.
เรื่องสั้น : ชาลีที่รัก
==========
ฉันกำลังนั่งเขียนบันทึกถึงชาลีที่รัก ชาลีผู้เป็นสามีของฉัน ฉันแต่งงานกับชาลีเมื่อสี่ปีก่อน .... และเราก็ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมาอย่างมีความสุข
ชาลีเป็นผู้ชายตัวเล็ก ร่างกายไม่กำยำใหญ่โตหรือมีซิกแพคเหมือนหนุ่มๆสมัยใหม่ที่นิยมเข้าฟิตเนสแล้วเพาะกล้ามให้โตๆ แต่ชาลีไม่ใช่แบบนั้น ชาลีเป็นประเภทขี้เกียจออกกำลังกาย ชาลีบอกว่ามันเหนื่อย แค่เดินไปซื้อปลาหมึกย่างหน้าปากซอยชาลีก็เหนื่อยจนหอบจับแล้ว ฉันชอบฟังชาลีบ่น เรื่องที่ไม่น่าบ่น แล้วก็จะหัวเราะจับแก้มชาลีมาหอมฟอดใหญ่ๆ
ชาลีไม่หล่อไม่เท่อะไรเลย แต่สำหรับฉันชาลีมีเสน่ห์ที่สุดแม้ในยามโกรธสุดๆก็เถอะ ..
ชาลีมีรอยยิ้มที่สดใส พูดจาไพเราะ และใจเย็นราวกับภูเขาน้ำแข็ง
ชาลีไม่ชอบมีเรื่องกับใคร ใครๆก็ไม่ชอบมามีเรื่องกับชาลี เพราะมีเรื่องกับชาลีทีไร ชาลีจะไม่ตอบโต้ แต่จะแจกบทสวดให้แทน
"สันตินะสันติ หากใจร้อนก็ให้รู้ว่ากำลังใจร้อน"
"ลมหายใจเข้าสงบสติอารมณ์ ลมหายใจออกก็สงบสติอารมณ์นะ"
และแถมท้ายด้วยการร้องเพลงบริหารจิตให้คนที่มาหาเรื่องได้ฟังซะเลย
"ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ดั่งดอกไม้บาน ภูผาใหญ่กว้าง ดั่งสายน้ำช่ำเย็น ดั่งนภาอากาศ อันบางเบา"
และแบบนี้ใครที่ไหนจะกล้าทำอะไรชาลี คนมาหาเรื่องก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วเดินหายเข้ากลีบเมฆไปโดยปริยาย
ชาลีเป็นคนชอบทำมากกว่าพูด เช่นเดียวกับไม่เคยเอ่ยคำว่ารักกับฉันเลย ในวันแต่งงานก็ไม่เอ่ย ในวันครบแต่งงานก็ไม่เอ่ย
แต่ถ้าฉันอยากได้อะไรชาลีจะดันด้นจัดหามาให้ทันที แบบไม่เคยขัดใจ
ในบางครั้ง หรือหลายครั้ง ชาลีจะทำหน้าที่ล้างจาน ซักผ้า กวาดบ้านถูบ้าน โดยไม่ให้ภรรยาต้องเหนื่อยทำงานบ้านแต่เพียงผู้เดียว
และ ไม่ว่าฉันจะเหวี่ยง โวยวาย ดุด่าว่าชาลี เพราะอารมณ์หึงหวงหรือเพราะไม่ชอบใจกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ชาลีทำ แม้ทำตัวไม่น่ารักเป็นนางมารประจำบ้าน ชาลียังกุมมือฉันไว้ โอบกอดผู้หญิงขี้งอนแสนเอาแต่ใจอย่างฉัน ไม่เคยทอดทิ้งฉันให้ต้องเหงาเปล่าเปลี่ยวใจ
