สวัสดีค่ะเพื่อนๆชาวพันทิพย์ทุกคน วันนี้เรามีเรื่องมาแชร์และมาถามคะ
วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์ขายของตลาดนัดหน้าฝนกันนะคะ เราเป็นคนอีสาน ทำงานโรงแรมที่ภูเก็ตมาห้าปีกว่า เพิ่งย้ายไปอยู่เชียงใหม่ได้สามเดือน ยังหางานไม่ได้และได้มีโอกาสมา กทม เราเลยวางแผนเพื่อมาหาประสบการณ์ขายของไปด้วยเลย เพราะเราว่างงานมีเวลาว่างอยู่แล้ว มีโอกาสก็เลยทำเลย ด้วยงบ 12,000 กิน/อยู่ ทุกอย่างในงบนี้ ในระยะเวลาไม่จำกัด จนกว่าเงินงบจะหมด หรือเรียกว่า ไปไม่รอดแล้วนั้นเอง (เราเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย) ถ้าไปไม่รอดก็คงต้องกลับเชียงใหม่ไปหางานโรงแรมทำเหมือนเดิม เพราะแฟนเราก็อยู่ที่นั่น แต่ทีนี้เราอยากลองอะไรใหม่ๆที่ท้าทายกว่าเดิมในเมืองหลวงนี้แหละ เป้าหมายเลย เราจึงวางแผนที่จะอยู่ที่นี้สักพัก เพื่อเป็นการฝึกฝน และเรียนรู้ หาประสบการณ์ใหม่ๆ จากการขายของตลาดนัด 😅 เราเริ่มบุ๊คhostel แรกอยู่ 4-5วันเพื่อสำรวจตลาด และ เดินทางหาของมาขาย จนเจอของสิ่งนึง เป็นสิ่งที่เราชอบ และเป็นงาน DIY เราชอบประดิษฐ์ และมันเป็นอะไรที่เราตั้งราคาเองได้ ของที่ได้จะไม่ซ้ำใคร พอได้ของแล้วเราก็หาตลาดลง และ ย้ายไป hostel ที่ใหม่เพื่อให้ใกล้กับตลาด เราได้ตลาดนัดรถไฟที่นึง เขาว่างให้เช่า สี่วัน คือ วัน พฤ - อาทิตย์ เมื่อวานเป็นวันแรกที่เราได้ไปลองขายดู บอกเลย Wow ! มากก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า มันไม่ง่ายเลย ทั้งร้อน ทั้งฝน จัดร้านเสร็จฝนตกมาสามรอบ หอบกล่องหลบฝน เปียกทั้งกล่อง ทั้งผ้าปู รองเท้าผ้าใบคู่งามที่ใส่ไปก็เปียก "นี่คงเป็นการต้อนรับน้องใหม่วันแรกสินะ 555"😆 ลมก็แรงมาก เต้นท์ก็จะปลิวด้วย ต้องพยุงขามันไว้ ทุ่มกว่าฝนหยุดตก แต่ไม่ค่อยมีคนเดิน ไหนใครบอกว่าตลาดตรงนี้คนเดินเยอะไง ถามใครก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "คนเดินเยอะมวกกก" แล้วไหนล่ะ คน ถามไปถามมาได้ความว่าเป็นปรกติของวันพฤหัส พ่อค้าหน้าร้านบอกว่า ศ,ส,อาทิตย์. คนจะเยอะมาก เราก็ อ้อ เข้าใจแล้วค่ะ 😂 แต่ในใจลึกๆเราก็แอบเกิดความรู้สึกท้อแท้กับวันแรกของการเริ่มต้นซะแล้วล่ะ เพราะความเหนื่อยยากลำบาก โต๊ะก็ไม่มีเหมือนคนอื่น เลยต้องใช้ลังกระดาษมาทำเป็นที่วางของ เราต้องดูแลลังกระดาษนี้เท่าชีวิต **ห้ามเปียกเด็ดขาด ฝนตกสามรอบเราก็ต้องหอบสามรอบ แล้วมันก็เปียกจนได้ ดีที่มันไม่ยุบ และโชคดีที่มันตกช่วงบ่าย