.
เรื่องสั้น : ลมหายใจสุดท้ายของคิรางิ
==========
คิรางิไม่ใช่คน แต่เป็นแมวของฉันเอง แมวที่ชาลีสามีสุดที่รักของฉันเป็นคนเก็บมาเลี้ยง เมื่อสามปีก่อนชาลีเห็นลูกแมวน้อยตัวสีขาวเดินฝ่าสายฝนอยู่กลางถนน ในค่ำคืนที่อากาศหนาวแหนบลมพายุฝนรุนแรง ชาลีสามีของฉันยืนรอปลาหมึกย่างในร้านข้างทาง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นลูกแมวตัวนั้นเดินโซซัดโซเซ ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ ชาลีไม่รอช้าวิ่งฝ่าสายฝนไปอุ้มลูกแมวหลงทาง
ชาลีพาลูกแมวตัวนั้นกลับบ้านในสภาพเปื้อนปอนทั้งคนทั้งแมว ฉันมองสภาพสามีแล้วทั้งอยากขำและสงสารไปในคราเดียวกัน ฉันบอกให้ชาลีไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนลูกแมวตัวน้อยฉันจัดการอาบน้ำให้มันเอง ฉันอาบน้ำให้มันอย่างทะนุถนอมและเบามือที่สุด เพราะมันตัวเล็กและผอมแห้งจนมองเห็นกระดูกตามลำตัว มันส่งเสียงร้องเล็กแหลมและเสียงขาดเป็นห้วงๆ มันตะกุยตะกายจะกระโจนออกจากกะละมังให้ได้ แต่แรงแมวตัวเล็กๆหรือจะสู้แรงคนบ้าพลังอย่างฉัน
ฉันจัดการอาบน้ำให้มันจนสะอาด ใช้ผ้าซับน้ำตามขนออกให้หมาดๆและนำไดร์เป่าผมของฉันมาเป่าขนให้มัน เจ้าแมวตัวน้อยนี้มันชอบไดร์เป่าผม มันยืนนิ่งให้ฉันเป่าจนขนแห้ง ก่อนจะสะบัดตัว และก้มเลียขนตัวเอง ฉันเดาว่ามันคงตรวจให้แน่ใจว่าขนของมันอยู่ในสภาพปกติ ฉันเห็นสีหน้าของมันที่ดูสดใสและพึงพอใจกับสภาพขนสีขาวใหม่เอี่ยมอ่อง มันส่งเสียงร้องเมี๊ยวๆและเดินมาเลียมือฉัน
“มาขอบคุณฉันเหรอ ไม่เป็นไรหรอกเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ” ฉันพูดกับมัน มือลูบหัวมันเบาๆ มันใช้ตัวถูไถตามขาและแขนของฉัน
“หิวใช่ป่ะล่ะ รอแป๊ปนะ เดี๋ยวจะหาอะไรให้กิน”
ฉันบอกมันและผละออกมา เดินตรงลิ่วเข้าห้องครัว เปิดตู้เย็น และนำนมสดมาเทใส่ถ้วย ฉันเดินถือถ้วยที่ใส่นมกลับมาที่เดิมและเจอชาลีกำลังนั่งเล่นกับลูกแมวน้อย แบ่งปลาหมึกย่างที่เพิ่งซื้อมาให้แมวน้อยได้กินด้วย
“ผมเลี้ยงเจ้าเหมียวนี้ได้ไหม” ชาลีถามฉัน น้ำเสียงของเขาไพเราะและอ่อนหวาน เป็นใครก็คงไม่กล้าปฏิเสธและถึงเขาไม่ขอฉันก็อยากเลี้ยงเจ้าแมวน้อยตัวนี้อยู่ดี ก็มันน่ารักมาก ดวงตากลมโตสีเขียวมรกต ฉันเห็นครั้งแรกถึงกับตกใจนิดๆ แมวอะไรมีดวงตาสวยงามเหลือเกิน นึกว่าเพชรตาแมวเสียอีก
“ได้สิค่ะ..มานี่มาเจ้าแมวน้อยกินนมดีกว่าเน้อ”
ฉันวางถ้วยนมไว้ที่พื้นแล้วเรียกมันมากิน เจ้าเหมียวเดินปนวิ่ง ขาน้อยๆพันกันนิดหนึ่ง มันก้มหัวลิ้นเล็กตวัดเลียกินนมในถ้วยอย่างเอร็ดอร่อย
“คุณต้องให้มันกินของอ่อนๆก่อนนะคะ ยังเป็นลูกแมวอยู่เลย ท้องยังไม่แข็งแรง … นี่เล่นให้ปลาหมึกย่างทั้งตัว ท้องจะย่อยไม่น่าคืนนี้”