แต่ ณ เวลานี้ ชาลีที่รักของฉันได้จากไปแล้ว จากไปยังที่ไกลแสนไกล ที่ที่ฉันไม่สามารถตามชาลีไปได้ ไปยังที่ที่ฉันไม่สามารถเอ่ยคำว่ารักกับชาลีได้อีก ชาลีไปอยู่บนนั้นแล้ว บนฟากฟ้าดาราราย
ในค่ำคืนหนาวแหนบ ฉันมานั่งบนเก้าอี้ไม้โยกที่ระเบียงหน้าบ้าน ที่ที่ฉันกับชาลีชอบมานั่งหยอกล้อและเล่นเกมทายปัญหากัน แต่คืนนี้ไม่มีชาลี มีเพียงฉันกับคิรางิแมวสาวขนสีขาว มันเป็นแมวที่ชาลีเก็บมาจากข้างถนน คิรางินั่งบนตักฉัน ร้องเมี้ยวๆ ฉันลูบหัวมัน น้ำตาหลั่งรินหยดลงบนตัวมัน คิรางิเงยหน้าขึ้นจ้องมองฉัน ฉันร้องไห้ คิรางิใช้หัวถูไถบริเวณท้องฉันเบาๆ ก่อนจะหดตัวนอนซบหน้าบนตักฉัน มันส่งเสียงร้อง เมี้ยว ..... เป็นเสียงร้องอันแผ่วเบา เศร้าสร้อย และปลอบประโลมฉันไปในคราเดียวกัน
"ชาลีไม่อยู่แล้วคิรางิ" .... ฉันบอกมันด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้
ฉันมองดูดวงดาราพร่างพราวเปล่งประกายระยิบระยับบนม่านฟ้าสีดำ หัวใจฉันห่อเหี่ยวและโศกเศร้า
"ฉันคิดถึงเธอเหลือเกินชาลี" ..... ฉันกระซิบบอกกับสายลม แสงดาว และจันทราสีหม่น
ฉันไม่รู้ว่าชาลีไปอยู่แห่งหนไหนในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ฉันรู้เพียงแต่ว่า ชาลีจะอยู่ในใจฉันตลอดไป
"ชาลีที่รัก ฉันรักเธอนะ"
จบแล้วค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่ะ
เรื่องโดย .... วิดา ละสิทธิ์
เรื่องสั้น : ชาลีที่รัก
เรื่องสั้น : ชาลีที่รัก
==========
ฉันกำลังนั่งเขียนบันทึกถึงชาลีที่รัก ชาลีผู้เป็นสามีของฉัน ฉันแต่งงานกับชาลีเมื่อสี่ปีก่อน .... และเราก็ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันมาอย่างมีความสุข
ชาลีเป็นผู้ชายตัวเล็ก ร่างกายไม่กำยำใหญ่โตหรือมีซิกแพคเหมือนหนุ่มๆสมัยใหม่ที่นิยมเข้าฟิตเนสแล้วเพาะกล้ามให้โตๆ แต่ชาลีไม่ใช่แบบนั้น ชาลีเป็นประเภทขี้เกียจออกกำลังกาย ชาลีบอกว่ามันเหนื่อย แค่เดินไปซื้อปลาหมึกย่างหน้าปากซอยชาลีก็เหนื่อยจนหอบจับแล้ว ฉันชอบฟังชาลีบ่น เรื่องที่ไม่น่าบ่น แล้วก็จะหัวเราะจับแก้มชาลีมาหอมฟอดใหญ่ๆ
ชาลีไม่หล่อไม่เท่อะไรเลย แต่สำหรับฉันชาลีมีเสน่ห์ที่สุดแม้ในยามโกรธสุดๆก็เถอะ ..
