ความสะดวก ๆ ทุกอย่างเป็นเรื่องของกิเลสจูงสัตวโลกทั้งนั้น

ความสะดวก ๆ ทุกอย่างเป็นเรื่องของกิเลสจูงสัตวโลกทั้งนั้น สัตวโลกไม่รู้ อย่างทุกวันนี้เห็นไหมล่ะ ไปอยู่ที่ไหนโทรศัพท์กับหูนี้จ้อกันอยู่ โอ๋ย ผมดูไม่ได้นะผมสลดสังเวช อย่างนี้เห็นไหม อยู่ที่ไหนยืนอยู่ก็ตามนั่งก็ตาม จ่ออยู่นี้ เราสลดสังเวช นี่ละว่าเพื่อความสะดวก ว่าอย่างนั้นนะ ความยุ่งเหยิงวุ่นวายให้จิตใจขุ่นมัวมั่วสุมเดือดร้อนตลอดเวลา ก็คือสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องส่งเสริมด้วย เวลานี้กำลัง

นี่ละที่ว่าโลกมันสะดวก สะดวกของกิเลส แต่เป็นข้าศึกของธรรมทุกระยะ ๆ ไป พระเราจะรู้ไหมเหล่านี้น่ะ ในวัดในวาจะมีตั้งแต่โทรศัพท์มือถือเต็มบ้านเต็มเมืองนะ ดูซิตั้งแต่รถรานี้ก็ดูซิ อย่างนี้แล้ว เดี๋ยวนี้เป็นยังไงรถรากับกรรมฐานเรา มันกลืนเข้ามาอย่างนี้ให้พิจารณาเอา กลืนเข้ามาเพื่อความสะดวก ๆ มันสะดวกเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ไม่ได้สะดวกเพื่อธรรม นี่คิดทุกแง่ทุกมุม มันหากคิดของมันเองรู้เอง เพราะไม่เคยชินกับสิ่งเหล่านี้ สัมผัสเข้ามามันก็รู้ทันที เหมือนไฟจี้เรา เข้ามาจี้ธรรมรู้ทันที แย็บเข้ามารู้ทันที ไฟจี้เราก็แบบเดียวกัน กิเลสจี้ธรรมก็อย่างเดียวกัน

สติธรรม ปัญญาธรรม มีประจำใจทำไมจะไม่รู้อะไรผิดอะไรถูก ผ่านเข้ามาเท่ากับว่าจี้นั่นเอง มันจะรับทราบกันทันที ๆ ธรรมดาไม่ทราบ ไม่ว่าท่านว่าเราใคร ๆ ก็เหมือนกัน ไม่ทราบ แต่ธรรมชาติของจิตอันนี้มันเป็นของมันเองอย่างนั้น มันทราบตลอด จึงว่าไม่เคยชินกับสิ่งใดตลอดไปเลย เพราะฉะนั้นอะไรผ่านเข้ามามันถึงรู้ได้ชัดเจน ๆ รู้โดยหลักธรรมชาติของมัน ไม่ใช่ว่าเราตั้งหน้าตั้งตาจะรับทราบ จะปัดจะปิดจะป้องอะไรอย่างนี้ไม่นะ มันสัมผัสเข้ามา อันไหนจริงอันไหนปลอมมันก็รู้ทันที ๆ เป็นในหลักธรรมชาติของจิต พูดให้เต็มยศก็คือว่ามันจริงล้วน ๆ แล้ว อะไรปลอมแฝงเข้ามานิดมันก็รู้ทันที ๆ

สิ่งเหล่านี้ใครเคยคิดเคยอ่านไว้เมื่อไร ไม่คิด ผมเองผมก็ไม่คิดนะ ที่ว่ารู้ ๆ เหล่านี้นะ เมื่อมันถึงขั้นเป็นอย่างนั้นแล้ว ใครเป็นมันก็รู้ด้วยกันนั่นแหละ ไม่ต้องมีใครบอกใครสอน มันจะรู้อย่างเดียวกันนี้เป็นประจักษ์ในตัวเอง จึงเห็นได้ชัดว่า ธรรมนี้ละเอียดมากสุดยอดเลย กิเลสจะละเอียดแหลมคมขนาดไหน มันเป็นความสกปรกโสมม เป็นสิ่งที่หยาบโลนกระทบกระเทือนหนักต่อธรรมทั้งหลายมาตลอดอย่างนี้ ทีนี้เมื่อจิตไม่มีธรรมเข้าภายในใจ จิตกับกิเลสก็เป็นอันเดียวกันเสีย เลยไม่ทราบว่าอันใดถูกอันใดผิด มันกลายเป็นหลังหมีดำไปหมดเลย จิตทั้งดวงเป็นหลังหมีดำไปเลย ไม่มีด่าง ๆ ดาว ๆ พอจะทราบว่า ตรงจุดนั้นดำจุดนี้ขาว จิตมันดำไปหมดก็เป็นอย่างนั้น

เมื่อมันได้เป็นเต็มสัดเต็มส่วนของจิตดวงนั้นธรรมชาตินั้นแล้ว คือธรรมกับจิตเมื่อพูดให้เต็มยศแล้ว จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันเลย จะแยกไปไหนไม่ได้ นั้นละเมื่อถึงขั้นนั้นแล้วมันจะรู้ทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่ากิเลสจะละเอียดขนาดไหน มันก็มีความหยาบในตัวของมัน เรียกว่ากระทบกระเทือน เหมือนไฟมาจี้เรา จะละเอียดขนาดไหนจี้มันก็เจ็บแปล๊บ ๆ นี่กิเลสจะละเอียดขนาดไหนก็เหมือนไฟจี้ จี้ธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม รักษากันอยู่ รู้โดยหลักธรรมชาติ ๆ อย่างนี้เรื่อยมา

