สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
+1 ขอบคุณค่ะพี่โอ้ สำหรับกระทู้ดีๆ
ป่านนี้ที่บ้านยังไม่ได้รับเอกสารอะไรที่ส่งมาเลยค่ะ ดีที่ได้หาอ่านจากเพื่อนๆ ที่มาลงในบอร์ดนี้
รธน.ของประเทศต่างๆ ก็มีเอกลักษณ์ มีที่มา มีจุดเด่น ฯลฯ ที่แตกต่างกันไป เช่น
- อังกฤษ ไม่มี รธน.ที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่อยู่ตามกฎหมาย คำพิพากษาต่างๆ และธรรมเนียมที่สืบต่อมา
กลายเป็นจารีตประเพณี ทำให้มีความยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงได้ และเขาเป็นประเทศที่ยึดมั่นกับระบอบปชต.มาก
โดยค่อยๆ ลดอำนาจจากกลุ่มขุนนาง ลงมาสู่ชนชั้นกลาง และเป็นแบบประชาธิปไตยให้ประชาชนมากขึ้นในที่สุด
- สหรัฐอเมริกา ต้องการปลดแอกตัวเองจากอังกฤษ ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ประเทศเขาจึงเน้นเรื่อง สิทธิ เสรีภาพ
ความยุติธรรมในประเทศมากๆ โดยเขียนแบบเรียบง่าย แค่เป็นหลักการพื้นฐานกว้างๆ ให้มีความยืดหยุ่น
ปรับปรุงแก้ไขได้ รธน.อเมริกาจึงถือว่าเก่าแก่ที่สุดของโลกคือใช้มายาวนานถึง 200 กว่าปี ไม่ต้องฉีกทิ้ง
เพียงแค่ปรับปรุงแก้ไขไปประมาณ 27 ครั้ง
- อินเดีย กับ แอฟริกาใต้ มีปัญหาเรื่องเคยเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก เรื่องปัญหาชนชั้น สีผิว
แต่เชื่อหรือไม่ รธน.ที่เป็น กฎหมายสูงสุดของเขา มีหัวใจหลักคือปกป้องประชาชนที่ต่ำต้อยที่สุดของประเทศ
- ประเทศไทย บ้านเราตั้งแต่ปี 2475 ผ่านมา 84 ปี มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง (หากข้อมูลผิดพลาดตรงไหน รบกวนผู้รู้ช่วยแก้ไขด้วยค่ะ)
ปฏิวัติ 1 ครั้ง คือการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
กบฏ 11 ครั้ง (การรัฐประหาร/ปฏิวัติ ไม่สำเร็จ)
รัฐประหาร 13 ครั้ง (การรัฐประหารสำเร็จ)
รัฐธรรมนูญ 19 ฉบับ
แปลว่า
มีการล้มรัฐบาลสำเร็จทุกๆ 6.5 ปี
ถ้ารวมแบบสำเร็จและไม่สำเร็จแปลว่าจะเกิดความวุ่นวายทุกๆ 3.5 ปี
มีการเขียน รธน. ใหม่ทุกๆ 4.4 ปี
ตอนนี้เราติดอันดับประเทศที่มี รธน.มากที่สุดในโลกอันดับต้นๆ วนลูปมาหลายสิบปี และที่เราไม่ไปไหนมาไหนสักที
ส่วนหนึ่งก็เพราะเราไม่สร้างความตระหนักการหวงแหนรัฐธรรมนูญให้ประชาชน
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ หลักการพื้นฐานเลยก็ต้องให้สิทธิกับประชาชนเต็มที่
หากเริ่มต้นประชาชนก็วิพากษ์วิจารณ์โดยเสรีไม่ได้แล้วก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีสิทธิมีเสียงแค่ไหน
ตัวแทนบริหารประเทศควรต้องมาจากประชาชนทั้งหมด ไม่อย่างนั้นพรรคการเมืองที่มีนโยบายดีๆ
มีผลงานดีๆ กลับไม่สามารถเข้ามาทำงานให้ประชาชนได้ นั่นคือเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนไม่มีความหมาย
และยังทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะอยู่ภายใต้องค์กรอิสระที่มีอำนาจล้นฟ้า
สิ่งใดที่ได้มาโดยประชาชนมีส่วนร่วม เขาย่อมต้องเห็นคุณค่า มีความรักและหวงแหน
ดังนั้นพื้นฐานที่ทำให้ รธน.เป็นรากฐานที่ถูกต้องคือต้องมาจากการตอบโจทย์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
ให้เขามีส่วนร่วม มีสิทธิ เสรีภาพ ปกป้องผลประโยชน์คนยากจน สร้างระบบการเมืองที่เข้มแข็ง
ทุกวันนี้เราเสียเวลา งบประมาณ และที่สำคัญคือโอกาสไปมากมายแล้ว
ขอให้ทุกคนไตร่ตรองด้วยตัวเอง อย่าให้ใครชี้นำ นานแค่ไหนเราก็รอได้ ขอให้ได้สิ่งที่จะเป็นพื้นฐานความถูกต้องเสียที
จะได้พ้นจากวังวนเก่าๆ ที่รีเซตไม่จบสิ้น

วันที่ 7 สิงหาคม ใครตัดสินใจอย่างไร ขอให้ออกไปแสดงพลังค่ะเพื่อลูกหลานวันข้างหน้าจะได้มี รธน. ที่เป็นของประชาชนที่แท้จริง
ป่านนี้ที่บ้านยังไม่ได้รับเอกสารอะไรที่ส่งมาเลยค่ะ ดีที่ได้หาอ่านจากเพื่อนๆ ที่มาลงในบอร์ดนี้
รธน.ของประเทศต่างๆ ก็มีเอกลักษณ์ มีที่มา มีจุดเด่น ฯลฯ ที่แตกต่างกันไป เช่น
- อังกฤษ ไม่มี รธน.ที่เป็นลายลักษณ์อักษร แต่อยู่ตามกฎหมาย คำพิพากษาต่างๆ และธรรมเนียมที่สืบต่อมา
กลายเป็นจารีตประเพณี ทำให้มีความยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงได้ และเขาเป็นประเทศที่ยึดมั่นกับระบอบปชต.มาก
โดยค่อยๆ ลดอำนาจจากกลุ่มขุนนาง ลงมาสู่ชนชั้นกลาง และเป็นแบบประชาธิปไตยให้ประชาชนมากขึ้นในที่สุด
- สหรัฐอเมริกา ต้องการปลดแอกตัวเองจากอังกฤษ ต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ประเทศเขาจึงเน้นเรื่อง สิทธิ เสรีภาพ
ความยุติธรรมในประเทศมากๆ โดยเขียนแบบเรียบง่าย แค่เป็นหลักการพื้นฐานกว้างๆ ให้มีความยืดหยุ่น
ปรับปรุงแก้ไขได้ รธน.อเมริกาจึงถือว่าเก่าแก่ที่สุดของโลกคือใช้มายาวนานถึง 200 กว่าปี ไม่ต้องฉีกทิ้ง
เพียงแค่ปรับปรุงแก้ไขไปประมาณ 27 ครั้ง
- อินเดีย กับ แอฟริกาใต้ มีปัญหาเรื่องเคยเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก เรื่องปัญหาชนชั้น สีผิว
แต่เชื่อหรือไม่ รธน.ที่เป็น กฎหมายสูงสุดของเขา มีหัวใจหลักคือปกป้องประชาชนที่ต่ำต้อยที่สุดของประเทศ
- ประเทศไทย บ้านเราตั้งแต่ปี 2475 ผ่านมา 84 ปี มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง (หากข้อมูลผิดพลาดตรงไหน รบกวนผู้รู้ช่วยแก้ไขด้วยค่ะ)
ปฏิวัติ 1 ครั้ง คือการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
กบฏ 11 ครั้ง (การรัฐประหาร/ปฏิวัติ ไม่สำเร็จ)
รัฐประหาร 13 ครั้ง (การรัฐประหารสำเร็จ)
รัฐธรรมนูญ 19 ฉบับ
แปลว่า
มีการล้มรัฐบาลสำเร็จทุกๆ 6.5 ปี
