ซอมบี้ถล่มเมือง .... บทที่ 2

กระทู้สนทนา
บทที่ 1  http://pantip.com/topic/35548412



ซอมบี้ถล่มเมือง .... บทที่ 2
==========



“เร็วๆเข้าหน่อย เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก”  


หญิงสาวผมสั้นประบ่าในชุดนักศึกษานั่งค่อมมอเตอร์ไซค์สตาร์ทเครื่องติดไว้ แหกปากตะโกนเรียกน้องชาย ใกล้จะแปดโมงแล้วแต่ยังไม่เห็นน้องชายตัวเองโผล่หัวออกมาจากบ้านเสียที คนรอคอยเริ่มอารมณ์เสีย เมื่อตะโกนแล้วไม่เป็นผลเธอจึงกดแตรเรียกซ้ำ

เช้านี้เธอตั้งใจจะไปให้ถึงมหาวิทยาลัยก่อนเวลาเรียนหนึ่งชั่วโมงเพราะมีงานที่ทำค้างไว้ ตั้งใจจะไปทำต่อที่มหาวิทยาลัย ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนจะได้ถามเพื่อนไปด้วย แต่ดูท่าวันนี้คงจะไปสายอีกเช่นเคยเพราะน้องชายตัวดีทำตัวชักช้า ไหนต้องขับรถไปส่งน้องที่โรงเรียนแล้วถึงจะขับรถไปมหาวิทยาลัย และในเมื่ออีกคนไม่ได้รีบร้อนไปโรงเรียนจึงพลอยทำให้พี่สาวเริ่มหงุดหงิดและพาลโมโหน้องชายที่ทำอะไรไม่ได้ดังใจเอาเสียเลย

“ชักช้าอืดอาดอยู่ได้ ชาติที่แล้วเป็นเต่าหรือไง ชาตินี้ถึงทำตัวเชื่องช้าเป็นเต่าเฒ่าแบบนี้”  หญิงสาวค้อนใส่น้องชายทันทีที่เห็นเขาเดินออกมาจากบ้าน

“ข้าศึกโจมตีอะพี่แนน” เด็กชายในชุดนักเรียนมัธยมต้นเดินสะพายเป้ออกมาจากบ้านรีบพูดแก้ต่างให้ตัวเอง

“ขึ้นรถเร็วๆพี่ยิ่งรีบอยู่”

และเหมือนอีกฝ่ายต้องการแกล้งกลับยิ่งบอกว่ารีบยิ่งทำตัวเชื่องช้า

“เอ่อ ผมลืมสมุดวิทย์น่ะ ขอเข้าไปเอาในบ้านแป๊ป วิชานี้ลืมไม่ได้เลยนะครูโหดมากขอบอก” พูดจบก็วิ่งหายเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็วโดยไม่รอฟังว่าพี่สาวจะโต้ตอบกลับมาอย่างไร

“ไอ้กันต์….” พี่สาวได้แต่แยกเขี้ยวตะโกนไล่หลังน้องชายด้วยอารมณ์โมโห

กันต์วิ่งกลับมาพร้อมสมุดที่ถืออยู่ในมือรู้สึกสนุกอยู่ไม่น้อยที่ได้แกล้งพี่สาวเล่น นึกอยากหาอะไรมาป่วนให้พี่สาวไปมหาวิทยาลัยสาย แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นแววตาและท่าทางอารมณ์กำลังเดือดได้ที่ ไม่เสี่ยงโดนทิ้งให้เดินไปโรงเรียนดีกว่า คิดได้แบบนี้ก็รีบปิดประตูรั้วหน้าบ้านใส่กลอนล็อกไว้ แล้วกระโดดขึ้นมาซ้อนท้ายพี่สาวอย่างรวดเร็ว

“แม่บอกว่าคืนนี้แม่อาจจะกลับบ้านดึกนะ แม่จะไปช่วยงานศพป้าปิ่น แม่บอกให้พี่หาซื้อกับข้าวมาทำกินเอง” กันต์ตะโกนบอกพี่สาวแข่งกับสายลมที่พัดเข้ามาปะทะหน้า

