สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
ในสังคมทำงาน เกือบทุกคนต่างเข้ามาเพื่อหวังหารายได้เลี้ยงชีพ ทุกคนวาดหวังว่าชีวิตตนเองต้องดีกว่าเดิม ความรู้สึกเปรียบเทียบมันย่อมมีอยู่แล้ว ร้อยพ่อพันแม่
อย่าเล่าเรื่องส่วนตัวจนมากเกินไปให้ใครฟังครับ โดยเฉพาะด้านที่ทำให้เรามีจุดอ่อนจนถึงโจมตีได้ เช่นเรื่องฉาว และเรื่องชีวิตดี๊ดีที่ทำให้คนบางจำพวกรู้สึกว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมสำหรับเขา ทำไมไอ้เจ้านี่เกิดมาต้องโชคดีกว่าตูด้วย กลไกการป้องกันตัวจะทำงาน เช่นโจมตีเรื่องงานที่คุณผิดพลาด หรือแม้แต่ให้ความเห็นกล่าวร้ายในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน เช่น ลักษณะการเลี้ยงดูของพ่อแม่คุณเป็นสิ่งที่ผิดบาป คุณช่างน่าสงสาร ล้มมาจะมีแต่คนรอซ้ำเติม
นี่ไม่ใช่นิสัยแค่คนไทยครับ ในงานศึกษาสาย HR ขอตะวันตก มีการอ้างว่าเด็กเจนวายรุ่นโตมาด้วยเงินที่พ่อแม่สนับสนุนทางการศึกษา ไม่แบกรับภาระมาก แสดงความเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ แสดงไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างหรือเป็นปัจเจกบุคคลมากๆ มักจะถูก "พลังงานลึกลับ" จากคนทำงานรุ่นเก่า หรือเจ้านายรุ่นเก่ากระทำอะไรบางอย่างครับ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เช่น เลือกที่จะไม่โปรโมตคุณแต่โปรโมตคนที่มีลักษณะวางตัวแล้วคนส่วนใหญ่ในแผนกที่เป็นคนเก่าๆ ต่างไว้ใจ อยากทำงานด้วยมากกว่า บางครั้งยังทดสอบลองใจในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานอีกด้วย
มนุษย์มันก็อย่างนี้ละครับ สถานภาพทางเศรษฐกิจสังคมเป็นตัวทำให้เกิดการเปรียบเทียบ และมนุษย์ที่รู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายกว่า โลกนี้ช่างไม่ยุคิธรรม โลกนี้ช่างโหดร้าย ตัวเองเป็นผู้แพ้ คุณภาพชีวิต การดิ้นรนต่างกัน บางคนจะเริ่มดำดิ่งสู่ด้านมืดในจิตใจ แสดงออกกับอีกฝ่ายอย่างเป็นลบ หลายๆ ประเทศถึงเรียกร้องกันให้เศรษฐกิจมีความเหลื่อมล้ำน้อยไงครับ
วางตัวเป็นกลางครับ จากประสบการณ์ทำงานของผม ผมไปอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
"อย่าวางตัวทำให้คนลำบากยากจนกว่าเค้าเกลียดอิจฉามองว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ สงวนท่าทีไว้บ้าง ถ่อมตนกับคนกลุ่มนี้ และอย่าวางตัวให้คนรวยกว่าเค้าดูถูกรังเกียจมองว่าชั้นต่ำ หัดอวดภูมิ แสดงกึ๋นของคุณออกมาให้คนกลุ่มนี้เห็น แต่อย่าเอาไปอวดคนลำบากยากจน ไม่มีประโยชน์"
