รักในรอยฝัน บทที่ 13 บ้านไร่ทิวอลลี่

13
บ้านไร่ทิวอลลี่



โดย ฮาร์โมนิก้า


วิลล่าสองชั้นท่ามกลางไร่องุ่นกว้างสุดลูกหูลูกตานั้นไม่คุ้นตาหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย

สาวน้อยผู้ไร้ความทรงจำและจำต้องยอมรับว่าตัวเองชื่อแอชลี่ย์ ซิมมอนด์นั่งมองภาพไร่องุ่น ซึ่งทอดยาวจาก
เนินเขาสูงลงสู่หุบเขาเขียวขจีสลับต้นเมเปิ้ลที่ใบเพิ่งเริ่มแตกยอดอ่อนเป็นทัศนียภาพงดงามนั้นอย่างรื่นรมย์

“นี่บ้านคุณหรือคะ” เธอถามชายที่ขับรถพาเธอมาจากโรงพยาบาล

เขานิ่งอยู่ครู่ก่อนตอบ “ไร่องุ่นทิวอลลี่ เป็นของตากับยายผม คุณไม่คุ้นเลยหรือ”

“ไม่ค่ะ ฉันว่าฉันไม่น่าจะเคยเห็นนะคะ”

ชายหนุ่มหน้าขึง ไม่ตอบอะไร

“คุณเป็นชาวไร่หรือคะ” แอชลีย์ถามอีก

“ไม่เชิง ผมมาช่วยดูแลไร่องุ่นให้ตากับยายปีนึงเท่านั้น”

“งั้นปกติ คุณทำอะไรหรือคะ”

เขาเงียบไปนานจนเธอคิดว่าจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว “ผมทำงานด้านไอที มีอาชีพพิเศษเป็นนักแต่งดนตรี”

เธอหันมามองเขาอย่างประหลาดใจ “แปลกจัง ฉันไม่เคยรู้จักใครที่เป็นไอทีและเป็นนักแต่งดนตรีด้วยมาก่อน
เลยค่ะ คุณต้องเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษมากจริงๆ”

“ไหนบอกว่าจำอะไรไม่ได้ไง” เขาถามทันที

แอชลี่ย์นิ่งคิด “จริงด้วยค่ะ แปลกจัง ฉันนึกอะไรไม่ออก แต่ทำไมฉันรู้ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าฉันต้องไม่เคยรู้จัก
ใครที่มีความสามารถแบบคุณแน่ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้ได้ยังไง”

“เว้นแต่คุณจะแกล้งทำ” คำพูดหยันนั้นทำให้เธอเลิกคิ้วแปลกใจ

“ฉันไม่ได้แกล้งนะคะ ทำไมฉันจึงต้องแกล้งด้วย”

“มีเหตุผลมากมายที่น่าจะเป็นได้ แต่ก็เถอะ ในเมื่อคุณบอกว่าคุณลืม และหมอก็รับรองว่าคุณลืมจริง ผมก็จะ
เชื่อตามนั้น เอาล่ะ ถึงแล้ว ลงมาซะ มาเรียเป็นแม่บ้านของผม เธอจะเป็นคนพาคุณขึ้นไปยังห้องพัก”

เขาจอดรถง่ายๆ ตรงลานหน้าบ้าน แม็กซ์คงจำเสียงรถได้เพราะมันวิ่งกวดอย่างเร็วจากที่ไหนสักแห่งออกมา
ต้อนรับเจ้านายยังลานด้านหน้า มีหญิงสาวสวยหน้าตาเหมือนลูกครึ่งตะวันตกกับชาวเมารีซึ่งเป็นชนพื้นเมือง
ของนิวซีย์แลนด์เดินตามออกมา ใบหน้าเธอคมหวาน รูปร่างสูงและสัดส่วนอวบอัด ผมสีน้ำตาลเข้มดกหนา
รวบหางม้าตึง เธอเป็นแม่บ้านของเขางั้นหรือ