“อืม..” แนนตอบรับสั้นๆบิดคันเร่งเครื่องด้วยความเร็วที่น้องชายเองก็ตกใจจนต้องกอดเอวพี่สาวไว้แน่นเพราะกลัวจะหงายหลังตกรถ และเพียงไม่นานรถมอเตอร์ไซค์ก็มาจอดหน้าโรงเรียนเป็นเวลาเหมาะเจาะที่เด็กนักเรียนกลุ่มใหญ่เริ่มทยอยไปเข้าแถวหน้าเสาธง

เด็กนักเรียนอีกกลุ่มหนึ่งต่างพากันวิ่งกรูเข้าโรงเรียนด้วยความรีบร้อน เพราะเห็นเพื่อนๆไปยืนเข้าแถวหน้าเสาธงกันเรียบร้อยแล้ว พวกที่มาสายจึงตาเหลือกวิ่งแบบลืมแม้กระทั่งยกมือไหว้ครูที่ยืนต้อนรับอยู่ประตูหน้าโรงเรียน

แนนมองดูน้องชายวิ่งหอบกระเป๋าเข้าโรงเรียนอย่างเอือมระอา เธอส่ายหน้า ก่อนจะหันมาประนมมือไหว้ครูแทนน้องชาย

“ขับรถดีๆนะจ้ะ” ครูผู้หญิงสูงวัยรับไหว้และให้พร
  
แนนกล่าวขอบคุณและทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบคุณครูด้วยความสนิทชิดเชื้อครั้งหนึ่งหญิงสาวเคยเป็นนักเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ครูหลายท่านจึงรู้จักเธอดี ยกมือไหว้ครูอีกครั้งก่อนที่จะขับรถพุ่งหน้าไปมหาวิทยาลัย

ขับรถมาไม่ถึงยี่สิบนาทีแนนหรือจิรนันท์ก็มายืนอยู่ใต้ตึกคณะนิติศาสตร์ เธอสาดส่องสายตามองหากลุ่มเพื่อน แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งเธอไม่เคยเห็นเขามาก่อนอาจจะเป็นเพราะความหล่อเหลาคมคายของเขาทำให้เธอต้องหยุดชะงักจนเผลอหันไปมองแบบไม่ตั้งใจ

เห็นเขากำลังยืนคุยกับอาจารย์ในคณะ ราวกับรับรู้ว่ามีใครกำลังมอง ชายหนุ่มหันมาสบตากับหญิงสาวเข้าพอดี และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่แนนมองเห็นกลุ่มเพื่อนๆ ซึ่งนั่งรวมตัวกันอยู่โต๊ะม้าอินอ่อนถัดไปเพียงเล็กน้อย เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปหากลุ่มเพื่อนโดยไม่หันมามองเขาอีก เพราะรู้สึกร้อนวูบที่ใบหน้าจนไม่กล้าหันมา



“ดีใจวะที่แกแวะมาหาข้า ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยว่าง งานยุ่งมากจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆก็หาเวลาไม่ได้เลย”  พิสุทธิ์กำลังยืนพูดกับเพื่อนอยู่ใต้ตึกคณะที่ตนเองสอนอยู่ มือเอื้อมไปตบไหล่ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า พิสุทธิ์ดีใจจนบอกไม่ถูกที่ได้เจอเพื่อนเก่าในวันนี้ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่ได้เจอกัน มีติดต่อกันบ้างทางโทรศัพท์แต่ก็นานๆที เพราะเมื่อเรียนจบต่างคนต่างแยกย้ายไปทำงานของตัวเอง จนไม่มีเวลาได้เจอกันเลย

“ข้าขับรถผ่านมาทางนี้พอดี และได้ข่าวว่าแกมาสอนที่มหาลัยฯนี้เลยแวะมาทักทาย .. ดีใจที่ได้เจอแกเช่นกันวะ เอ้านี่ข้าแวะซื้อส้มมาฝาก ยังชอบกินเหมือนหรือเปล่าวะ”