โจทย์นี้อาจจะยาก แต่ถ้าคุณรู้วิธีเอาตัวไปอยู่ตรงกลางส่วนนี้ได้เมื่อไหร่ นับว่าเป็นเซียนในการใช้ชีวิตในสังคมทำงานเลยครับ หรือจะนอกสังคมทำงานก็ยังได้เลยครับ
อย่าเล่าเรื่องส่วนตัวจนมากเกินไปให้ใครฟังครับ โดยเฉพาะด้านที่ทำให้เรามีจุดอ่อนจนถึงโจมตีได้ เช่นเรื่องฉาว และเรื่องชีวิตดี๊ดีที่ทำให้คนบางจำพวกรู้สึกว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมสำหรับเขา ทำไมไอ้เจ้านี่เกิดมาต้องโชคดีกว่าตูด้วย กลไกการป้องกันตัวจะทำงาน เช่นโจมตีเรื่องงานที่คุณผิดพลาด หรือแม้แต่ให้ความเห็นกล่าวร้ายในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงาน เช่น ลักษณะการเลี้ยงดูของพ่อแม่คุณเป็นสิ่งที่ผิดบาป คุณช่างน่าสงสาร ล้มมาจะมีแต่คนรอซ้ำเติม
นี่ไม่ใช่นิสัยแค่คนไทยครับ ในงานศึกษาสาย HR ขอตะวันตก มีการอ้างว่าเด็กเจนวายรุ่นโตมาด้วยเงินที่พ่อแม่สนับสนุนทางการศึกษา ไม่แบกรับภาระมาก แสดงความเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ แสดงไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างหรือเป็นปัจเจกบุคคลมากๆ มักจะถูก "พลังงานลึกลับ" จากคนทำงานรุ่นเก่า หรือเจ้านายรุ่นเก่ากระทำอะไรบางอย่างครับ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เช่น เลือกที่จะไม่โปรโมตคุณแต่โปรโมตคนที่มีลักษณะวางตัวแล้วคนส่วนใหญ่ในแผนกที่เป็นคนเก่าๆ ต่างไว้ใจ อยากทำงานด้วยมากกว่า บางครั้งยังทดสอบลองใจในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับงานอีกด้วย
มนุษย์มันก็อย่างนี้ละครับ สถานภาพทางเศรษฐกิจสังคมเป็นตัวทำให้เกิดการเปรียบเทียบ และมนุษย์ที่รู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายกว่า โลกนี้ช่างไม่ยุคิธรรม โลกนี้ช่างโหดร้าย ตัวเองเป็นผู้แพ้ คุณภาพชีวิต การดิ้นรนต่างกัน บางคนจะเริ่มดำดิ่งสู่ด้านมืดในจิตใจ แสดงออกกับอีกฝ่ายอย่างเป็นลบ หลายๆ ประเทศถึงเรียกร้องกันให้เศรษฐกิจมีความเหลื่อมล้ำน้อยไงครับ
วางตัวเป็นกลางครับ จากประสบการณ์ทำงานของผม ผมไปอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้