ถ้ารวมแบบสำเร็จและไม่สำเร็จแปลว่าจะเกิดความวุ่นวายทุกๆ 3.5 ปี
มีการเขียน รธน. ใหม่ทุกๆ 4.4 ปี
ตอนนี้เราติดอันดับประเทศที่มี รธน.มากที่สุดในโลกอันดับต้นๆ วนลูปมาหลายสิบปี และที่เราไม่ไปไหนมาไหนสักที
ส่วนหนึ่งก็เพราะเราไม่สร้างความตระหนักการหวงแหนรัฐธรรมนูญให้ประชาชน
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ หลักการพื้นฐานเลยก็ต้องให้สิทธิกับประชาชนเต็มที่
หากเริ่มต้นประชาชนก็วิพากษ์วิจารณ์โดยเสรีไม่ได้แล้วก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะมีสิทธิมีเสียงแค่ไหน
ตัวแทนบริหารประเทศควรต้องมาจากประชาชนทั้งหมด ไม่อย่างนั้นพรรคการเมืองที่มีนโยบายดีๆ
มีผลงานดีๆ กลับไม่สามารถเข้ามาทำงานให้ประชาชนได้ นั่นคือเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนไม่มีความหมาย
และยังทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะอยู่ภายใต้องค์กรอิสระที่มีอำนาจล้นฟ้า
สิ่งใดที่ได้มาโดยประชาชนมีส่วนร่วม เขาย่อมต้องเห็นคุณค่า มีความรักและหวงแหน
ดังนั้นพื้นฐานที่ทำให้ รธน.เป็นรากฐานที่ถูกต้องคือต้องมาจากการตอบโจทย์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
ให้เขามีส่วนร่วม มีสิทธิ เสรีภาพ ปกป้องผลประโยชน์คนยากจน สร้างระบบการเมืองที่เข้มแข็ง
ทุกวันนี้เราเสียเวลา งบประมาณ และที่สำคัญคือโอกาสไปมากมายแล้ว
ขอให้ทุกคนไตร่ตรองด้วยตัวเอง อย่าให้ใครชี้นำ นานแค่ไหนเราก็รอได้ ขอให้ได้สิ่งที่จะเป็นพื้นฐานความถูกต้องเสียที
จะได้พ้นจากวังวนเก่าๆ ที่รีเซตไม่จบสิ้น

วันที่ 7 สิงหาคม ใครตัดสินใจอย่างไร ขอให้ออกไปแสดงพลังค่ะเพื่อลูกหลานวันข้างหน้าจะได้มี รธน. ที่เป็นของประชาชนที่แท้จริง

ความคิดเห็นที่ 9
เราก้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
การที่ใครจะบอกว่า ตนเอง เลือกอะไร ในสิ่งที่มีผลต่อชีวิตตัวเอง กลายเป็นความผิดตั้งแต่เมื่อไร
ผมไม่ได้บิดเบือนรัฐธรรมนูญ ผมไม่ได้ชักจูงใคร
ผมแค่บอกสิ่งที่ผมจะทำตามสิทธิของผม และเป็นหน้าที่ด้วย
ดังนั้นผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
เราไม่ควรถูกความกลัวครอบงำในการใช้ชีวิต
การที่ใครจะบอกว่า ตนเอง เลือกอะไร ในสิ่งที่มีผลต่อชีวิตตัวเอง กลายเป็นความผิดตั้งแต่เมื่อไร
ผมไม่ได้บิดเบือนรัฐธรรมนูญ ผมไม่ได้ชักจูงใคร
ผมแค่บอกสิ่งที่ผมจะทำตามสิทธิของผม และเป็นหน้าที่ด้วย
ดังนั้นผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
เราไม่ควรถูกความกลัวครอบงำในการใช้ชีวิต
แสดงความคิดเห็น
โค้งสุดท้ายก่อนวันลงประชามติ สรุปเหตุผลส่วนตัวสั้นๆในการมองร่างรัฐธรรมนูญ 2559 ครับ (The Mario)