ยังพอมีแดดร้อนๆมาช่วยให้มันแห้ง** ทุ่มกว่าฝนก็ไม่มีแล้ว แย้ดีใจมาก แต่ที่หนักกว่าฝน คือคนเดินน้อยมาก ถึงสี่ทุ่มแล้วเราก็ยังขายไม่ได้เงินพอค่าเช่าที่ กับค่ารถกลับเลย เงินงบในกระเป๋าเหลือไม่ถึงร้อยบาท เพราะเอามาซื้อของขาย และจ่ายค่าห้องหมดแล้ว ถ้าขายไม่ได้ตายแน่ๆ ไม่มีเงินค่ารถกลับที่พัก และไม่อยากขอแฟนด้วย เพราะมันเป็นความผิดเราเองที่วางแผนเงินผิดพลาด แต่แล้วก็ต้องขออยู่ดีเพราะสี่ทุ่มแล้วยังขายไม่ได้เลย ต้องรีบบอก เดี๋ยวแฟนนอนแล้วจะซวย เพราะแฟนอยู่เชียงใหม่ 😂 เราเลยต้องจำใจแหกกฎที่ตั้งเอาไว้ (มันง่ายไป) สรุปวันนั้นเราขายของได้185บาท พอกลับมาถึงห้องพักเรากลับมาคิดทบทวนอีกครั้งกับความท้อแท้ สิ้นหวังที่เกิดขึ้น เราถามตัวเองว่า "ฉันเลือกเองไม่ใช่หรอ? ฉันบอกว่าฉันชอบแบบนี้ " เราเริ่มคิดถึงแฟน คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารอร่อยๆที่เคยกิน คิดถึงเตียงนอนนุ่มๆและความเงียบสงบเป็นส่วนตัวที่บ้าน คิดถึงรถที่ให้ความสะดวกสบาย และรู้สึกปลอดภัย ไม่ต้องนั่งแท็กซี่/วินมอไซต์ ให้รู้สึกหวาดระแวง เราเริ่มถามตัวเอง ว่าทำไมถึงท้อ เพราะเราเลือกเองที่จะลำบาก เราบอกกับตัวเองว่าเราชอบมัน จากนั้นเราได้ค้นพบคำตอบว่า ตัวเราเองเป็นคนไม่สู้งานนี่เอง แล้วเราก็กำลังคิดที่จะหนีความลำบาก เราเลยนึกถึงแฟน นึกถึงความสบาย เพราะเรารู้อยู่แก่ใจตัวเองว่า แฟนสามารถ/พร้อมที่ช่วยให้เราหลุดพ้นจากความลำบากนี้ได้ ทั้งที่ตัวเราเป็นคนเลือกมันเอง เราอยากลำบาก เราอยากเรียนรู้ปัญหา เราอยากขายของ เราอยากเป็นแม่ค้า แต่พอเราได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว เมื่อมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ เราเลยคิดที่จะหนีมันไป ไม่ยอมเรียนรู้ คนประเภทนี้จะไม่มีทางประสบณ์ความสำเร็จในชีวิตได้ ถ้าไม่แก้ไขที่ตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะไม่สำเร็จ 😳 เรารู้ตัวเองแล้วล่ะ 😂 แล้ววิธีแก้ไขคืออะไร? เรารู้นะว่า "ต้องสู้ ต้องอดทน" แต่นี้คือคำพูดที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว เพราะ ถ้าไม่อดทน ก็ต้องทำสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ ต้องอดทน แต่สิ่งที่เราต้องการ คือ แนวทางปฏิบัติ ตอนนี้เราไม่ได้ท้อแล้วนะคะ แต่หาทางแก้ไขตัวเองไม่ได้ เราว่าเราต้องเปลี่ยนแนวคิด ริเปล่า มีใครมีแนวคิดดีช่วยแชร์กันบ้างคะ เราอยากฟัง อยากรู้ว่าคุณมีวิธีคิด และแก้ไข จัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร
จะเปลี่ยนตัวเองอย่างไร ให้เป็นคนสู้ ไม่หนีปัญหา
วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์ขายของตลาดนัดหน้าฝนกันนะคะ เราเป็นคนอีสาน ทำงานโรงแรมที่ภูเก็ตมาห้าปีกว่า เพิ่งย้ายไปอยู่เชียงใหม่ได้สามเดือน ยังหางานไม่ได้และได้มีโอกาสมา กทม เราเลยวางแผนเพื่อมาหาประสบการณ์ขายของไปด้วยเลย เพราะเราว่างงานมีเวลาว่างอยู่แล้ว มีโอกาสก็เลยทำเลย ด้วยงบ 12,000 กิน/อยู่ ทุกอย่างในงบนี้ ในระยะเวลาไม่จำกัด จนกว่าเงินงบจะหมด หรือเรียกว่า ไปไม่รอดแล้วนั้นเอง (เราเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย) ถ้าไปไม่รอดก็คงต้องกลับเชียงใหม่ไปหางานโรงแรมทำเหมือนเดิม เพราะแฟนเราก็อยู่ที่นั่น แต่ทีนี้เราอยากลองอะไรใหม่ๆที่ท้าทายกว่าเดิมในเมืองหลวงนี้แหละ เป้าหมายเลย เราจึงวางแผนที่จะอยู่ที่นี้สักพัก เพื่อเป็นการฝึกฝน และเรียนรู้ หาประสบการณ์ใหม่ๆ จากการขายของตลาดนัด 😅 เราเริ่มบุ๊คhostel แรกอยู่ 4-5วันเพื่อสำรวจตลาด และ เดินทางหาของมาขาย จนเจอของสิ่งนึง เป็นสิ่งที่เราชอบ และเป็นงาน DIY เราชอบประดิษฐ์ และมันเป็นอะไรที่เราตั้งราคาเองได้ ของที่ได้จะไม่ซ้ำใคร พอได้ของแล้วเราก็หาตลาดลง และ ย้ายไป hostel ที่ใหม่เพื่อให้ใกล้กับตลาด เราได้ตลาดนัดรถไฟที่นึง เขาว่างให้เช่า สี่วัน คือ วัน พฤ - อาทิตย์ เมื่อวานเป็นวันแรกที่เราได้ไปลองขายดู บอกเลย Wow ! มากก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า มันไม่ง่ายเลย ทั้งร้อน ทั้งฝน จัดร้านเสร็จฝนตกมาสามรอบ หอบกล่องหลบฝน เปียกทั้งกล่อง ทั้งผ้าปู รองเท้าผ้าใบคู่งามที่ใส่ไปก็เปียก "นี่คงเป็นการต้อนรับน้องใหม่วันแรกสินะ 555"😆 ลมก็แรงมาก เต้นท์ก็จะปลิวด้วย ต้องพยุงขามันไว้ ทุ่มกว่าฝนหยุดตก แต่ไม่ค่อยมีคนเดิน ไหนใครบอกว่าตลาดตรงนี้คนเดินเยอะไง ถามใครก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "คนเดินเยอะมวกกก" แล้วไหนล่ะ คน ถามไปถามมาได้ความว่าเป็นปรกติของวันพฤหัส พ่อค้าหน้าร้านบอกว่า ศ,ส,อาทิตย์. คนจะเยอะมาก เราก็ อ้อ เข้าใจแล้วค่ะ 😂 แต่ในใจลึกๆเราก็แอบเกิดความรู้สึกท้อแท้กับวันแรกของการเริ่มต้นซะแล้วล่ะ เพราะความเหนื่อยยากลำบาก โต๊ะก็ไม่มีเหมือนคนอื่น เลยต้องใช้ลังกระดาษมาทำเป็นที่วางของ เราต้องดูแลลังกระดาษนี้เท่าชีวิต **ห้ามเปียกเด็ดขาด ฝนตกสามรอบเราก็ต้องหอบสามรอบ แล้วมันก็เปียกจนได้ ดีที่มันไม่ยุบ และโชคดีที่มันตกช่วงบ่าย