"อย่าวางตัวทำให้คนลำบากยากจนกว่าเค้าเกลียดอิจฉามองว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ สงวนท่าทีไว้บ้าง ถ่อมตนกับคนกลุ่มนี้ และอย่าวางตัวให้คนรวยกว่าเค้าดูถูกรังเกียจมองว่าชั้นต่ำ หัดอวดภูมิ แสดงกึ๋นของคุณออกมาให้คนกลุ่มนี้เห็น แต่อย่าเอาไปอวดคนลำบากยากจน ไม่มีประโยชน์"
โจทย์นี้อาจจะยาก แต่ถ้าคุณรู้วิธีเอาตัวไปอยู่ตรงกลางส่วนนี้ได้เมื่อไหร่ นับว่าเป็นเซียนในการใช้ชีวิตในสังคมทำงานเลยครับ หรือจะนอกสังคมทำงานก็ยังได้เลยครับ
ความคิดเห็นที่ 1
จริงๆ ไม่ผิดเลยถ้าพ่อแม่คุณจะเลี้ยงคุณเป็นคุณหนูแต่จะแย่สำหรับคุณคือ ไม่โต
เขาคงไม่ได้มองคุณผิดหรอก แต่ อาจมองว่าคุณเป็นคนไม่เอาไหนมากกว่านะ
และตรงนี้ตะหากทีคุณเจ็บใจ และ เสียใจ
และเป็นความพลาดของคุณเองที่ไปป่าวประกาศจนคนอื่นรู้ว่าชีวิตคุณสบายดีอย่างไร
คนหลายคน ล่ำเส้น และ ตัดสินคนอื่น รวดเร้วมากๆ ทั้งที่บางทีการตัดสินอาจผิด หรือ ถูก
อย่ามีชีวิตแบบแคร์ขี้ปากคนให้มากนัก ชีวิตคุณจะมีกินไม่มีกิน คนที่พูดว่าคุณก้อไม่ได้มาช่วยเหลืออะไรคุณเลย
อยากบอกสั้นๆ แค่ว่า จำไว้นะ ไม่ว่าจะมีล้นฟ้า หรือ ไม่มีเลย ก้อ >>>> อย่าประมาทกับชีวิตเด็ดขาด
เขาคงไม่ได้มองคุณผิดหรอก แต่ อาจมองว่าคุณเป็นคนไม่เอาไหนมากกว่านะ
และตรงนี้ตะหากทีคุณเจ็บใจ และ เสียใจ
และเป็นความพลาดของคุณเองที่ไปป่าวประกาศจนคนอื่นรู้ว่าชีวิตคุณสบายดีอย่างไร
คนหลายคน ล่ำเส้น และ ตัดสินคนอื่น รวดเร้วมากๆ ทั้งที่บางทีการตัดสินอาจผิด หรือ ถูก
อย่ามีชีวิตแบบแคร์ขี้ปากคนให้มากนัก ชีวิตคุณจะมีกินไม่มีกิน คนที่พูดว่าคุณก้อไม่ได้มาช่วยเหลืออะไรคุณเลย
อยากบอกสั้นๆ แค่ว่า จำไว้นะ ไม่ว่าจะมีล้นฟ้า หรือ ไม่มีเลย ก้อ >>>> อย่าประมาทกับชีวิตเด็ดขาด
ความคิดเห็นที่ 62
ผมอายุหลักสี่แล้ว มีลูก 2 คน สะสมเงินให้ลูกในกองทุน ตอนนี้เก็บได้ 8 หลักแล้ว ขอแชร์มุมมองให้เป็นแนวเทียบ
1. พ่อแม่ที่มีฐานะและรักลูกมากๆ จะไม่เอ่ยปากให้ลูกกตัญญูต่อตัวเอง
เพราะบุญคุณนั้น ถ้าทวงเมื่อไร ก็หมดความหมายเมื่อนั้น
แม้ลูกไม่ตอบแทนเลย ตราบจนตัวตาย พ่อแม่ก็ไม่เอ่ยปากทวงถาม
2. ลูกบางคน เกิดมาเป็นไม้ยืนต้น
ออกดอก ออกผล ออกกิ่งก้านสาขา ให้ร่มเงาคนรอบข้าง
รู้ฐานะ รู้จักตน ว่าตนมีมากกว่าอีกหลายคน
จึงเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ วางตัวได้น่าเคารพ
พัฒนาตนเองให้ดีกว่าคนอื่น (เพราะมีฐานะและโอกาสมากกว่า)
3. ลูกบางคน เกิดมาเป็นไม้ประดับ
เกิดมาให้ความชื่นใจแก่พ่อแม่ แล้วก็ตายไป
ไม่เคยคิดทำอะไรให้ใคร อยู่เพื่อใช้ชีวิตไปแต่ละวัน
