดอกเดียว ฉันเก็บกุญแจยัดใส่กระเป๋ากางเกงแล้วโยนถุงผ้าลงคลองน้ำเน่า โบกรถมอเตอร์ไชค์รับจ้างให้ไปส่งที่กรีนวิลล่ารีสอร์ท
ไม่ถึงยี่สิบนาทีฉันมายืนอยู่ทางเข้ารีสอร์ทซึ่งมีต้นลีลาวดีสี่ต้นปลูกอยู่หน้าทางเข้า ดอกสีขาวร่วงหล่นลงพื้นซีเมนต์ ฉันเดินสวนกับคู่รักต่างชาติซึ่งกำลังยืนกอดจูบอยู่ในมุมมืดๆมุมหนึ่ง ใช้ร่มเงาของต้นไม้เป็นที่กันบัง ฉันเหลือบไปมองแบบไม่สนใจก่อนจะรีบสาวก้าวเดินมุ่งหน้าเข้าไปภายในรีสอร์ท เห็นห้องพักสองสามห้องยังเปิดไปสว่างจ้า ฉันเดินหลบหลีกแสงไฟเดินอ้อมอาคารสำนักงานที่เตรียมไว้สำหรับต้อนรับลูกค้า มุ่งไปอีกทางที่ไม่ใช่จุดห้องพักของลูกค้า มันเป็นเส้นทางแคบๆซอยมืดมิด ตลอดทางเดินโรยด้วยกรวดหินสีขาวและมีหมากเหลืองปลูกยาวตลอดริมทางเดิน เดินมาไม่นานก็เจอบ้านไม้ชั้นเดียว หลังคาทรงปั้นหยา
หยุดอยู่หน้าประตูไม้เกาะสลัก และเคาะประตูบ้านสามครั้ง
“รหัส” ทุ้มเสียงห้วนๆฟังดูไม่เป็นมิตรตะโกนออกมาจากในบ้าน
“ไปตายซะ ถ้าไม่เปิดประตูภายในหนึ่งนาที” ฉันพูดรหัสออกไป และรู้สึกอยากบีบคอชาร์ล็อตนัก ที่คิดประโยคตั้งรหัสบ้าบอให้ และเขาดันคิดว่ามันตลกขบขันดีถ้าฉันเป็นคนพูดรหัสนี้ออกมา
เสียงปลดล็อคประตูดังขึ้น และประตูก็เปิดออก ฉันเห็นชายผิวสีรูปร่างสูงใหญ่ หนังศีรษะล้านเตียน หน้าตาและท่าทางเบื่อโลก เขาใส่เสื้อยืดสีแดงภาพบนเสื้อยืดคือรูปหัวกะโหลกปากคาบบุหรี่และมีหูฟังแนบอยู่ข้างหู
“เสื้อสวยดีนะ” ฉันเอ่ยชม .. เขาทำหน้าเหมือนจะยิ้ม แต่ยังไม่ยิ้มเหลียวมองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะปิดประตูและเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ข้างประตู ซึ่งมีปืนไรเฟิลวางพิงอยู่ข้างเก้าอี้
ฉันเดินไปเปิดประตูห้องซึ่งอยู่ด้านหลังของหนุ่มผิวสี ในห้องนั่นว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย มีเพียงตู้เสื้อผ้าเก่าๆมีรอยขีดข่วนจากของมีคมอยู่หลายจุด มันตั้งเด่นอยู่กลางห้อง
....