การปฏิบัติภาวนาเคยสอนหมู่เพื่อนให้มีความแม่นยำต่องานการของตน วิธีการตั้งรากฐานจิตใจให้มีความสงบไม่ได้ เนื่องจากเราจับจด ไม่จริงไม่จังกับงานของตัวเองที่ทำ ถ้าจริงจังแล้วต้องได้ไม่สงสัย เช่นอย่างให้ฝึกหัดภาวนา คำบริกรรมเป็นเครื่องกำกับจิตเพื่อจะตั้งรากฐานของจิตให้มีความสงบขึ้นไปโดยลำดับ ๆ นี้ จะตั้งได้ด้วยคำบริกรรมภาวนา ถ้าปล่อยให้จิตกำหนดรู้เฉย ๆ นี้ไม่ได้เรื่องนะ รู้มันก็รู้ในเวลาตั้งใจ พอเผลอแพล็บเดียวออกรู้สิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสไปแล้ว มันก็กลายเป็นกิเลสไปหมดล่ะซี แต่ตั้งคำบริกรรมด้วยความบังคับบัญชาหนาแน่น มีสติกำกับตลอดเวลา อย่างนี้แน่นอนว่าจิตต้องสงบได้ เป็นอื่นไปไม่ได้ ว่าอย่างนี้เลยนะ

เพราะนี้ได้เคยฝึกเจ้าของแล้ว ตอนที่มันมารู้จริงรู้จัง เอาจริงเอาจังกันก็ตอนที่จิตเจริญแล้วเสื่อม ๆ มาได้ปีกว่า ๆ จึงได้มาพิจารณาตั้งกฎใหม่ขึ้นมาใส่ตัวเอง เราพยายามเท่าไรเจริญขึ้นไปได้สองสามวันเสื่อมลงต่อหน้าต่อตา แล้ว ๑๔-๑๕ วันถึงจะฟื้นขึ้นมาได้ ๑๔-๑๕ วันเราแทบเป็นแทบตายนะ ทุกข์ทรมานมาก แล้วขึ้นไปพอสงบเย็นใจบ้าง สองสามวันเท่านั้นเสื่อมลงต่อหน้าต่อตา เป็นอย่างนี้ ๆ ตลอดมาได้ปีกว่า ๆ จิตผมเสื่อมตั้งแต่เดือนพฤศจิกาปีนี้ เดือนพฤศจิกาปีหน้าผ่านไปจนกระทั่งถึงเดือนเมษานานไหมคิดดูซิ นี่ละที่ตกนรกทั้งเป็น

ก็กำหนดเอาจิตเฉย ๆ กำหนด ๆ จิตเฉย ๆ มันก็เป็นให้เห็นอยู่อย่างนี้ จึงทำให้เกิดความสงสัย มันอาจจะเป็นเพราะการตั้งจิตเอาเฉย ๆ มีสติกำกับจิตนี้ มันอาจจะเผลอไปตอนใดตอนหนึ่งก็ได้ ทีนี้เราจะตั้งคำบริกรรม เอาคำบริกรรมเป็นหลักเป็นกฎเกณฑ์เลย ให้จับกับคำบริกรรมนี้ด้วยสติตลอดเวลา เอาทีนี้มันจะเผลอไปที่ไหนก็ให้รู้ นี่ละตอนมาได้เหตุได้ผลกัน ทีนี้ก็ตัดสินใจลงเลยว่า ทีนี้มีคำบริกรรมเป็นรากฐานอันสำคัญตั้งปักไว้เลยด้วยคำบริกรรม แต่ว่าตั้งจริง ๆ นะนิสัยมันจริงจังมาก

พอตั้งความสัตย์ความจริงลงไปแล้วก็เหมือนกับหินหักเทียวนะ ไม่ให้มีเงื่อนต่อกันเลย ต้องจริงจังอย่างนั้น ทีนี้เอา พุทโธ จะเผลอไปไม่ได้มันจะเป็นยังไง ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับจะไม่ยอมให้มันเผลอเลย เคลื่อนไหวไปมาที่ไหนสติกับคำบริกรรมต้องให้ติดแนบ ๆ ตลอดเวลา ๆ อย่างนี้ ถึงขนาดนั้นนะ ตั้งขนาดนั้นละ เรื่องจิตว่าเสื่อมว่าเจริญนั้นปล่อยหมดแล้ว เพราะความอยากไม่ให้มันเสื่อม มันก็เสื่อมต่อหน้าต่อตา อยากให้เจริญมันก็ไม่ได้เจริญ มันไม่ได้สมหวังทั้งสองอย่าง

คราวนี้จะเอาสิ่งสมหวังจากพุทโธ คำบริกรรมอย่างเดียว จิตจะเสื่อมให้เสื่อมไป จิตจะเจริญให้เจริญไป ไม่เป็นอารมณ์ยิ่งกว่าคำบริกรรม อันนี้จะเสื่อมไปไม่ได้ จะสูญไปจากสตินี้ไปไม่ได้ ตั้งกึ๊กลงไปนี้ เอาละที่นี่หายห่วง จิตจะเจริญหรือเสื่อมปล่อยเลยเทียว มีแต่คำบริกรรมจะไม่ให้เสื่อม ให้อยู่กับพุทโธ ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่