"เข้าใจปฏิจสมุปบาท" ไปตามสภาพความเป็นจริงของพุทธบัญญัติ

เห็นหลายคนหลายท่านเอาพุทธบัญญัติไปละเลงแล้วได้แต่ปลงอนิจจังครับ
บางคนตอบนอกลู่นอกธรรม  ตอบด้วยลักษณะของการฟุ้งโวหารที่หาสาระที่เป็นพุทธพจน์ไม่ได้สักคำ

บางคนตั้งกระทู้ถามเหมือนลักษณะลองภูมิ   พอมีคนเข้ามาตอบไปในทางตรงข้ามกับสิ่งที่ตนต้องการ
ก็พาลพาโลด่าทอ  แล้วก็มั่วกล่าวหาว่าตัวเองโดนเพื่อนสมาชิกด่าทอ.....นี้ท่านเรียกเพี้ยนจนกลับตาลปัตรครับ

เกริ่นมาพอสมควรเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า  นั้นก็คืออยากเอาวิชชามาแบ่งปั่น  ใครใคร่รู้ก็เอา  ใคร่ใคร่แย้งก็ตามใจ
สุดแล้วแต่จะเห็นควรครับ

ทั้งหมดทั้งมวลมันต้องเริ่มต้นด้วย  พุทธพจน์เป็นเบื้องต้น อาทิ   ธรรมฐิติ  อิทัปปจยตา ปฏิจสมุปบาท  บุคคล
และสุดท้ายก็ต้องลงเอยที่ธรรมนิยาม   ก็คือลักษณะของพุทธพจน์ที่เอยมานั้น

ธรรมนิยามของธรรมฐิติ   ก็คือ  ความมีอยู่หรือตั้งอยู่แห่งธรรม  และธรรมที่ตั้งอยู่นั้นก็คือ...
อิทัปปจยตา  (ปฏิจสมุปบาท)
บุคคล(กายใจ)

ดูรูปประกอบ...


นี่เรียกว่า   อิทัปปจยตา   ก็คือความเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติทุกอย่าง  อาทิ ฝนตก  แดดออก รุ้งกินน้ำ
ธรรมชาติต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นกฎทางธรรมชาติที่เรียกว่า  อิทัปปจยตา

รูปประกอบ...
.

นี่เรียกว่า  บุคคลหรือกายใจแห่งปัจเจก  ก็คือกายใจของใครของมันไม่เกี่ยวกับคนอื่น


รูปประกอบ.....


เมื่อบุคคลเกิดมาบนโลกใบนี้  ย่อมต้องมาพบกับอิทัปปจยตา  หรือต้องมาตกอยู่ภายในกฏแห่งธรรมชาติ
แต่กฎแห่งธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับตัวเราหรือกายใจของเราโดยตรงท่านเรียกว่า.....ธรรมฐิติ
พูดให้ชัดก็คือการตั้งอยู่ของธรรม  ก็คือกายใจของบุคคลที่อยู่ภายใต้กฎอิทัปปจยตา

แต่ภายใต้กฎอิทัปปจยตาที่เกี่ยวข้องกับกายใจของบุคคลนั้น  มีชื่อหรือบัญญัติเฉพาะก็คือ....ปฏิจสมุปบาท
ดูรูปประกอบ......


ปฏิจสมุปบาทจะทำหน้าที่ก็ต่อเมื่อมีการกระทบที่กายใจหรือที่ทวารรับความรู้สึก
ถ้าไม่มีการกระทบที่ทวารรับความรู้สึก   ปฏิจสมุปบาทก็เป็นเพียงธรรมชาติหนึ่งในอิทัปปจยตา
องค์ธรรมทั้ง๑๒ในปฏิจฯก็ยังไม่เกิด  และขันธ์ห้าในกายใจของบุคคลก็ยังไม่เกิด
เมื่อมีการกระทบที่ทวารเมื่อไร   กระบวนการปฏิจฯก็จะทำหน้าที่ทันทีไปพร้อมกับกระบวนการขันธ์ห้า


ปล.ในรูปที่เป็นทวารทั้งหก  ผมเขียนตกที่เป็นทวารทางตาไปครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่