ทำไมต่างประเทศ(บางประเทศในยุโรป)ถึงรถไม่ติด??


ทุกองค์ประกอบต้องมีความสัมพันธ์กันในเชิงกายภาพ เช่น โครงข่ายถนนจะต้องได้รับการออกแบบให้เชื่อมต่อกันได้ทั่วทั้งชุมชน ซึ่งจะทำให้โครงข่ายทางเดิน ทางจักรยาน และเส้นสายของระบบขนส่งมวลชนเชื่อมต่อกันด้วย หรือลักษณะการออกแบบถนนแบบสมบูรณ์ต้องใช้หลักการ Universal Design ซึ่งทุกคนสามารถใช้ร่วมกันได้ ตัวอย่างเช่น การออกแบบทางเท้าและทางจักรยานให้มีทางลาด (ramp) จัดทำส่วนโค้งของทางเดินและถนน (Curb extension) ให้เป็นที่จอดรถขนส่งมวลชนและรถยนต์ การยกระดับถนนบริเวณสี่แยกหรือสามแยก (Cross intersection) การยกระดับทางข้ามและทางเท้าด้านหน้ากลุ่มอาคารสำคัญเพื่อลดความเร็วของยวดยาน (Traffic calming) เป็นต้น

ส่วนการบูรณาการระบบบริหารจัดการเมือง ได้แก่
-การวางผังกำหนดให้มีถนนปลอดภัยจากชุมชนไปยังโรงเรียน (Safe Route to School)
-หรือการออกข้อกำหนดการจราจรให้สนับสนุนโครงสร้างและระบบขนส่งมวลชนสีเขียว
-หรือการจัดสร้างระบบภาษีท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนทางการเงินแก่ระบบการขนส่งมวลชน เป็นต้น
ขอบุณขอมูลดีๆ (อ้างอิงโดย นักวิชาการผังเมือง อ.ฐาปนา บุณยประวิตร )
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
ผมอยู่เบอร์ลิน เยอรมันนี
เมืองหลวงที่ประชากรประมาณสามล้านกว่า ๆ

แทบจะไม่เคยมีปัญหากับการจราจรติดขัดครับ
จะมีการติดขัดบ้างก็ในช่วงวันหยุดยาวที่คนมุ่งหน้าออกต่างจังหวัด
หรือกรณีมีอุบัติเหตุในจุดนั้น ๆ

ในช่วงเช้าและช่วงเย็นเลิกงาน แม้ว่ามีการจราจรหนาแน่น
แต่ก็ไหลไปได้เรื่อย ๆ ไม่เสียเวลาติดแหง่กนานเป็นชั่วโมงแน่นอนครับ

---------------------------------------------------------------------------------------------------

สาเหตุที่รถไม่ติด มีหลายปัจจัยประกอบกัน

โครงข่ายรถสาธารณะ รถไฟใต้ดิน บนดิน รถเมล์ รถราง ที่ครอบคลุม ตรงเวลา
และราคาที่ไม่แพงมาก มีตั๋วใบเดียวใช้ขึ้นรถได้ทุกระบบ
ทำให้คนใช้บริการขนส่งสาธารณะแทนการขับรถเอง

ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ที่แพงมาก
นับเริ่มตั้งแต่การสอบทำใบขับขี่กันเลยทีเดียว
ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา ค่าประกัน ค่าต่อภาษี ค่าที่จอดรถ ค่าจิปาถะ
ทุกอย่างรวม ๆ แล้วแพงกว่าขนส่งสาธารณะมากครับ
ทำให้คนต้องคิดหนัก ๆ ในการจะมีรถส่วนตัวสักคัน

วินัยจราจร คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ไม่ทำให้การจราจรติดขัด

ช่องทางการจราจร ถนน
ใครจะบอกว่าถนนในเบอร์ลิน กว้างมีหลายช่องทางจราจร   ไม่จริงเลยครับ
ถนนในเมืองตรงแหล่งท่องเที่ยวย่านช้อปปิ้งอย่าง คูดัม
ถนนแต่ละฝั่งมีสามเลน
เลนขวาสุด อนุญาติให้จอดรถได้ + เลนจักรยาน
เลนกลาง = บัสเลน
เหลือเลนซ้ายสุดเพียงเลนเดียวสำหรับรถส่วนบุคคล

การจำกัดความเร็ว
ถนนในซอยในชุมชนจะจำกัดความเร็วที่ 10 กม.ต่อชั่วโมง
ถนนปกติทั่วไปจะจำกัดความเร็วที่ 30 กม.ต่อชั่วโมง
ถ้าถนนใหญ่ขึ้นมาหน่อยภายในเขตเมือง สูงสุดจะไม่เกิน 50 กม.ต่อชั่วโมง
ถนนทางด่วนในเขตเมืองก็จำกัดความเร็วที่ 80  100 และสูงสุดไม่เกิน 130 กม.ต่อชั่วโมง
ซึ่งนอกจากจะทำให้การจราจรลื่นไหลไปได้เรื่อย ๆ ไม่แออัดในจุดใดจุดหนึ่ง
ยังมีส่วนช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่