ไม่คิดใช้โอกาส มาพัฒนาความรู้ ความคิด และจิตใจ
เมื่อเกิดมาดีกว่าเขา แต่ดำเนินชีวิตเท่าๆ กัน หรือต่ำกว่า
คนมักจะดูถูก ไม่ยอมรับ อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ไม่นาน
เพราะไม่รู้จักตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วควรทำอะไร
4. ผมเคยอ่านเรื่องนักศึกษาหญิง คนหนึ่งขายเสื้อผ้า online
สร้างรายได้หลักแสนต่อเดือนด้วยตัวเอง
ประโยคแรกๆ ที่อ่านคือ เขาให้พ่อแม่สัปดาห์ละ 40,000
ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็มีเงิน และซื้อบ้านให้พ่อแม่ก่อนให้ตนเอง
ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็มีบ้านอยู่ แม้จะไม่ใหญ่โตก็ตาม
พอปีถัดๆ มาเขาค่อยซื้อคอนโด และรถหรูๆ ให้ตนเอง
5. ถ้าพ่อแม่มีเงิน แต่ลูกไม่เก่ง หาเงินได้น้อย
ลูกควรจะรู้จักตัวเองว่า ในสถานะของตัวเองนั้น
อยู่ในจุดที่ต้องหาเงินจาก 0 (เป็นพนักงานทั่วไป)
หรืออยู่ในจุดที่ต้องบริหารเงิน+สินทรัพย์ ของครอบครัวกันแน่
จะได้เรียนรู้ พัฒนา และใช้ชีวิตให้ถูกเส้นทาง
พ่อแม่จะได้ตายตาหลับ ว่าลูกรู้จักตนเอง รู้จักวางตัว รู้จักสืบทอดสกุล
เพราะสิ่งที่ครอบครัวมี บริหารให้ดี อาจช่วยเหลือญาติที่ยากจนได้มากมาย
ช่วยเหลือสังคมได้ดี ผลบุญก็ส่งต่อให้พ่อแม่ได้ ใครเห็นก็ชื่นใจ
แต่ถ้าอยู่ด้วยโมหะ ลอยไปลอยมา ใช้ชีวิตมองแต่ตัวเอง เห็นแต่ตัวเอง
ทั้งชีวิตอาจช่วยเหลือใครไม่ได้ แม้แต่ตัวเอง
// ฝาก "ยาแรง" ไว้ให้ได้คิด เพราะเชื่อว่ามีคนอีกมากมายที่เจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเจ้าของกระทู้
1. พ่อแม่ที่มีฐานะและรักลูกมากๆ จะไม่เอ่ยปากให้ลูกกตัญญูต่อตัวเอง
เพราะบุญคุณนั้น ถ้าทวงเมื่อไร ก็หมดความหมายเมื่อนั้น
แม้ลูกไม่ตอบแทนเลย ตราบจนตัวตาย พ่อแม่ก็ไม่เอ่ยปากทวงถาม
2. ลูกบางคน เกิดมาเป็นไม้ยืนต้น
ออกดอก ออกผล ออกกิ่งก้านสาขา ให้ร่มเงาคนรอบข้าง
รู้ฐานะ รู้จักตน ว่าตนมีมากกว่าอีกหลายคน
จึงเอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ วางตัวได้น่าเคารพ
พัฒนาตนเองให้ดีกว่าคนอื่น (เพราะมีฐานะและโอกาสมากกว่า)
3. ลูกบางคน เกิดมาเป็นไม้ประดับ
เกิดมาให้ความชื่นใจแก่พ่อแม่ แล้วก็ตายไป
ไม่เคยคิดทำอะไรให้ใคร อยู่เพื่อใช้ชีวิตไปแต่ละวัน
ไม่คิดใช้โอกาส มาพัฒนาความรู้ ความคิด และจิตใจ
เมื่อเกิดมาดีกว่าเขา แต่ดำเนินชีวิตเท่าๆ กัน หรือต่ำกว่า