ยังพอมีแดดร้อนๆมาช่วยให้มันแห้ง** ทุ่มกว่าฝนก็ไม่มีแล้ว แย้ดีใจมาก แต่ที่หนักกว่าฝน คือคนเดินน้อยมาก ถึงสี่ทุ่มแล้วเราก็ยังขายไม่ได้เงินพอค่าเช่าที่ กับค่ารถกลับเลย เงินงบในกระเป๋าเหลือไม่ถึงร้อยบาท เพราะเอามาซื้อของขาย และจ่ายค่าห้องหมดแล้ว ถ้าขายไม่ได้ตายแน่ๆ ไม่มีเงินค่ารถกลับที่พัก และไม่อยากขอแฟนด้วย เพราะมันเป็นความผิดเราเองที่วางแผนเงินผิดพลาด แต่แล้วก็ต้องขออยู่ดีเพราะสี่ทุ่มแล้วยังขายไม่ได้เลย ต้องรีบบอก เดี๋ยวแฟนนอนแล้วจะซวย เพราะแฟนอยู่เชียงใหม่ 😂 เราเลยต้องจำใจแหกกฎที่ตั้งเอาไว้ (มันง่ายไป) สรุปวันนั้นเราขายของได้185บาท พอกลับมาถึงห้องพักเรากลับมาคิดทบทวนอีกครั้งกับความท้อแท้ สิ้นหวังที่เกิดขึ้น เราถามตัวเองว่า "ฉันเลือกเองไม่ใช่หรอ? ฉันบอกว่าฉันชอบแบบนี้ " เราเริ่มคิดถึงแฟน คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารอร่อยๆที่เคยกิน คิดถึงเตียงนอนนุ่มๆและความเงียบสงบเป็นส่วนตัวที่บ้าน คิดถึงรถที่ให้ความสะดวกสบาย และรู้สึกปลอดภัย ไม่ต้องนั่งแท็กซี่/วินมอไซต์ ให้รู้สึกหวาดระแวง เราเริ่มถามตัวเอง ว่าทำไมถึงท้อ เพราะเราเลือกเองที่จะลำบาก เราบอกกับตัวเองว่าเราชอบมัน จากนั้นเราได้ค้นพบคำตอบว่า ตัวเราเองเป็นคนไม่สู้งานนี่เอง แล้วเราก็กำลังคิดที่จะหนีความลำบาก เราเลยนึกถึงแฟน นึกถึงความสบาย เพราะเรารู้อยู่แก่ใจตัวเองว่า แฟนสามารถ/พร้อมที่ช่วยให้เราหลุดพ้นจากความลำบากนี้ได้ ทั้งที่ตัวเราเป็นคนเลือกมันเอง เราอยากลำบาก เราอยากเรียนรู้ปัญหา เราอยากขายของ เราอยากเป็นแม่ค้า แต่พอเราได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว เมื่อมันไม่ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ เราเลยคิดที่จะหนีมันไป ไม่ยอมเรียนรู้ คนประเภทนี้จะไม่มีทางประสบณ์ความสำเร็จในชีวิตได้ ถ้าไม่แก้ไขที่ตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะไม่สำเร็จ 😳 เรารู้ตัวเองแล้วล่ะ 😂 แล้ววิธีแก้ไขคืออะไร? เรารู้นะว่า "ต้องสู้ ต้องอดทน" แต่นี้คือคำพูดที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว เพราะ ถ้าไม่อดทน ก็ต้องทำสิ่งที่ตรงกันข้าม คือ ต้องอดทน แต่สิ่งที่เราต้องการ คือ แนวทางปฏิบัติ ตอนนี้เราไม่ได้ท้อแล้วนะคะ แต่หาทางแก้ไขตัวเองไม่ได้ เราว่าเราต้องเปลี่ยนแนวคิด ริเปล่า มีใครมีแนวคิดดีช่วยแชร์กันบ้างคะ เราอยากฟัง อยากรู้ว่าคุณมีวิธีคิด และแก้ไข จัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร