สมถธรรม-วิปัสสนาธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปัณโณ เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๒

ปฏิปทาเครื่องดำเนินที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นพาดำเนินมา ไม่ว่าทางด้านธรรมด้านวินัย เป็นความถูกต้องดีงามทุกสิ่งทุกอย่าง เท่าที่ได้ไปอยู่กับท่านและสังเกตเต็มสติกำลังความสามารถของตนเรื่อยมา จนกระทั่งวาระสุดท้ายที่ท่านจากไป เป็นสิ่งที่ให้ดูดดื่มทั้งหลักธรรมหลักวินัยที่ท่านพาดำเนินไม่ให้ผิดเพี้ยนไปได้เลย

   เฉพาะอย่างยิ่งพระวินัยท่านรักษาอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ปรากฏว่าท่านได้ล่วงเกินพระวินัยข้อใดเลย นับแต่อาบัติทุกกฏขึ้นไปจนกระทั่งถึงสุดของพระวินัย ท่านเก็บหอมรอมริบเอาไว้หมด สมกับท่านเคารพพระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกอย่างแท้จริง ส่วนธรรมท่านก็ดำเนินด้วยความถูกต้องดีงาม

   การฝึกอบรมบรรดาลูกศิษย์ท่านไม่ได้ถือเป็นแบบเดียว ในบรรดาธรรมะที่จะนำมาสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์นั้น ย่อมมีหลายแง่หลายกระทง เช่นเดียวกันกับที่ท่านแสดงไว้ในกรรมฐาน ๔๐ นั่นคือท่านไม่ผูกมัดหรือไม่ผูกขาด ไม่บังคับบัญชาให้กำหนดเฉพาะธรรมบทใดก็ตามที่ท่านดำเนินมาแล้ว และให้เพื่อนฝูงดำเนินตามแบบของท่านโดยถ่ายเดียวเท่านั้นไม่ปรากฏ

   ท่านแสดงเป็นกลาง ๆ ในบรรดาธรรมทั้งหลาย เช่น สมถธรรมที่อยู่ในห้องกรรมฐาน ๔๐ ท่านก็แสดงเป็นกลาง ๆ ไป แล้วก็มอบให้เป็นไปตามอัธยาศัยของผู้บำเพ็ญจะนำธรรมบทใดเข้าไปบริกรรมภาวนาก็ได้ เมื่อธรรมบทนั้นเห็นว่าเหมาะสมกับจริตนิสัยของตน แล้วได้ผลขึ้นมาในเวลาภาวนาด้วยความตั้งใจจริงจัง ท่านก็ให้พึงยึดธรรมบทนั้นไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์

   นี่ก็พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงบัญญัติไว้เสียเองในอารมณ์แห่งสมถะ ดังกรรมฐาน ๔๐ ห้อง เป็นหลักเป็นเกณฑ์แห่งธรรมทั้งหลายที่ท่านแสดงไว้ ว่าท่านไม่ได้ผูกขาด ท่านไม่ได้แสดงลงในจุดเดียวบทเดียว ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าก็ทรงพระญาณหยั่งทราบในสัตว์ทั้งหลายเต็มพระทัยอยู่แล้ว แต่พระองค์มิได้ทรงให้เป็นไปตามนั้น เพราะเรื่องของอนาคตหรือการอยู่ของผู้ปฏิบัติทั้งหลายนั้น ไม่ใช่อยู่ในที่แห่งเดียว พอที่จะบอกจะแนะหรือจะบังคับบัญชา ให้เป็นไปตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่ทรงหยั่งทราบแล้วในนิสัยของบุคคลผู้นั้น ๆ โดยถ่ายเดียว ท่านจึงวางลงไว้เป็นศูนย์กลาง เช่น กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ เป็นต้น ใครชอบในธรรมบทใดก็ให้ยึดธรรมบทนั้นเป็นหลักใจ แล้วภาวนาอย่างเอาจริงเอาจังกับธรรมบทนั้น