อินทัชยื่นถุงส้มที่เขาเพิ่งแวะซื้อตรงปากซอยก่อนถึงมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มขับรถผ่านร้านขายผลไม้ไปแล้ว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนคนนี้ชอบกินส้ม อินทัชจึงจอดรถข้างทางแล้วเดินย้อนกลับมาซื้อส้มในร้านผลไม้ที่ตนเพิ่งขับผ่านไปเมื่อครู่

“ของโปรดเลย.. ขอบใจที่ซื้อมาฝาก แต่นี่แกคงไม่ได้คิดแวะมาทักทายข้าอย่างเดียวล่ะสิ ..จะมาถามเรื่องฝนด้วยใช่ไหมล่ะ” พิสุทธิ์ทำเสียงล้อเลียนกลั้นเสียงหัวเราะไว้ในลำคอ ชายหนุ่มรู้จักเพื่อนคนนี้ดีจะมีเรื่องไหนที่เขาจะอยากรู้มากไปกว่าเรื่องของแฟนเก่า

อินทัชสะดุ้งไม่คิดว่าเพื่อนจะจี้เข้าประเด็นที่เขาต้องการรู้จริงๆ อินทัชอ้ำอึ้งคิดจะเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นแต่ก็คงจะปกปิดเพื่อนคนนี้ไม่ได้ สุดท้ายเลยต้องยอมจำนนต่อความรู้สึกภายในใจตัวเอง  ใบหน้าหญิงสาวชื่อฝนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแฟนเขาผุดขึ้นมาในหัว เขายังจำฝนได้ดีแม้ไม่ได้เจอเธอมาเกือบหกปีแล้วก็ตาม

เขากับเธอเคยสัญญากันไว้ว่าหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยทั้งสองจะแต่งงานกัน แต่แล้วคำสัญญานั้นก็กลายเป็นโมฆะ เมื่อฝนเดินเข้ามาบอกเลิกเขาในวันรับปริญญา อินทัชไม่โทษเธอที่ตัดสินใจบอกเลิก เพราะเขาเองที่เป็นสาเหตุทำให้ความรักมาถึงทางตัน

เมื่อตอนอยากได้เธอมาเป็นแฟนเขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อเธอ..เรียกได้ว่าเป็นช่วงโปรโมชั่น แต่เมื่อเวลาผ่านไปสองปีสามปี เขาเปลี่ยนไปมีข้ออ้างมากมายเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะไม่ไปไหนกับเธอ กล่าวหาว่าเธอเรียกร้องจากเขามากเกินไป และเขาไม่สามารถทำตามที่เธอต้องการได้ทุกอย่าง อินทัชอยากมีเวลาได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆบ้าง แต่ในจุดนี้เขาลืมนึกไปว่าเขาไม่มีเวลาให้กับเธอเลย เริ่มละเลยและไม่ใส่ใจ หลงลืมวันเกิดของเธอปีแล้วปีเล่า ทั้งที่เธอจำวันเกิดของเขาได้ไม่เคยลืม

และทุกครั้งที่ถึงวันเกิดเขา เธอจะเตรียมของขวัญไว้ให้เสมอ หรือบางครั้งเธอก็จะเป็นคนทำเค้กมาให้ แต่เขากลับลืมและเบี้ยวนัดเธออยู่บ่อยครั้ง เพราะเขามัวแต่เอาเวลาที่ใกล้จบการศึกษาไปสังสรรค์เฮฮากับเพื่อน โดยบ่อยให้เธออยู่คนเดียว

อินทัชคิดมาเสมอว่าเธอรักเขาและคงไม่มีวันที่เธอจะทิ้งเขาไปได้ แต่สิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดก็มาถึง เมื่อเธอเดินมาบอกเลิกและนับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยได้เจอเธออีกเลย ได้ข่าวจากพิสุทธิ์อีกทีก็เมื่อเธอบินไปเรียนต่อที่อเมริกา

“แล้วฝนเป็นไงบ้างล่ะ สบายดีหรือเปล่า”