คนมักจะดูถูก ไม่ยอมรับ อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ไม่นาน
เพราะไม่รู้จักตัวเอง ว่าจริงๆ แล้วควรทำอะไร
4. ผมเคยอ่านเรื่องนักศึกษาหญิง คนหนึ่งขายเสื้อผ้า online
สร้างรายได้หลักแสนต่อเดือนด้วยตัวเอง
ประโยคแรกๆ ที่อ่านคือ เขาให้พ่อแม่สัปดาห์ละ 40,000
ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็มีเงิน และซื้อบ้านให้พ่อแม่ก่อนให้ตนเอง
ทั้งๆ ที่พ่อแม่ก็มีบ้านอยู่ แม้จะไม่ใหญ่โตก็ตาม
พอปีถัดๆ มาเขาค่อยซื้อคอนโด และรถหรูๆ ให้ตนเอง
5. ถ้าพ่อแม่มีเงิน แต่ลูกไม่เก่ง หาเงินได้น้อย
ลูกควรจะรู้จักตัวเองว่า ในสถานะของตัวเองนั้น
อยู่ในจุดที่ต้องหาเงินจาก 0 (เป็นพนักงานทั่วไป)
หรืออยู่ในจุดที่ต้องบริหารเงิน+สินทรัพย์ ของครอบครัวกันแน่
จะได้เรียนรู้ พัฒนา และใช้ชีวิตให้ถูกเส้นทาง
พ่อแม่จะได้ตายตาหลับ ว่าลูกรู้จักตนเอง รู้จักวางตัว รู้จักสืบทอดสกุล
เพราะสิ่งที่ครอบครัวมี บริหารให้ดี อาจช่วยเหลือญาติที่ยากจนได้มากมาย
ช่วยเหลือสังคมได้ดี ผลบุญก็ส่งต่อให้พ่อแม่ได้ ใครเห็นก็ชื่นใจ
แต่ถ้าอยู่ด้วยโมหะ ลอยไปลอยมา ใช้ชีวิตมองแต่ตัวเอง เห็นแต่ตัวเอง
ทั้งชีวิตอาจช่วยเหลือใครไม่ได้ แม้แต่ตัวเอง
// ฝาก "ยาแรง" ไว้ให้ได้คิด เพราะเชื่อว่ามีคนอีกมากมายที่เจอเหตุการณ์แบบเดียวกับเจ้าของกระทู้
แสดงความคิดเห็น
เราผิดมากนักหรือที่อยู่แบบสบายๆเพราะพ่อแม่สร้างให้
ตอนเราเล็กๆก็ลำบากบ้าง แต่สบายมากกว่า ก็อยู่แบบพอมีพอกิน
โชคดีที่ปู่ย่าตายายมีที่ดินเยอะ ต่อมาก็ตกเป็นของพ่อแม่เรา ท่านเองก็ซื้อสวนซื้อที่ดินไว้เองด้วย แม้จะเป็นเงินกู้ธนาคาร แต่พอผ่อนหมด ชีวิตก็สุขสบาย
เงินเดือนสองคนรวมกันก็แสนกว่าบาท ลูกๆเรียนจบทำงานกันแล้วทุกคน
เราเองเงินเดือนหมื่นปลายๆ ก็ไม่ได้ส่งให้พ่อแม่ใช้ เพราะท่านมีเหลือกินเหลือใช้อยู่แล้ว
เราเองต่างหากที่แต่ละเดือนแทบไม่พอจ่าย พ่อแม่เราผ่อนบ้านผ่อนรถให้เรา
เพราะอย่างที่บอกไปข้างต้น คือ รายรับท่านเยอะ ทั้งจากเงินเดือนที่เยอะกว่าเราประมาณ 6-7 เท่า
มีรายได้จากสวนอีกทาง ที่ทุกๆเดือนได้มากกว่าเงินเดือนเรา 2-3 เท่า
ท่านจึงแบ่งเงินรายได้จากสวนมาช่วยเราผ่อนบ้านและรถ
เราไม่เคยร้องขอ ท่านให้ของท่านเอง พี่น้องเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน รักใคร่กันดี
