16
เออร์ซูล่า แลงลี่ย์
โดย ฮาร์โมนิก้า
บรรยากาศในรถขณะกลับไปยังไร่องุ่นทิวอลลี่นั้นเงียบเชียบ
แอชลี่ย์ตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่สับสนมึนงง ขณะที่พยาบาลสาวก็พลอยนิ่งเงียบด้วย มื้อกลางวัน
ผ่านไปโดยที่ด็อทตี้พยายามชวนคุยเล่าเรื่องราวต่างๆ ในนิวซีแลนด์ให้เพื่อนผู้ไร้ความทรงจำฟัง
รวมถึงประสบการณ์ขบขันที่ได้พบในการเป็นพยาบาลที่นี่ ซึ่งแอชลี่ย์คงฟังได้อย่างเพลิดเพลินกว่านี้
หากเธอไม่มัวกลัดกลุ้มกับข้อมูลที่ได้รับรู้จากแซ็คคารี่
เขาบอกว่ามีภาพเปลือยและคลิปวีดีโอของเธอที่เขาพร้อมจะปล่อยออกมาหลังจากที่เธอเซ็นสัญญา
ถ่ายแบบกับนิตยสารเพลย์บอย แน่ล่ะ เธอในเวลานี้ไม่มีวันไปทำอะไรแบบนั้นแน่ แต่หากไม่ทำเขา
จะยังขายภาพพวกนั้นหรือไม่
คำตอบชัดเจนในตัวมันเอง เขาบอกว่าได้จ่ายเช็คเงินสดให้เธอแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาย่อมต้อง
หาทางทำกำไรจากสิ่งที่เขาลงทุนไปแน่นอน และโดยธรรมชาติของศิลปินย่อมอยากอวดฝีมือตัวเอง
ภาพพวกนั้นเขาถ่ายได้ค่อนข้างดีพอควร แน่นอนเหลือเกินว่าเขาต้องไม่คิดเก็บมันไว้ชื่นชมคนเดียว
เธอจะทำอย่างไรดี คนอื่นอาจดีใจที่มีโอกาสโด่งดังเป็นที่รู้จักในโลกโซเชียลและกระทั่งในโลก
ภายนอก โอกาสทำเงินมากมายจะหลั่งไหลเข้ามา แต่เธอไม่รู้สึกเช่นนั้น เธอหวาดกลัวและอับอาย
ขายหน้าเหลือประมาณ
แอชลี่ย์ครุ่นคิดเงียบๆ รู้ตัวว่าเงียบสนิทมาตลอดนับแต่แซ็คคารี่เดินออกไป เธอเพียงแต่ยิ้มรับ หัวเราะ
นิดหน่อย ไต่ถามและตอบรับคำสนทนาของด็อทตี้บ้างเป็นระยะตามมารยาท
“นายแซ็คคารี่นั่นทำให้คุณกังวลหรือคะ” คำถามของด็อทตี้ดึงแอชลี่ย์ให้ตื่นจากภวังค์
“ฉัน…นิดหน่อยค่ะ เขา..เขาอ้างว่ามีภาพถ่ายบางอย่างของฉันที่ค่อนข้างส่วนตัวมาก และฉัน…”
“บอกได้มั้ยคะว่าภาพประเภทไหน”
“ฉัน…มัน…” เธอระบายลมหายใจอย่างจำนน “ภาพเปลือยค่ะ เขาอ้างว่าฉันเคยเป็นแบบเปลือยให้เขา”
“คุณเลยเกรงว่าเขาจะเอาออกมาเผยแพร่” ด็อทตี้ต่อให้
“ค่ะ” หญิงสาวยอมรับ ก่อนระบายลมหายใจยาวอีกครั้งอย่างหนักใจ “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันจะ
เป็นคนแบบที่ใครๆ บอกว่าฉันเป็นจริงๆ มันดูไม่เหมือนตัวฉันเลยสักนิด ฉันไม่อยากเชื่อด้วยว่า
ฉันจะ จะ เคย..”