ชาลีพยักหน้ารับคำ ก่อนจะพูดขึ้น
“ผมคิดชื่อให้มันได้แล้ว
ให้มันชื่อคิรางินะ มันเป็นชื่อตัวการ์ตูนที่ผมชอบดู” ชาลีพูดไปอมยิ้มไป ฉันก็พลอยอมยิ้มตามเดินมาโอบกอดชาลีด้วยอารมณ์หมั่นไส้ กับอาการตื่นเต้นดีใจของเขาที่จะได้เลี้ยงแมว
“และแล้วเราก็ได้สมาชิกในครอบครัวเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว” ฉันกระซิบข้างหูชาลี
ชาลีกระชับวงแขนโอบกอดฉันและกระซิบข้างหูฉันเช่นกัน
“และเราก็จะทำให้มีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคนด้วย” พูดจบก็หัวเราะคิกคักด้วยความพอใจ
“บ้า” ฉันตีไหล่ชาลีเบาๆ ด้วยอาการเขินอาย ฉันเองก็ไม่รู้จะเขินอายอีกทำไมทั้งที่แต่งงานกับชาลีมาได้ปีกว่าแล้ว นึกแล้วก็ขำตัวเองจนต้องรีบผละตัวออกจากสามี เดินมาดูผลงานของเจ้าคิรางิหน่อยว่าเป็นเช่นไร
ท่าทางจะหิวน่าดูกินนมจนหมดถ้วย แล้วก็นอนหงายท้องอยู่ข้างๆถ้วยนม สงสัยมันจะเหนื่อยและล้ามากทีเดียว กินอิ่มแล้วหลับเลย ฉันอุ้มคิรางิมาวางไว้ในตะกร้าหวายซึ่งฉันใช้ผ้านุ่มๆปูรองที่พื้นไว้แล้ว มันลืมตาขึ้นมามองฉัน คงสงสัยว่าฉันจะทำอะไรกับมัน
“แกนอนตรงนี้นะ” ฉันบอกมันและวางมันลง เจ้าแมวน้อยก็ขดตัวนอนอยู่ในตะกร้าหวายอย่างสบายใจ ฉันเห็นรอยยิ้มปรากฏที่มุมปากคิรางิด้วย อดแปลกเสียไม่ได้ แมวที่ไหนจะยิ้มได้ หรืออาจเป็นเพราะฉันคิดไปเอง
คิรางิเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นแมวสาวที่ซุกซนขี้เล่นแถมฉลาดเป็นกรด และขี้อ้อนจนฉันและชาลีหลงมันหัวปักหัวปำ คิรางิกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกๆส่วนภายในบ้านคืออาณาเขตของมัน เดินไปไหนมาไหนในบ้านแทบจะเห็นคิรางิอยู่ทุกที่
ฉันเองก็แปลกใจ มีวันหนึ่งฉันเห็นคิรางินั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โยกตรงระเบียงหน้าบ้าน ฉันกลับจากทำงานและทักทายมันตามปกติ และจะเดินเอากระเป๋าไปเก็บไว้ในห้องนอนซึ่งอยู่บนชั้นสองของบ้าน ฉันเดินขึ้นมาหยุดที่ปลายบันไดขั้นบนสุด ฉันก็เห็นคิรางินั่งอยู่หน้าห้องนอนแล้ว ฉันถามมันว่ามาอยู่นี่ได้อย่างไร มันไม่ตอบแต่ยืนเลียขนตัวเองหน้าตาเฉย แล้วเดินมาหาฉัน ท่วงทางการเดินของมันสง่างามผ่าเผย หลังตรง หน้าเชิดถือได้ว่าเป็นแมวสาวที่สวยระดับนางงาม มันคลอเคลียรอบขาฉันอยู่สักพักก็วิ่งลงบันไดไป
คิรางิชอบขึ้นไปนั่งบนหลังคาบ้าน และสามารถนั่งนิ่งๆเป็นหุ่นขี้ผึ้งแมวแบบหลายชั่วโมงติดต่อกัน สายตาคมกริบของมันสาดส่องมองทั่วอาณาบริเวณบ้าน ฉันเดาเอาว่าคิรางิคงอยากทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาบ้านของมัน หรือไม่ก็แอบจับตาดูความเคลื่อนไหวของเหล่าเพื่อนบ้าน