ในฐานะประชาชนไทยคนหนึ่งที่มีสิทธิในการโหวตร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 นี้ ขออนุญาตสรุปเหตุผลส่วนตัวสั้นๆเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญบางมาตราที่มีปัญหาดังนี้ (หากสมาชิกท่านใดพบเห็นบางมาตราที่เพิ่มมากกว่านี้ก็สามารถนำมาเพิ่มเติมได้ครับ)
มาตรา 5 ในกรณีที่ประเทศเกิดปัญหาทางการเมืองโดยให้องค์กรที่เกี่ยวข้องต้องพูดคุยและหาทางออกร่วมกัน หากเกิดกรณีที่ใช้มาตรา 5 เพื่อหาทางออกร่วมกัน เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญจัดให้มีการประชุมร่วมระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานองค์กรอิสระเพื่อวินิจฉัย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร+ประธานวุฒิสภา+ประธานศาลรัฐธรรมนูญ+ประธานองค์กรอิสระ ครึ่งหนึ่งของคณะประชุมมีโอกาสสูงมากที่จะออกความเห็นหรือลงมติมาในทิศทางเดียวกันครับ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะได้ทางออกที่ถูกต้อง
มาตรา 47 เรื่องสิทธิการรักษาพยาบาล บุคคลผู้ยากไร้ย่อมมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายบัญญัติ ทำไมต้องเป็นผู้ยากไร้หรือต้องไปลงทะเบียนผู้ยากไร้เท่านั้นเหรอครับถึงจะได้รับความคุ้มครองตรงนี้ ในขณะที่พยายามสื่อว่ากำลังลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม แต่นี่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแยกคำว่าบุคคลกับผู้ยากไร้ออกจากกันเพื่อแลกมาให้ได้ในสิทธินี้ ผมว่ามันไม่ควรครับ
มาตรา 54 เรื่องเรียนฟรี ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนเอาไว้ชัดเจนว่าเรียนฟรีแค่ 12 ปี เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนผู้มีกำลังทรัพย์น้อยในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนครับ
มาตรา 80 ในกรณีที่ไม่มีประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาได้ให้ประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภาแทน นี่คือการก้าวข้ามหน้าที่จากฝ่ายนิติบัญญัติมาทำหน้าที่ควบคุมฝ่ายบริหารใช่หรือไม่ ทั้งๆที่ความเป็นจริงอำนาจสมควรที่จะถ่วงดุลกันและไม่ก้าวล่วงเข้ามาทำหน้าที่ทั้งๆที่รองประธานสภาฯก็ยังมี มิหนำซ้ำในระหว่างที่ประธานวุฒิสภาต้องทำหน้าที่ประธานรัฐสภาตามวรรคสอง แต่ไม่มีประธานวุฒิสภา และเป็นกรณีที่เกิดขึ้นในระหว่างไม่มีสภาผู้แทนราษฎร ให้รองประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ถ้าไม่มีรองประธานวุฒิสภา ให้สมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีอายุมากที่สุดในขณะนั้นทำหน้าที่ประธานรัฐสภา นี่คือการวางหมากเพื่อล้วงลูกก้าวข้ามอำนาจหน้าที่กันหรือไม่ แล้วคุณเอารองประธานสภาไปซุกไว้ที่ไหน?