เธอไม่อาจพูดต่อได้ว่าเธอเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแซ็คคารี่ ผู้ชายบุคลิกแบบนั้นไม่น่าจะใช่รสนิยมของเธอ
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแบรดจึงเกลียดชังฉันนัก ก่อนหน้านี้ฉันไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ฉันเริ่มเห็นแล้ว
ว่าแอชลี่ย์คนที่พวกเขาพูดถึงนั้นน่าพิศวงขนาดไหน”
“คุณไม่รู้สึกว่ามันคือตัวคุณหรือคะ”
“ไม่เลยค่ะ ฉันรู้สึกขัดแย้งไปหมด ไม่ว่าเสื้อผ้า ข้าวของ ผู้คน หรือสิ่งที่ใครๆ บอกว่าฉันเป็น มีสิ่งเดียว
ที่ฉันรู้สึกว่าใช่คือความหลงไหลในการเต้นรำ เท้าฉันขยับไปเองยามได้ยินเสียงดนตรีดีๆ ไพเราะ
ทำไมการความจำเสื่อมมันมีผลต่อเราถึงเพียงนี้เลยหรือคะ”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แอชลี่ย์ ฉันเสียใจจริงๆ ที่ให้ข้อมูลอะไรคุณไม่ได้ แต่คุณก็น่าจะยินดีอยู่ข้อหนึ่ง
นะคะ ฉันไม่คิดว่าแบรดเขาเกลียดคุณมากเท่าที่เขาแสดงออกหรือเท่าที่ใครๆ คิดหรอกค่ะ”
“ทำไมคุณจึงคิดยังงั้นคะ” หญิงสาวถามหันไปมองหน้าเพื่อนใหม่อย่างรอฟังคำตอบ
พยาบาลสาวตบไฟเลี้ยวเข้าสู่บริเวณไร่องุ่นทิวอลลี่
“หากเขาเกลียดขี้หน้าคุณจริง เขาไม่เห็นจำเป็นต้องรับตัวคุณมาดูแลรับผิดชอบแบบนี้ เขาส่งต่อคุณ
ให้ตำรวจก็ได้ แจ้งว่าคุณประสบอุบัติเหตุ ความจำเสื่อมและไร้ญาติ เขาเพียงแต่ไปพบและช่วยเหลือ
นำส่งโรงพยาบาลก็ถือเป็นน้ำใจพลเมืองดีแล้ว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็ยังมีสถานสงเคราะห์หรืออะไรก็ตาม
ที่จะมีคนมารับเรื่องต่อ แต่นี่เขาเลือกจะรับผิดชอบดูแลคุณเอง แบบนี้ไม่น่าจะใช่การกระทำของคนที่
เกลียดขี้หน้ากันหรอกค่ะฉันว่า”
“นั่นอาจเพราะเขาเป็นคนมีน้ำใจและมีคุณธรรมก็ได้ค่ะ ด็อทตี้ ฉันไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่านี้ คุณ
ไม่ทราบหรอกว่าเขาดูถูกเหยียดหยามและรังเกียจฉันขนาดไหน ซึ่งจากสิ่งที่ฉันได้เริ่มพบมาเกี่ยวกับ
ตัวฉันเมื่อก่อนนี้ ฉันก็พอเข้าใจเหตุผลค่ะว่าทำไม”
พูดอย่างเศร้าสร้อย ดวงตาจับจ้องที่มือซึ่งบีบเข้าหากันอย่างกลัดกลุ้มของตัวเอง
รถจอดลงตรงหน้าวิลล่าหลังใหญ่
“อย่ากังวลไปเลยค่ะ ทั้งหมดนั่นเป็นอดีต คุณแก้ไขอะไรมันไม่ได้ ฉันหวังว่าคุณจะหายเร็วๆ จะได้รู้
ว่าควรทำอะไรต่อไป หรืออย่างน้อยก็พอรู้ที่ทางที่จะตั้งหลักอะไรของตัวเองได้ หากคุณต้องการ
ความช่วยเหลือก็โทรหาฉันได้นะคะ ฉันขอรับรองว่าอย่างน้อยในไร่ทิวอลลี่นี้คุณก็ยังมีฉันเป็น
เพื่อนอยู่คนหนึ่งค่ะ”