คิรางิชอบดูสารคดีสัตว์โลก ดูไปดูมาถ้าเห็นนกบินก็รีบวิ่งใช้อุ้มมือตะกุยหน้าจอทีวีทันที แต่มันคงสงสัยว่าทำไมถึงจับไม่ได้เสียที แต่ถ้าเมื่อไรคิรางิเห็นสัตว์ใหญ่มันก็จะวิ่งหนีหายไปเลย และไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนตัวที่ไหน ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ต้องเสียเวลาตามหา เพราะหาเท่าไรก็หาไม่เจอ ต้องรอให้คิรางิออกมาปรากฏตัวเอง มันเป็นนักซ่อนแอบตัวยงเชียวละ
และคิรางิยังชอบมานั่งดูชาลี แชปลินข้างๆชาลีด้วย ถ้าชาลีหัวเราะ คิรางิก็จะส่งเสียงเมี๊ยว ถ้าชาลีหัวเราะติดต่อกันยาวๆ คิรางิก็ส่งเสียงร้องเมี๊ยวยาวๆเช่นกัน เป็นอันรู้ว่าทั้งคนทั้งแมวกำลังมีความสุขกับการได้ดูหนังตลก และหากคิรางิง่วงนอนก็จะกระโดดขึ้นมานั่งบนตักชาลี เป็นการบอกว่า
“ไม่ดูแล้วนะ ปิดเถอะ”
คิรางิอยู่กับฉันมาสามปีแล้ว ฉันรักมันมาก…. ห้าเดือนก่อน..ชาลีจากโลกนี้ไปด้วยโรคร้าย ฉันกับคิรางิแทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เราอยู่ด้วยกันทุกที่ทุกเวลาราวกับกำลังปลอบประโลมและให้กำลังซึ่งกันและกัน คิรางิไม่เคยทิ้งฉันไปไหนในวันที่ฉันเศร้าโศกเสียใจอย่างแสนสาหัส มันจะนอนอยู่ข้างฉันเสมอ ส่งเสียงร้องให้กำลังใจ ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงชาลีฉันจะโอบกอดคิรางิ …. คิรางิคือสายใยเชื่อมโยงฉันกับชาลีเอาไว้ด้วยกัน
ในวันนี้คิรางิกลายเป็นคุณแม่แมว คิรางิให้กำเนิดลูกแมวน้อยน่ารักสี่ตัว มีสองตัวขนสีขาวเหมือนแม่ อีกสองตัวขนสีน้ำตาล ฉันคิดว่าคงได้จากพ่อแมว หลายเดือนก่อนฉันเห็นแมวบ้านตัวผู้สีน้ำตาลชอบแวะเวียนมาบ้านฉันบ่อยๆ ที่แท้ก็มาจีบคิรางินี่เอง จีบไปจีบมาได้หลานมาให้ฉันเลี้ยงซะงั้น
วันที่คิรางิออกลูกเป็นวันที่ฉันดีใจและมีความสุขมากจนลืมความโศกเศร้าจากการสูญเสียสามีอันเป็นที่รักไป ฉันตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกกับการต้องเลี้ยงลูกแมวสี่ตัว
ลูกแมวสี่ตัวค่อยๆเติบโตขึ้น และเล่นซุกซนจนบ้านเละแทบทุกวัน เศษผ้า เศษไหมพรม เศษกระดาษเกลื่อนบ้าน สภาพบ้านไม่ต่างจากการเลี้ยงเด็กเล็กเลย แต่ถึงบ้านจะรกไปหน่อย แต่สิ่งนี้กลับทำให้ฉันมีความสุข ฉันยิ้มและหัวเราะได้ทุกวันกับการได้หยอกล้อเล่นกับแมวน้อยทั้งสี่ตัว บางตัวก็ทำฉันหัวเราะจนท้องแข็งเพราะความดื้อซนและไร้เดียงสาของพวกมัน