ย่อหน้านี้อาจจะมีหลายมาตราที่เกี่ยวเนื่องกันนะครับ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนไม่มีเสถียรภาพพร้อมที่จะถูกล้มได้ทุกเมื่อหากเกิดกรณี 2 มาตรฐานขึ้นมาอีกครั้ง ในกรณีใช้อำนาจทางศาลรัฐธรรมนูญในการล้มรัฐบาลประชาชน หรือเกิดกรณี 2 มาตรฐานอีกครั้ง (ไม่ไม่จำกัดนะครับว่าจะมาจากทางขั้วการเมืองไหน จะเป็นเพื่อไทยก็ได้ หรือประชาธิปัตย์ก็ได้) หรือแม้กระทั่งการรอการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคนนอกจึงจำเป็นที่จะต้องเอาผิดรัฐบาลประชาชนให้ได้เสียก่อน ก็สามารถทำได้โดยใช้ มาตรา ๘๒ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก ว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแห่งสภานั้นสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๐๑ (๓)(๕) (๖) (๗) (๘) (๙) (๑๐) หรือ (๑๒) หรือมาตรา ๑๑๑ (๓) (๔) (๕) หรือ (๗) แล้วแต่กรณี และให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับคำร้อง ส่งคำร้องนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกผู้นั้นสิ้นสุดลงหรือไม่
จากมาตรา 82 มีสิ่งที่สามารถเชื่อมต่อเพื่อเอาผิดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ตามมาตรา 101 ข้อที่ 7 กระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๑๘๔ หรือมาตรา ๑๘๕
ภาพแสดงมาตรา 101 ข้อที่ 7
ภาพแสดงมาตรา 185
มาตรา ๑๘๕ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภากระทำการใดๆ อันมีลักษณะที่เป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมืองไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑) การปฏิบัติราชการหรือการดำเนินงานในหน้าที่ประจำของข้าราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
(๒) กระทำการในลักษณะที่ทำให้ตนมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ หรือให้ความเห็นชอบในการจัดทำโครงการใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐ เว้นแต่เป็นการดำเนินการในกิจการของรัฐสภา
(๓) การบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือนหรือการให้พ้นจากตำแหน่งของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือราชการส่วนท้องถิ่น
จากทั้ง 3 ข้อในมาตรา 185 นี้ หากเกิดกรณี 2 มาตรฐานขึ้นมาในการตัดสินความของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็สามารถกระทำการได้โดยง่ายเช่นในอดีตที่ผ่านมา เพราะสามารถตีความออกไปได้กว้างและออกได้ทุกทางว่าผิดจริงหรือไม่ผิด ฉะนั้นแล้วเราจะมีความเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดกรณีนี้ขึ้น การตีความเพื่อเอาผิดจากกรณีทางการเมืองต่างๆก็มีให้เห็นดังเช่นอดีต เช่นทำกับข้าวออกทีวียังผิด สั่งย้ายข้าราชการที่ทำหน้าที่ไม่ได้ก็ยังผิด เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าทำอะไรแล้วจะไม่ผิด ในเมื่อทำหน้าที่รัฐบาลก็คงหลีกเลี่ยงที่จะมีภารกิจต่างๆมากมายที่จะทำ หากจะตีความเอาผิดโดยคณะ ตลก ที่ถูกแต่งตั้งมาจาก สว. สรรหา ที่ถูกแต่งตั้งมาจากบุคคลคณะเดียว ก็สามารถดำเนินการได้ทุกเมื่อ
กติกาการเลือกตั้งตามร่าง รธน. ฉบับนี้ปิดโอกาสของคำว่าเลือกคนที่รักเลือกพรรคที่ชอบออกไป โดยในส่วนของ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อมีหลักการคำนวนที่พึงได้มาตามมาตรา 91