น้องเราโชคดีตรงที่เงินเดือนเยอะ ประมาณ 6-7 หมื่น และยังไม่มีครอบครัว จึงไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน
ปัญหากลับมาเกิดเพราะเพื่อนร่วมงานเรา ที่เค้ารู้ว่าเราไม่เคยต้องส่งเงินให้ที่บ้านเลย พ่อแม่ก็ผ่อนบ้านผ่อนรถให้อีก
เค้าว่าเราเป็นลูกที่แย่ เค้าชื่นชมลูกของพี่อีกคนที่เป็นหัวหน้าเค้าว่าเงินเดือนก็พอๆกับเรา ฐานะทางครอบครัวก็พอๆกัน พ่อแม่ก็เงินเดือนพอๆกัน (อาชีพอายุใกล่เคียงกัน)
เพราะลูกของหัวหน้าแบ่งเงินเดือนให้พ่อแม่ทุกเดือน แม้จะแค่เดือนละ 1000 บาทก็ตาม
เค้าไม่ชอบเรามากๆนะ (เราคิดเอง) เพราะเค้าเอาเรื่องนี้ำปพูดกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ (ซึ่งคนอื่นที่ว่ามาบอกเราอีกที)
คือเราผิดมากนักหรือ ที่พ่อแม่เราสร้างอนาคตให้เรา เราผิดหรือที่เราไม่ให้เงินเดือนพ่อแม่ เพราะท่านบอกว่าไม่เอา
แต่ทุกเทศกาลเราก็มีของขวัญให้ท่านเสมอ
เราพอจะมีเงินเก็บบ้างแค่หลักแสน แต่เราเก็บฝากธนาคารมาเรื่อยๆตั้งแต่สมัยเรียน เงินที่พ่อแม่ให้รายเดือนและเราใช้ไม่หมด
ทุกวันนี้เราก็ฝากประจำเดือนละไม่กี่พันบาท เราใช้จ่ายแบบค่อนข้างสบาย อยากซื้อ อยากกิน อยากได้อะไรเราก็ซื้อด้วยเงินเดือนเราเอง
จนเพื่อนร่วมงานอีกคนที่สนิทกับคนที่ว่าเราไปก่อนหน้านี้มาพูดกับเราว่าทำไมใช้เงินเก่งจัง ทำไมไม่รู้จักเก็บเงิน ไม่รู้จักประหยัด
คือเงินเดือนเราแค่หมื่นปลายๆเองนะ ฝากประจำและหักค่าโน่นนี่เหลือประมาณหมื่นห้า ค่าน้ำมันค่าทางด่วนเดือนนึงประมาณห้าพัน
เหลือให้เราใช้จริงๆแค่เดือนละหมื่นเดียวเอง แล้วเราเอาเงินตรงนี้มาใช้จ่ายตามใจตัวเอง ไม่แบ่งให้พ่อแม่ เราผิดมากนักหรือ เราซื้อของ กินของตามใจชอบกับเงินอค่นี้ในแต่ละเดือน
มันกลายเป็นคนใช้เงินเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ
ตอนเราซื้อบ้านเราเอาเงินเก็บเราทั้งหมดมาซื้อของตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ เค้าก็ถามว่า เอาเงินพ่อแม่มาเหรอ
เราก็บอกว่าเงืนเก็บเราเอง
เค้าก็ว่ากระแทกเราว่า
เราก็บอกว่าเราเก็บมาตั้งแต่เราเรียนแล้ว เก็บมาเป็นสิบปีละ เค้าก็พูดว่า โถ่ ก็เงินพ่อแม่นั่นแหละ
คือเราทำผิดอะไร ทำไมต้องว่าเราด้วย ก็พ่อแม่เค้ามีเงินให้เราตรงส่วนนี้ พ่อแม่เราไม่ได้ลำบากอะไร อยู่อย่างสุขสบาย มีเงินเหลือกินเหลือใช้
มีใครเคยเจอแบบเราบ้างไหม แล้วรับมือกันยังไง แก้ปัญหากันยังไงบ้างคะ
ปล.พิมพ์กับมือถือค่ะ หากผิดพลาดตรงไหนขออภัยด้วยนะคะ