ค่ำคืนนี้ดารารายเต็มท้องฟ้า ฉันออกมานั่งที่เก้าอี้ไม้โยกตรงระเบียงหน้าบ้าน หลังจากส่งเด็กๆสี่ตัวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว คิรางิกระโดดขึ้นมานั่งตักฉันเหมือนที่มันเคยทำ ฉันเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีด้วยรอยยิ้มและหัวใจเปี่ยมสุข ในวันนี้ฉันรู้แล้วว่าถึงแม้ชาลีจะตายจากโลกนี้ไป แต่ชาลีก็ยังอยู่ในใจฉันเสมอ ฉันไม่ทุกข์กับการจากไปของชาลีอีกแล้ว กลับกันฉันคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดที่ได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกับชาลี ดีใจที่ได้รักชาลีและดีใจที่ได้เป็นคนรักของชาลี
คิรางิที่นั่งบนตักฉัน จู่ๆมันก็ส่งเสียงขู่ฟู่ๆใส่อะไรสักอย่างซึ่งฉันก็กำลังมองหา แต่ไม่เห็นจะมีอะไรโผล่มา คิรางิกระโดดลงพื้น ขนที่แผงคอ ลำตัว และหางของมันตั้งชัน และแล้วฉันก็มองเห็นงูเห่าขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่มาก เลื้อยตรงมาที่ฉัน คิรางิใช้อุ้มมือกรงเล็บแหลมคมฟาดใส่ตัวงู งูเห่าฉกเข้าที่ขาของคิรางิ ฉันกรีดร้องเสียงหลง น้ำตาเอ่อนอง กลัวเหลือเกินกลัวคิรางิจะเป็นอะไร
คิรางิต่อสู้กับงูเง่าอยู่พักใหญ่ ทั้งกัดทั้งฟาดฟันด้วยกรงเล็บ เลือดสีแดงกระเด็นสาดเต็มพื้นทั้งเลือดแมวและเลือดงู ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งกรีดร้อง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน งูเง่าตัวนั่นนอนแนบนิ่งตาเหลือกมีเลือดตามตัว เช่นเดียวกับคิรางิขนสีขาวสะอาดของมันเลอะเปรอะเปื้อนด้วยเลือดแดงฉาน มันเดินเซมานอนใต้เท้าฉัน ฉันคุกเข่าอยู่ข้างคิรางิอุ้มมันขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขน น้ำตาหลั่งริน
“ขอบใจแกมากนะคิรางิ” ฉันพูดกับมัน สะอื้นไห้จนพูดแทบไม่ออก คิรางิพยักหน้าตอบรับคำฉัน มันใช้เท้าหน้ามาแตะที่แขนฉันเบาๆ สายตาจ้องมองหน้าฉัน กะพริบตาถี่
“ฉันจะดูแลลูกของแกเอง อย่าห่วงเลยนะ ฉันสัญญาจะดูแลพวกเขาอย่างดี” คิรางิลับตาลง ดวงตาสีเขียวมรกตของมันดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดทรมาน เช่นเดียวกับฉันที่หัวใจแตกสลาย
มันใช้หัวถูไถบริเวณหน้าท้องของฉัน และซบหน้าลงตรงนั้น
“ฉันรับปากว่าจะดูแลตัวเองให้ดี แกก็ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน” ฉันพูดทั้งน้ำตา รับรู้ถึงสิ่งที่มันต้องการจะสื่อสารกับฉัน ฉันลูบหัวคิรางิเบาๆ ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคิรางิก็หยุดลง
ฉันหันไปมองยังลำแสงสีขาวซึ่งปรากฏขึ้นตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน ชาลียืนอยู่ตรงนั้น กำลังโบกมือและยิ้มให้ฉัน ข้างๆชาลีคือคิรางิมันส่งเสียงร้องเมี๊ยวๆ ใบหน้าสดใสเปล่งปลั่ง ขนสีขาวของมันส่องแสงทอประกายระยิบระยับสวยงาม…..