ซึ่งกติการการเลือกตั้งใหม่นี้ไม่ทราบว่ามีการคำนวนและวิเคราะห์เชิงตัวเลขมาก่อนหรือไม่ว่ามีโอกาสสูงที่จะทำให้พรรคใดพรรคหนึ่งมีคะแนนลดลงมาไม่ถึงครึ่ง ส่วนพรรครองลงมาได้คะแนนเพิ่มขึ้นมาเพื่อบีบคะแนนให้ใกล้เคียงกันขึ้นมา และพรรคอันดับสองมีโอกาสเสียมารยาททางการเมืองในการจับมือร่วมกับพรรคอื่นที่เหลือเพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยปล่อยให้พรรคที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเลือกเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งต้องกลายไปเป็นฝ่ายค้านเดี่ยว หรือในกรณีที่คะแนนรวมสูสีใกล้เคียงกัน จึงเป็นการยากที่จะหาข้อสรุปในการแต่งตั้งนายกฯที่มาจากการนำเสนอตามมาตรา 88
จึงเป็นการเปิดช่องให้เกิดมาตรา 272 กรณีที่ไม่อาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ ไม่ว่าด้วยเหตุใด และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ ที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘
และสิ่งนี้หรือไม่ที่เป็นที่มาของคำถามพ่วงท้ายการโหวตร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการโหวตรับ-ไม่รับนายกรัฐมนตรีของ สว. สรรหาทั้ง 250 คน เพื่อปูทางให้เกิดนายกฯคนนอกที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
มาตรา 269 ที่มาของ สว. จะเห็นได้ว่า สว. ทั้งหมดในวาระเริ่มต้น 250 คน ถูกแต่งตั้งมาจาก คสช. ทั้งหมด เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีการส่งกลุ่ม สว.เหล่านี้มาเพื่อต่อท่ออำนาจให้กับกลุ่มคณะใดคณะหนึ่ง หรือมาทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติเพื่อประชาชนไทยจริงๆ ทุกอย่างยังเป็นปริศนาเพราะอำนาจ สว. มีมากมายเพียงพอที่จะล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนไทยได้ทุกเมื่อ โดยใช้อำนาจของคณะทำงานศาลรัฐธรรมนูญที่ตัวเองเป็นฝ่ายแต่งตั้งขึ้นมาจัดการกับรัฐบาลได้ทุกเมื่อ
มาตรา ๒๐๐ ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวนเก้าคน มาตรา ๒๐๔ ผู้ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา สรุปแล้วคือ สว. ที่มาจาก คสช. แต่งตั้ง คณะ ตลก ผู้ที่มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายให้กับรัฐบาลมาอีกที ผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะตัดสินโดยไม่เอนเอียงในการตัดสินความหรือเกิดกรณี 2 มาตรฐานค้านสายตาประชาชนมาหลายคดีอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต
เพื่อนสมาชิกท่านใดมีความเห็นหรือมาตราใดๆเพิ่มเติมก็แสดงความเห็นกันได้ครับ อยากให้การปฏิรูปประเทศไทยในครั้งนี้เป็นการปฏิรูปประเทศไทยสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนจริงๆดังคำที่เราเคยได้ยินบ่อยๆ ส่วนร่าง รธน. ฉบับนี้จะนำพาไปสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนหรือประชาธิปไตยที่อ่อนแอก็แล้วแต่วิจารญาณส่วนบุคคล อยากเรียนเชิญเพื่อนสมาชิกและประชาชนไทยทุกท่านร่วมกันไปใช้สิทธิกันให้มากๆในวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคมนี้นะครับ จะรับหรือไม่รับเป็นสิทธิส่วนบุคคลของท่าน ยังคงเคารพในการออกสิทธิของทุกท่านแม้จะโหวตในทางตรงกันข้ามกันก็ตาม แล้วเจอกัน ณ คูหาประชามติครับผม
The Mario : 3 สิงหาคม 2559 12.12 น.