หญิงสาวผู้ไร้ความทรงจำเหลือบมองเพื่อนใหม่ร่างเล็ก ผมสีทองดวงตาสีเทาผู้นั้นอย่างซาบซึ้ง
ดวงตาสีเขียวรื้นน้ำตาแห่งความตื้นตัน คำว่ามิตรภาพมีความหมายต่อเธอมากมายเหลือเกินในเวลานี้
“ขอบคุณค่ะด็อทตี้” เธอกล่าวแล้วก้าวลงจากรถ โบกมือให้และยืนมองพยาบาลสาวขับรถจากไป
รักในรอยฝัน บทที่ 16 เออร์ซูล่า แลงลี่ย์
เออร์ซูล่า แลงลี่ย์
โดย ฮาร์โมนิก้า
บรรยากาศในรถขณะกลับไปยังไร่องุ่นทิวอลลี่นั้นเงียบเชียบ
แอชลี่ย์ตกอยู่ในภวังค์ความคิดที่สับสนมึนงง ขณะที่พยาบาลสาวก็พลอยนิ่งเงียบด้วย มื้อกลางวัน
ผ่านไปโดยที่ด็อทตี้พยายามชวนคุยเล่าเรื่องราวต่างๆ ในนิวซีแลนด์ให้เพื่อนผู้ไร้ความทรงจำฟัง
รวมถึงประสบการณ์ขบขันที่ได้พบในการเป็นพยาบาลที่นี่ ซึ่งแอชลี่ย์คงฟังได้อย่างเพลิดเพลินกว่านี้
หากเธอไม่มัวกลัดกลุ้มกับข้อมูลที่ได้รับรู้จากแซ็คคารี่
เขาบอกว่ามีภาพเปลือยและคลิปวีดีโอของเธอที่เขาพร้อมจะปล่อยออกมาหลังจากที่เธอเซ็นสัญญา
ถ่ายแบบกับนิตยสารเพลย์บอย แน่ล่ะ เธอในเวลานี้ไม่มีวันไปทำอะไรแบบนั้นแน่ แต่หากไม่ทำเขา
จะยังขายภาพพวกนั้นหรือไม่
คำตอบชัดเจนในตัวมันเอง เขาบอกว่าได้จ่ายเช็คเงินสดให้เธอแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาย่อมต้อง
หาทางทำกำไรจากสิ่งที่เขาลงทุนไปแน่นอน และโดยธรรมชาติของศิลปินย่อมอยากอวดฝีมือตัวเอง
ภาพพวกนั้นเขาถ่ายได้ค่อนข้างดีพอควร แน่นอนเหลือเกินว่าเขาต้องไม่คิดเก็บมันไว้ชื่นชมคนเดียว
เธอจะทำอย่างไรดี คนอื่นอาจดีใจที่มีโอกาสโด่งดังเป็นที่รู้จักในโลกโซเชียลและกระทั่งในโลก
ภายนอก โอกาสทำเงินมากมายจะหลั่งไหลเข้ามา แต่เธอไม่รู้สึกเช่นนั้น เธอหวาดกลัวและอับอาย
ขายหน้าเหลือประมาณ
แอชลี่ย์ครุ่นคิดเงียบๆ รู้ตัวว่าเงียบสนิทมาตลอดนับแต่แซ็คคารี่เดินออกไป เธอเพียงแต่ยิ้มรับ หัวเราะ
นิดหน่อย ไต่ถามและตอบรับคำสนทนาของด็อทตี้บ้างเป็นระยะตามมารยาท
“นายแซ็คคารี่นั่นทำให้คุณกังวลหรือคะ” คำถามของด็อทตี้ดึงแอชลี่ย์ให้ตื่นจากภวังค์
“ฉัน…นิดหน่อยค่ะ เขา..เขาอ้างว่ามีภาพถ่ายบางอย่างของฉันที่ค่อนข้างส่วนตัวมาก และฉัน…”
“บอกได้มั้ยคะว่าภาพประเภทไหน”
“ฉัน…มัน…” เธอระบายลมหายใจอย่างจำนน “ภาพเปลือยค่ะ เขาอ้างว่าฉันเคยเป็นแบบเปลือยให้เขา”
“คุณเลยเกรงว่าเขาจะเอาออกมาเผยแพร่” ด็อทตี้ต่อให้
“ค่ะ” หญิงสาวยอมรับ ก่อนระบายลมหายใจยาวอีกครั้งอย่างหนักใจ “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันจะ
เป็นคนแบบที่ใครๆ บอกว่าฉันเป็นจริงๆ มันดูไม่เหมือนตัวฉันเลยสักนิด ฉันไม่อยากเชื่อด้วยว่า
ฉันจะ จะ เคย..”