จบแล้วค่ะ ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ
เรื่องโดย .... วิดา ละสิทธิ์


เรื่องสั้น : ลมหายใจสุดท้ายของคิรางิ
เรื่องสั้น : ลมหายใจสุดท้ายของคิรางิ
==========
คิรางิไม่ใช่คน แต่เป็นแมวของฉันเอง แมวที่ชาลีสามีสุดที่รักของฉันเป็นคนเก็บมาเลี้ยง เมื่อสามปีก่อนชาลีเห็นลูกแมวน้อยตัวสีขาวเดินฝ่าสายฝนอยู่กลางถนน ในค่ำคืนที่อากาศหนาวแหนบลมพายุฝนรุนแรง ชาลีสามีของฉันยืนรอปลาหมึกย่างในร้านข้างทาง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นลูกแมวตัวนั้นเดินโซซัดโซเซ ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ ชาลีไม่รอช้าวิ่งฝ่าสายฝนไปอุ้มลูกแมวหลงทาง
ชาลีพาลูกแมวตัวนั้นกลับบ้านในสภาพเปื้อนปอนทั้งคนทั้งแมว ฉันมองสภาพสามีแล้วทั้งอยากขำและสงสารไปในคราเดียวกัน ฉันบอกให้ชาลีไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนลูกแมวตัวน้อยฉันจัดการอาบน้ำให้มันเอง ฉันอาบน้ำให้มันอย่างทะนุถนอมและเบามือที่สุด เพราะมันตัวเล็กและผอมแห้งจนมองเห็นกระดูกตามลำตัว มันส่งเสียงร้องเล็กแหลมและเสียงขาดเป็นห้วงๆ มันตะกุยตะกายจะกระโจนออกจากกะละมังให้ได้ แต่แรงแมวตัวเล็กๆหรือจะสู้แรงคนบ้าพลังอย่างฉัน
ฉันจัดการอาบน้ำให้มันจนสะอาด ใช้ผ้าซับน้ำตามขนออกให้หมาดๆและนำไดร์เป่าผมของฉันมาเป่าขนให้มัน เจ้าแมวตัวน้อยนี้มันชอบไดร์เป่าผม มันยืนนิ่งให้ฉันเป่าจนขนแห้ง ก่อนจะสะบัดตัว และก้มเลียขนตัวเอง ฉันเดาว่ามันคงตรวจให้แน่ใจว่าขนของมันอยู่ในสภาพปกติ ฉันเห็นสีหน้าของมันที่ดูสดใสและพึงพอใจกับสภาพขนสีขาวใหม่เอี่ยมอ่อง มันส่งเสียงร้องเมี๊ยวๆและเดินมาเลียมือฉัน
“มาขอบคุณฉันเหรอ ไม่เป็นไรหรอกเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ” ฉันพูดกับมัน มือลูบหัวมันเบาๆ มันใช้ตัวถูไถตามขาและแขนของฉัน
“หิวใช่ป่ะล่ะ รอแป๊ปนะ เดี๋ยวจะหาอะไรให้กิน”
ฉันบอกมันและผละออกมา เดินตรงลิ่วเข้าห้องครัว เปิดตู้เย็น และนำนมสดมาเทใส่ถ้วย ฉันเดินถือถ้วยที่ใส่นมกลับมาที่เดิมและเจอชาลีกำลังนั่งเล่นกับลูกแมวน้อย แบ่งปลาหมึกย่างที่เพิ่งซื้อมาให้แมวน้อยได้กินด้วย
“ผมเลี้ยงเจ้าเหมียวนี้ได้ไหม” ชาลีถามฉัน น้ำเสียงของเขาไพเราะและอ่อนหวาน เป็นใครก็คงไม่กล้าปฏิเสธและถึงเขาไม่ขอฉันก็อยากเลี้ยงเจ้าแมวน้อยตัวนี้อยู่ดี ก็มันน่ารักมาก ดวงตากลมโตสีเขียวมรกต ฉันเห็นครั้งแรกถึงกับตกใจนิดๆ แมวอะไรมีดวงตาสวยงามเหลือเกิน นึกว่าเพชรตาแมวเสียอีก
“ได้สิค่ะ..มานี่มาเจ้าแมวน้อยกินนมดีกว่าเน้อ”
ฉันวางถ้วยนมไว้ที่พื้นแล้วเรียกมันมากิน เจ้าเหมียวเดินปนวิ่ง ขาน้อยๆพันกันนิดหนึ่ง มันก้มหัวลิ้นเล็กตวัดเลียกินนมในถ้วยอย่างเอร็ดอร่อย