พูดออกไปในใจก็เริ่มสั่นไหวจะทำใจให้ปลอดโปร่งได้อย่างไร เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้ทำกับเธอไว้สิ่งนั่นมันย้อนกลับมาสร้างความเจ็บปวดให้เขาเอง เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แต่ก็แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว นึกอยากให้เธอกลับมาด่ามาต่อว่าเขาอย่างที่เธอเคยทำแต่ทุกอย่างมันก็สายเกินไป คงเหลือไว้เพียงความทรงจำและความรู้สึกดีที่เขามีให้เธอ ถ้าเพียงรู้แค่ว่าเธอสบายดีและมีความสุขเพียงแค่นี้เขาก็สุขใจแล้ว

“ฝนสบายดี เรียนจบป.โทแล้ว และสัปดาห์หน้าก็จะกลับเมืองไทย” พิสุทธิ์ผู้เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องกับฝน แจ้งบอกข่าวคนรักเก่าของเพื่อน ใจจริงพิสุทธิ์อยากบอกเรื่องนี้กับอินทัชหลายวันแล้ว แต่ก็ยุ่งจนลืมโทรหาและเมื่อเห็นเพื่อนมาหาที่มหาวิยาลัยแบบนี้ก็ตั้งใจจะบอกเรื่องราวเกี่ยวกับฝนให้เพื่อนได้รู้เสียที

อินทัชดีใจจนบอกไม่ถูกนานเหลือเกินที่เขาไม่ได้เจอกับฝน แต่อีกใจกลับรู้สึกหวาดหวั่นถ้าเธอไม่อยากเจอเขาอีกล่ะ และถ้าเธออยากเจอเขาแล้วเขาเองจะกล้าไปเผชิญหน้ากับเธอไหม พอนึกถึงตรงนี้แล้วก็ต้องระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ ควรถอยออกมาให้ห่างน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“ฝนจะกลับมาแต่งงานน่ะ” พิสุทธิ์พูดต่อ โดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากถามเขา ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้แต่ไม่ได้บอกเสียที เมื่อได้พูดออกไปก็ถึงกับทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอกเหมือนแบกอะไรมานานและเพิ่งได้รับการปลดปล่อย

คำบอกกล่าวต่อมาของพิสุทธิ์ทำให้อินทัชรู้สึกเจ็บแปลบๆบริเวณอกข้างซ้าย ตัวชาและหูอื้ออึงไปหมด รู้สึกเจ็บจี๊ดๆทั้งที่เธอกับเขาก็เลิกรากันไปนานแล้ว หรือว่าในใจลึกๆของเขายังคงรักผู้หญิงคนนี้ไม่เปลี่ยนแปลงแต่มารู้ตัวว่ารักในวันนี้ก็สายไปแล้ว

อินทัชคิดทบทวนเรื่องราวในอดีต เขาเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนต่อว่าเธอ กล่าวหาเธอว่าเปลี่ยนแปลงไป เรียกร้องเสียทุกอย่าง เอาแต่ใจตัวเอง ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นเขาเองต่างหากที่ไม่เหมือนเดิม เขาไม่ได้ปฏิบัติต่อเธออย่างเช่นที่เคยทำ วันเวลาผ่านไปเขากลับมองเธอเป็นของตาย อินทัชนึกแล้วก็อยากด่าตัวเอง เขามีสิ่งที่งดงามอยู่ในมือแต่เขากลับไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้

“ฝากความยินดีไปให้ฝนด้วยนะ ฉันดีใจที่เห็นฝนมีความสุข และได้แต่งงานกับคนที่ฝนรัก” อินทัชพูดในสิ่งที่ใจคิดไม่ใช่พูดไปเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกเจ็บปวด เป็นคำพูดที่มาจากก้นบึ้งในหัวใจของเขาจริงๆ แค่เห็นคนที่รักมีความสุขเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

“นายยังรักฝนอยู่ใช่ไหม”