เธอไม่อาจพูดต่อได้ว่าเธอเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแซ็คคารี่ ผู้ชายบุคลิกแบบนั้นไม่น่าจะใช่รสนิยมของเธอ
“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมแบรดจึงเกลียดชังฉันนัก ก่อนหน้านี้ฉันไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ฉันเริ่มเห็นแล้ว
ว่าแอชลี่ย์คนที่พวกเขาพูดถึงนั้นน่าพิศวงขนาดไหน”
“คุณไม่รู้สึกว่ามันคือตัวคุณหรือคะ”
“ไม่เลยค่ะ ฉันรู้สึกขัดแย้งไปหมด ไม่ว่าเสื้อผ้า ข้าวของ ผู้คน หรือสิ่งที่ใครๆ บอกว่าฉันเป็น มีสิ่งเดียว
ที่ฉันรู้สึกว่าใช่คือความหลงไหลในการเต้นรำ เท้าฉันขยับไปเองยามได้ยินเสียงดนตรีดีๆ ไพเราะ
ทำไมการความจำเสื่อมมันมีผลต่อเราถึงเพียงนี้เลยหรือคะ”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แอชลี่ย์ ฉันเสียใจจริงๆ ที่ให้ข้อมูลอะไรคุณไม่ได้ แต่คุณก็น่าจะยินดีอยู่ข้อหนึ่ง
นะคะ ฉันไม่คิดว่าแบรดเขาเกลียดคุณมากเท่าที่เขาแสดงออกหรือเท่าที่ใครๆ คิดหรอกค่ะ”
“ทำไมคุณจึงคิดยังงั้นคะ” หญิงสาวถามหันไปมองหน้าเพื่อนใหม่อย่างรอฟังคำตอบ
พยาบาลสาวตบไฟเลี้ยวเข้าสู่บริเวณไร่องุ่นทิวอลลี่
“หากเขาเกลียดขี้หน้าคุณจริง เขาไม่เห็นจำเป็นต้องรับตัวคุณมาดูแลรับผิดชอบแบบนี้ เขาส่งต่อคุณ
ให้ตำรวจก็ได้ แจ้งว่าคุณประสบอุบัติเหตุ ความจำเสื่อมและไร้ญาติ เขาเพียงแต่ไปพบและช่วยเหลือ
นำส่งโรงพยาบาลก็ถือเป็นน้ำใจพลเมืองดีแล้ว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็ยังมีสถานสงเคราะห์หรืออะไรก็ตาม
ที่จะมีคนมารับเรื่องต่อ แต่นี่เขาเลือกจะรับผิดชอบดูแลคุณเอง แบบนี้ไม่น่าจะใช่การกระทำของคนที่
เกลียดขี้หน้ากันหรอกค่ะฉันว่า”
“นั่นอาจเพราะเขาเป็นคนมีน้ำใจและมีคุณธรรมก็ได้ค่ะ ด็อทตี้ ฉันไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่านี้ คุณ
ไม่ทราบหรอกว่าเขาดูถูกเหยียดหยามและรังเกียจฉันขนาดไหน ซึ่งจากสิ่งที่ฉันได้เริ่มพบมาเกี่ยวกับ
ตัวฉันเมื่อก่อนนี้ ฉันก็พอเข้าใจเหตุผลค่ะว่าทำไม”
พูดอย่างเศร้าสร้อย ดวงตาจับจ้องที่มือซึ่งบีบเข้าหากันอย่างกลัดกลุ้มของตัวเอง
รถจอดลงตรงหน้าวิลล่าหลังใหญ่
“อย่ากังวลไปเลยค่ะ ทั้งหมดนั่นเป็นอดีต คุณแก้ไขอะไรมันไม่ได้ ฉันหวังว่าคุณจะหายเร็วๆ จะได้รู้
ว่าควรทำอะไรต่อไป หรืออย่างน้อยก็พอรู้ที่ทางที่จะตั้งหลักอะไรของตัวเองได้ หากคุณต้องการ
ความช่วยเหลือก็โทรหาฉันได้นะคะ ฉันขอรับรองว่าอย่างน้อยในไร่ทิวอลลี่นี้คุณก็ยังมีฉันเป็น
เพื่อนอยู่คนหนึ่งค่ะ”
หญิงสาวผู้ไร้ความทรงจำเหลือบมองเพื่อนใหม่ร่างเล็ก ผมสีทองดวงตาสีเทาผู้นั้นอย่างซาบซึ้ง
ดวงตาสีเขียวรื้นน้ำตาแห่งความตื้นตัน คำว่ามิตรภาพมีความหมายต่อเธอมากมายเหลือเกินในเวลานี้
“ขอบคุณค่ะด็อทตี้” เธอกล่าวแล้วก้าวลงจากรถ โบกมือให้และยืนมองพยาบาลสาวขับรถจากไป