ชาลีมีรอยยิ้มที่สดใส พูดจาไพเราะ และใจเย็นราวกับภูเขาน้ำแข็ง
ชาลีไม่ชอบมีเรื่องกับใคร ใครๆก็ไม่ชอบมามีเรื่องกับชาลี เพราะมีเรื่องกับชาลีทีไร ชาลีจะไม่ตอบโต้ แต่จะแจกบทสวดให้แทน
"สันตินะสันติ หากใจร้อนก็ให้รู้ว่ากำลังใจร้อน"
"ลมหายใจเข้าสงบสติอารมณ์ ลมหายใจออกก็สงบสติอารมณ์นะ"
และแถมท้ายด้วยการร้องเพลงบริหารจิตให้คนที่มาหาเรื่องได้ฟังซะเลย
"ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ดั่งดอกไม้บาน ภูผาใหญ่กว้าง ดั่งสายน้ำช่ำเย็น ดั่งนภาอากาศ อันบางเบา"
และแบบนี้ใครที่ไหนจะกล้าทำอะไรชาลี คนมาหาเรื่องก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วเดินหายเข้ากลีบเมฆไปโดยปริยาย
ชาลีเป็นคนชอบทำมากกว่าพูด เช่นเดียวกับไม่เคยเอ่ยคำว่ารักกับฉันเลย ในวันแต่งงานก็ไม่เอ่ย ในวันครบแต่งงานก็ไม่เอ่ย
แต่ถ้าฉันอยากได้อะไรชาลีจะดันด้นจัดหามาให้ทันที แบบไม่เคยขัดใจ
ในบางครั้ง หรือหลายครั้ง ชาลีจะทำหน้าที่ล้างจาน ซักผ้า กวาดบ้านถูบ้าน โดยไม่ให้ภรรยาต้องเหนื่อยทำงานบ้านแต่เพียงผู้เดียว
และ ไม่ว่าฉันจะเหวี่ยง โวยวาย ดุด่าว่าชาลี เพราะอารมณ์หึงหวงหรือเพราะไม่ชอบใจกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ชาลีทำ แม้ทำตัวไม่น่ารักเป็นนางมารประจำบ้าน ชาลียังกุมมือฉันไว้ โอบกอดผู้หญิงขี้งอนแสนเอาแต่ใจอย่างฉัน ไม่เคยทอดทิ้งฉันให้ต้องเหงาเปล่าเปลี่ยวใจ
แต่ ณ เวลานี้ ชาลีที่รักของฉันได้จากไปแล้ว จากไปยังที่ไกลแสนไกล ที่ที่ฉันไม่สามารถตามชาลีไปได้ ไปยังที่ที่ฉันไม่สามารถเอ่ยคำว่ารักกับชาลีได้อีก ชาลีไปอยู่บนนั้นแล้ว บนฟากฟ้าดาราราย
ในค่ำคืนหนาวแหนบ ฉันมานั่งบนเก้าอี้ไม้โยกที่ระเบียงหน้าบ้าน ที่ที่ฉันกับชาลีชอบมานั่งหยอกล้อและเล่นเกมทายปัญหากัน แต่คืนนี้ไม่มีชาลี มีเพียงฉันกับคิรางิแมวสาวขนสีขาว มันเป็นแมวที่ชาลีเก็บมาจากข้างถนน คิรางินั่งบนตักฉัน ร้องเมี้ยวๆ ฉันลูบหัวมัน น้ำตาหลั่งรินหยดลงบนตัวมัน คิรางิเงยหน้าขึ้นจ้องมองฉัน ฉันร้องไห้ คิรางิใช้หัวถูไถบริเวณท้องฉันเบาๆ ก่อนจะหดตัวนอนซบหน้าบนตักฉัน มันส่งเสียงร้อง เมี้ยว ..... เป็นเสียงร้องอันแผ่วเบา เศร้าสร้อย และปลอบประโลมฉันไปในคราเดียวกัน
"ชาลีไม่อยู่แล้วคิรางิ" .... ฉันบอกมันด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้
ฉันมองดูดวงดาราพร่างพราวเปล่งประกายระยิบระยับบนม่านฟ้าสีดำ หัวใจฉันห่อเหี่ยวและโศกเศร้า
"ฉันคิดถึงเธอเหลือเกินชาลี" ..... ฉันกระซิบบอกกับสายลม แสงดาว และจันทราสีหม่น
ฉันไม่รู้ว่าชาลีไปอยู่แห่งหนไหนในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล ฉันรู้เพียงแต่ว่า ชาลีจะอยู่ในใจฉันตลอดไป
"ชาลีที่รัก ฉันรักเธอนะ"
เรื่องโดย .... วิดา ละสิทธิ์