“รัก..เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน แต่ความรักของฉัน แค่เห็นฝนมีความสุขฉันก็มีความสุขแล้ว”

พิสุทธิ์ตบไหล่เพื่อนเบาๆ เขาเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนทุกอย่าง เขาเป็นคนกลางรับรู้เรื่องราวของทั้งสองอยู่ตลอดเวลา จึงไม่อาจจะกล่าวโทษว่าใครเป็นคนผิด และรู้เสมอว่าอินทัชยังรักฝนอยู่

“ดีใจที่เห็นแกยิ้มได้เสียทีกับเรื่องของฝน ที่แกกับฝนต้องเลิกกันไม่ใช่เพราะแก เลิกโทษตัวเองได้แล้วเรื่องมันผ่านไปนานแล้ว เก็บไปคิดก็มีแต่ทุกข์ ในวันนี้ทุกคนต่างมีเส้นทางชีวิตเป็นของตัวเอง แล้วเลิกสร้างกำแพงมาปิดกั้นตัวเองเสียทีฉันอยากให้แกหาใครสักคนมาอยู่เคียงข้าง”

“ขอบใจมากวะเพื่อน”
  
อินทัชตื้นตันใจกับคำปลอบโยนของเพื่อนจนไม่รู้จะทำอย่างไรจึงโน้มตัวไปโอบกอดเพื่อน

“เฮ้ย .. ปล่อยๆไอ้บ้า ลูกศิษย์ข้าเห็นหมด อายโว้ย” พิสุทธิ์พยายามใช้มือดันตัวเพื่อนออกให้ห่างๆ แต่ยิ่งห้ามก็ยิ่งอีกคนก็อยากแกล้งกลับอินทัชกระชับวงแขนกอดแน่นขึ้น เป็นผลให้นักศึกษาหลายคนเริ่มหันมามองอาจารย์พิสุทธิ์และก็พากันอมยิ้ม บางคนถึงขนาดส่งเสียงหัวเราะออกมา

แนนสะกิดแขนเพื่อนให้หันมาดูภาพอาจารย์พิสุทธิ์กำลังถูกผู้ชายอีกคนยืนกอด รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นมุมปาก ก้มหน้าไปกระซิบข้างหูเพื่อนเบาๆ

“หรือว่าอาจารย์พิสุทธิ์แกจะเป็นเกย์”

“ไม่น่าจะใช่นะ ดูแกก็มาดแมนทั้งสองคนอยู่นะ” เพื่อนอีกคนตอบกลับมา แต่สายตายังไม่ละจากภาพชายหนุ่มยืนกอดกัน

“ก็ไม่แน่นะแก เดี๋ยวนี้ผู้ชายจริงๆดูยากจะตาย บางคนก็มาดแมนแต่พอเอาเข้าจริง ใช่ซะงั้น…ยิ่งหล่อๆแบบนั้นยิ่งน่าคิด แบบว่าหล่อยากสวย ฮ่าๆ” แนนปิดท้ายด้วยประโยคที่ทำให้กลุ่มเพื่อนหัวเราะก๊าก เสียงหัวเราะดังเสียจนสองหนุ่มที่ตกเป็นเป้านินทาต้องหันมาดูที่มาของเสียงหัวเราะ

พิสุทธิ์รีบผลักเพื่อนออกจากตัว

“เห็นไหมล่ะ ลูกศิษย์กูไม่คิดว่าเราเป็นคู่เกย์กันแล้วหรือ”

“ล้อเล่นนิดเดียวน่าเพื่อนทำเป็นซีเรียสไปได้…งั้นข้าขอตัวกลับบ้านก่อน”

“อ่อ…เย็นนี้เลิกงานแล้วจะแวะไปหาที่บ้าน เตรียมเหล้าไว้เลี้ยงข้าเลยนะ”

“จะเตรียมไว้ให้แกกินแบบเมาหัวทิ่มเลย ไปละ” อินทัชยกมือบอกลาเพื่อน แล้วเดินมาที่รถตัวเองซึ่งจอดอยู่ข้างคณะ


……
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่