   ทีนี้เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบได้แล้ว การที่จะเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของสมถะให้เป็นไปในแง่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับด้านปัญญานั้นเป็นอีกแง่หนึ่ง ๆ สำหรับที่จะตั้งใจให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ในเบื้องต้นนี้ ต้องมีธรรมเป็นหลักเป็นเกณฑ์ที่เรียกว่าสมถธรรม ธรรมเพื่อความสงบของใจ เพราะปกติใจจะหาความสงบไม่ได้ ต้องมีธรรมเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะ เช่น พุทโธ ๆ หรือธัมโม หรือสังโฆ บทใดก็ตาม แต่ส่วนมากมักจะถูกในอานาปานสติ คือกำหนดลมหายใจเข้าออก นี้มีส่วนถูกมากกว่าบรรดาบทธรรมทั้งหลาย ก็ยึดธรรมบทนั้นไว้เป็นหลักเกณฑ์ จนกระทั่งจิตได้ความสงบเย็นใจกลายเป็นสมาธิขึ้นมา

   คำว่าเป็นสมาธิก็คือจิตแน่นหนามั่นคง จนถึงกับความรู้เด่นอยู่ตลอดเวลา ถ้าเช่นนั้นแล้วคำบริกรรมนั้นก็เริ่มจะหมดความจำเป็นเข้าไป โดยที่เจ้าตัวก็ทราบเองเพราะมีจุดความรู้เด่น แล้วก็ยึดเอาจุดนั้นเป็นที่เกาะ เช่นเดียวกับเราอาศัยคำบริกรรมเป็นที่เกาะในเบื้องต้นนั้นแล เมื่อจิตได้รับความสงบแล้วย่อมละเอียด เราจะบริกรรมหรือไม่บริกรรมความรู้ก็เด่นอยู่ในจุดเดียวนั้น คำบริกรรมก็กลมกลืนเป็นอันเดียวกันกับความรู้นั้นเสีย นั่นละที่ว่าหมดความจำเป็นไปหมดด้วยความเข้าใจในตัวเอง นี่ในภาคสมถะท่านก็สอนไว้อย่างกว้างขวางโดยยกกรรมฐาน ๔๐ ห้องไว้เป็นหลักเกณฑ์เลย

   ส่วนปัญญานั้นท่านก็เริ่มอธิบาย ดังที่เคยได้แสดงให้บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายได้ทราบเรื่อยมานั่นแล มีอสุภะอสุภัง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นพื้นฐานแห่งการดำเนินงานทางด้านวิปัสสนา ใครจะเหมาะสมในทางใดการพิจารณา แต่หลักใหญ่ของผู้เริ่มดำเนินทางด้านปัญญานี้ มักจะดำเนินทางด้านอสุภะอสุภังนี้เป็นส่วนมาก เพราะอันนี้เป็นสิ่งสำคัญมากที่เกี่ยวกับราคะตัณหา ที่ทำให้กำเริบอยู่ตลอดเวลาภายในจิตใจเผลอไม่ได้ จึงต้องได้ใช้นี้เป็นเครื่องเยียวยารักษา ต่อไปก็กลายเป็นเครื่องปราบปรามกันขึ้นมา

   เมื่อจิตมีความชำนิชำนาญพอประมาณในเรื่องอสุภะอสุภังแล้ว จะค่อยคล่องตัว เห็นได้ชัดในอสุภะทั้งหลาย แล้วก็เป็นสิ่งที่ลบล้างกันกับความที่ว่าสุภะ คือความสวยงาม ไปเป็นลำดับลำดา เมื่ออสุภะได้เด่นชัดเข้าไปเท่าไร คำว่าสุภะจะอ่อนตัวลง ๆ ถึงกับไม่ปรากฏเลย ผิวภายนอกจะสดสวยงดงามขนาดไหนก็ตาม แต่ความหยั่งทราบของปัญญาที่มีความชำนิชำนาญในตัวเองแล้วนั้น จะหยั่งเข้าไปสู่ภายในตลอดทั่วถึงอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เป็นอย่างที่เราฝึกอสุภะอสุภังในเบื้องต้น ซึ่งล้มลุกคลุกคลานจับผิดจับถูก บางทีก็ล้มเหลวไป นี่เป็นขั้นเริ่มแรก

   แต่เมื่อได้พิจารณาหลายครั้งหลายหน ก็คืองานของจิตงานของปัญญานั่นแล เราจะไปนับเวล่ำเวลานับเที่ยว กำหนดกฎเกณฑ์กี่เที่ยวกี่หนอย่างนั้นไม่ถูกต้องเลย ต้องทำงานอยู่เช่นนั้น เอานั้นเป็นอารมณ์ของใจเลย การพิจารณาแยกแยะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพราะธรรมชาติแห่งความจริงของสิ่งเหล่านี้เป็นอสุภะอสุภังอยู่แล้ว ไม่ใช่เรามาดัดมาแปลงแต่งให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้

ที่มา: www.luangta.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่