“คุณต้องให้มันกินของอ่อนๆก่อนนะคะ ยังเป็นลูกแมวอยู่เลย ท้องยังไม่แข็งแรง … นี่เล่นให้ปลาหมึกย่างทั้งตัว ท้องจะย่อยไม่น่าคืนนี้”
ชาลีพยักหน้ารับคำ ก่อนจะพูดขึ้น
“ผมคิดชื่อให้มันได้แล้ว ให้มันชื่อคิรางินะ มันเป็นชื่อตัวการ์ตูนที่ผมชอบดู” ชาลีพูดไปอมยิ้มไป ฉันก็พลอยอมยิ้มตามเดินมาโอบกอดชาลีด้วยอารมณ์หมั่นไส้ กับอาการตื่นเต้นดีใจของเขาที่จะได้เลี้ยงแมว
“และแล้วเราก็ได้สมาชิกในครอบครัวเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว” ฉันกระซิบข้างหูชาลี
ชาลีกระชับวงแขนโอบกอดฉันและกระซิบข้างหูฉันเช่นกัน
“และเราก็จะทำให้มีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคนด้วย” พูดจบก็หัวเราะคิกคักด้วยความพอใจ
“บ้า” ฉันตีไหล่ชาลีเบาๆ ด้วยอาการเขินอาย ฉันเองก็ไม่รู้จะเขินอายอีกทำไมทั้งที่แต่งงานกับชาลีมาได้ปีกว่าแล้ว นึกแล้วก็ขำตัวเองจนต้องรีบผละตัวออกจากสามี เดินมาดูผลงานของเจ้าคิรางิหน่อยว่าเป็นเช่นไร
ท่าทางจะหิวน่าดูกินนมจนหมดถ้วย แล้วก็นอนหงายท้องอยู่ข้างๆถ้วยนม สงสัยมันจะเหนื่อยและล้ามากทีเดียว กินอิ่มแล้วหลับเลย ฉันอุ้มคิรางิมาวางไว้ในตะกร้าหวายซึ่งฉันใช้ผ้านุ่มๆปูรองที่พื้นไว้แล้ว มันลืมตาขึ้นมามองฉัน คงสงสัยว่าฉันจะทำอะไรกับมัน
“แกนอนตรงนี้นะ” ฉันบอกมันและวางมันลง เจ้าแมวน้อยก็ขดตัวนอนอยู่ในตะกร้าหวายอย่างสบายใจ ฉันเห็นรอยยิ้มปรากฏที่มุมปากคิรางิด้วย อดแปลกเสียไม่ได้ แมวที่ไหนจะยิ้มได้ หรืออาจเป็นเพราะฉันคิดไปเอง
คิรางิเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นแมวสาวที่ซุกซนขี้เล่นแถมฉลาดเป็นกรด และขี้อ้อนจนฉันและชาลีหลงมันหัวปักหัวปำ คิรางิกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกๆส่วนภายในบ้านคืออาณาเขตของมัน เดินไปไหนมาไหนในบ้านแทบจะเห็นคิรางิอยู่ทุกที่
ฉันเองก็แปลกใจ มีวันหนึ่งฉันเห็นคิรางินั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้โยกตรงระเบียงหน้าบ้าน ฉันกลับจากทำงานและทักทายมันตามปกติ และจะเดินเอากระเป๋าไปเก็บไว้ในห้องนอนซึ่งอยู่บนชั้นสองของบ้าน ฉันเดินขึ้นมาหยุดที่ปลายบันไดขั้นบนสุด ฉันก็เห็นคิรางินั่งอยู่หน้าห้องนอนแล้ว ฉันถามมันว่ามาอยู่นี่ได้อย่างไร มันไม่ตอบแต่ยืนเลียขนตัวเองหน้าตาเฉย แล้วเดินมาหาฉัน ท่วงทางการเดินของมันสง่างามผ่าเผย หลังตรง หน้าเชิดถือได้ว่าเป็นแมวสาวที่สวยระดับนางงาม มันคลอเคลียรอบขาฉันอยู่สักพักก็วิ่งลงบันไดไป
คิรางิชอบขึ้นไปนั่งบนหลังคาบ้าน และสามารถนั่งนิ่งๆเป็นหุ่นขี้ผึ้งแมวแบบหลายชั่วโมงติดต่อกัน สายตาคมกริบของมันสาดส่องมองทั่วอาณาบริเวณบ้าน ฉันเดาเอาว่าคิรางิคงอยากทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาบ้านของมัน หรือไม่ก็แอบจับตาดูความเคลื่อนไหวของเหล่าเพื่อนบ้าน
คิรางิชอบดูสารคดีสัตว์โลก ดูไปดูมาถ้าเห็นนกบินก็รีบวิ่งใช้อุ้มมือตะกุยหน้าจอทีวีทันที แต่มันคงสงสัยว่าทำไมถึงจับไม่ได้เสียที แต่ถ้าเมื่อไรคิรางิเห็นสัตว์ใหญ่มันก็จะวิ่งหนีหายไปเลย และไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนตัวที่ไหน ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ต้องเสียเวลาตามหา เพราะหาเท่าไรก็หาไม่เจอ ต้องรอให้คิรางิออกมาปรากฏตัวเอง มันเป็นนักซ่อนแอบตัวยงเชียวละ
และคิรางิยังชอบมานั่งดูชาลี แชปลินข้างๆชาลีด้วย ถ้าชาลีหัวเราะ คิรางิก็จะส่งเสียงเมี๊ยว ถ้าชาลีหัวเราะติดต่อกันยาวๆ คิรางิก็ส่งเสียงร้องเมี๊ยวยาวๆเช่นกัน เป็นอันรู้ว่าทั้งคนทั้งแมวกำลังมีความสุขกับการได้ดูหนังตลก และหากคิรางิง่วงนอนก็จะกระโดดขึ้นมานั่งบนตักชาลี เป็นการบอกว่า “ไม่ดูแล้วนะ ปิดเถอะ”
คิรางิอยู่กับฉันมาสามปีแล้ว ฉันรักมันมาก…. ห้าเดือนก่อน..ชาลีจากโลกนี้ไปด้วยโรคร้าย ฉันกับคิรางิแทบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน เราอยู่ด้วยกันทุกที่ทุกเวลาราวกับกำลังปลอบประโลมและให้กำลังซึ่งกันและกัน คิรางิไม่เคยทิ้งฉันไปไหนในวันที่ฉันเศร้าโศกเสียใจอย่างแสนสาหัส มันจะนอนอยู่ข้างฉันเสมอ ส่งเสียงร้องให้กำลังใจ ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงชาลีฉันจะโอบกอดคิรางิ …. คิรางิคือสายใยเชื่อมโยงฉันกับชาลีเอาไว้ด้วยกัน
ในวันนี้คิรางิกลายเป็นคุณแม่แมว คิรางิให้กำเนิดลูกแมวน้อยน่ารักสี่ตัว มีสองตัวขนสีขาวเหมือนแม่ อีกสองตัวขนสีน้ำตาล ฉันคิดว่าคงได้จากพ่อแมว หลายเดือนก่อนฉันเห็นแมวบ้านตัวผู้สีน้ำตาลชอบแวะเวียนมาบ้านฉันบ่อยๆ ที่แท้ก็มาจีบคิรางินี่เอง จีบไปจีบมาได้หลานมาให้ฉันเลี้ยงซะงั้น
วันที่คิรางิออกลูกเป็นวันที่ฉันดีใจและมีความสุขมากจนลืมความโศกเศร้าจากการสูญเสียสามีอันเป็นที่รักไป ฉันตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกกับการต้องเลี้ยงลูกแมวสี่ตัว
ลูกแมวสี่ตัวค่อยๆเติบโตขึ้น และเล่นซุกซนจนบ้านเละแทบทุกวัน เศษผ้า เศษไหมพรม เศษกระดาษเกลื่อนบ้าน สภาพบ้านไม่ต่างจากการเลี้ยงเด็กเล็กเลย แต่ถึงบ้านจะรกไปหน่อย แต่สิ่งนี้กลับทำให้ฉันมีความสุข ฉันยิ้มและหัวเราะได้ทุกวันกับการได้หยอกล้อเล่นกับแมวน้อยทั้งสี่ตัว บางตัวก็ทำฉันหัวเราะจนท้องแข็งเพราะความดื้อซนและไร้เดียงสาของพวกมัน
ค่ำคืนนี้ดารารายเต็มท้องฟ้า ฉันออกมานั่งที่เก้าอี้ไม้โยกตรงระเบียงหน้าบ้าน หลังจากส่งเด็กๆสี่ตัวเข้านอนเรียบร้อยแล้ว คิรางิกระโดดขึ้นมานั่งตักฉันเหมือนที่มันเคยทำ ฉันเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีด้วยรอยยิ้มและหัวใจเปี่ยมสุข ในวันนี้ฉันรู้แล้วว่าถึงแม้ชาลีจะตายจากโลกนี้ไป แต่ชาลีก็ยังอยู่ในใจฉันเสมอ ฉันไม่ทุกข์กับการจากไปของชาลีอีกแล้ว กลับกันฉันคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดที่ได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกับชาลี ดีใจที่ได้รักชาลีและดีใจที่ได้เป็นคนรักของชาลี
คิรางิที่นั่งบนตักฉัน จู่ๆมันก็ส่งเสียงขู่ฟู่ๆใส่อะไรสักอย่างซึ่งฉันก็กำลังมองหา แต่ไม่เห็นจะมีอะไรโผล่มา คิรางิกระโดดลงพื้น ขนที่แผงคอ ลำตัว และหางของมันตั้งชัน และแล้วฉันก็มองเห็นงูเห่าขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่มาก เลื้อยตรงมาที่ฉัน คิรางิใช้อุ้มมือกรงเล็บแหลมคมฟาดใส่ตัวงู งูเห่าฉกเข้าที่ขาของคิรางิ ฉันกรีดร้องเสียงหลง น้ำตาเอ่อนอง กลัวเหลือเกินกลัวคิรางิจะเป็นอะไร
คิรางิต่อสู้กับงูเง่าอยู่พักใหญ่ ทั้งกัดทั้งฟาดฟันด้วยกรงเล็บ เลือดสีแดงกระเด็นสาดเต็มพื้นทั้งเลือดแมวและเลือดงู ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งกรีดร้อง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน งูเง่าตัวนั่นนอนแนบนิ่งตาเหลือกมีเลือดตามตัว เช่นเดียวกับคิรางิขนสีขาวสะอาดของมันเลอะเปรอะเปื้อนด้วยเลือดแดงฉาน มันเดินเซมานอนใต้เท้าฉัน ฉันคุกเข่าอยู่ข้างคิรางิอุ้มมันขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขน น้ำตาหลั่งริน
“ขอบใจแกมากนะคิรางิ” ฉันพูดกับมัน สะอื้นไห้จนพูดแทบไม่ออก คิรางิพยักหน้าตอบรับคำฉัน มันใช้เท้าหน้ามาแตะที่แขนฉันเบาๆ สายตาจ้องมองหน้าฉัน กะพริบตาถี่
“ฉันจะดูแลลูกของแกเอง อย่าห่วงเลยนะ ฉันสัญญาจะดูแลพวกเขาอย่างดี” คิรางิลับตาลง ดวงตาสีเขียวมรกตของมันดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดทรมาน เช่นเดียวกับฉันที่หัวใจแตกสลาย
มันใช้หัวถูไถบริเวณหน้าท้องของฉัน และซบหน้าลงตรงนั้น
“ฉันรับปากว่าจะดูแลตัวเองให้ดี แกก็ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน” ฉันพูดทั้งน้ำตา รับรู้ถึงสิ่งที่มันต้องการจะสื่อสารกับฉัน ฉันลูบหัวคิรางิเบาๆ ลมหายใจเฮือกสุดท้ายของคิรางิก็หยุดลง
ฉันหันไปมองยังลำแสงสีขาวซึ่งปรากฏขึ้นตรงสนามหญ้าหน้าบ้าน ชาลียืนอยู่ตรงนั้น กำลังโบกมือและยิ้มให้ฉัน ข้างๆชาลีคือคิรางิมันส่งเสียงร้องเมี๊ยวๆ ใบหน้าสดใสเปล่งปลั่ง ขนสีขาวของมันส่องแสงทอประกายระยิบระยับสวยงาม…..
จบแล้วค่ะ ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ
เรื่องโดย .... วิดา ละสิทธิ์