แอชลี่ย์ค่อยๆ ลงจากรถอย่างกะโผลกกะเผลก แบรดไม่ได้คิดจะลงจากรถมาประคองเธอสักนิด แต่ก็ยังดี
ที่เขาพาเธอมาส่งล่ะ พอลงจากรถเสร็จชายหนุ่มก็ออกรถขับไปจอดที่โรงรถข้างบ้านทิ้งให้แอชลี่ย์เผชิญหน้า
กับแม่บ้านสาวสวยคนนั้นตามลำพังกับเจ้าแม็กซ์ แม็กซ์แยกเขี้ยวพร้อมขู่คำรามในลำคอเมื่อเห็นแอชลี่ย์
เธอเอียงคอมอง ยิ้มให้มันก่อนค่อยๆ ก้มตัว ยื่นหลังมือไปข้างหน้าช้าๆ

“ว่าไงแม็กซ์ จำฉันไม่ได้แล้วหรือ เราเจอกันในป่าไงล่ะ เธอเป็นคนพาเจ้านายเธอมาช่วยฉันออกไป จำได้ยัง”

น้ำเสียงอ่อนโยนของเธอคงช่วยให้มันรำลึกความหลังได้บ้างกระมัง เพราะแม็กซ์ทำท่าสูดจมูกฟุดฟิดอยู่ครู่
ก่อนจะก้มหัวเดินมาหาเธอช้าๆ มาดมกลิ่นมือเธอก่อนจะเริ่มเลีย

แอชลี่ย์ลูบศีรษะแม็กซ์เล่นอย่างอบอุ่นใจขึ้น อย่างน้อยก็ยังมีแม็กซ์ที่เป็นมิตรและยินดีต้อนรับเธอ แม้มันจะ
เป็นเพียงหมาก็ตาม หญิงสาวลุกขึ้น หันมายิ้มสดใสให้กับแม่บ้านสาวสวยของแบรดอย่างหวังจะผูกมิตรด้วย
แต่ก็เก้อเมื่อไม่ได้รับรอยยิ้มตอบ ใบหน้าของหญิงนามมาเรียนิ่งสนิท เฉยชา ดวงตาบอกแววไม่ชอบ
ขี้หน้าเธอชัดเจน

“เอ้อ…” แอชลี่ย์เก้อ “คือฉัน… เธอคือมาเรียสินะ ฉัน คือ…คุณแพร์ริชบอกว่าเธอจะพาฉันไปที่ห้องพักค่ะ”

“เชิญทางนี้” แม่บ้านสาวตอบแล้วเดินนำไปเลยไม่ได้สนใจว่าเธอจะเดินตามไปหรือไม่

แอชลี่ย์ประดักประเดิดเต็มที เธอมาแบบตัวเปล่า ไม่มีข้าวของอะไรติดตัวสักชิ้น เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็เป็นชุด
ที่ได้รับบริจาคมาจากโรงพยาบาล เธอไม่มีข้าวของส่วนตัวและไม่มีเงินจะซื้อหา แล้วเธอจะอยู่อย่างไร

แม็กซ์ผละจากเธอวิ่งไปหาเจ้านายหนุ่มที่นั่งสังเกตการณ์อยู่บนรถก่อนจะค่อยเปิดประตูลงมา ทิ้งให้แอชลี่ย์
เดินตามมาเรียไปเพียงลำพัง

มาเรียพาเดินขึ้นมาชั้นบนของบ้านที่กว้างใหญ่ มีห้องนั่งเล่นด้านบนทางด้านหลังซึ่งมีหน้าต่างบานกว้าง
เปิดโล่งสู่ทิวทัศน์ไร่องุ่นกลางหุบเขา ด้านหน้าของบ้านเป็นถนนที่ติดกับหน้าผา เห็นมหาสมุทรแปซิฟิก
ทอดยาวกว้างสุดหูสุดตาอยู่เบื้องล่าง เธอรู้สึกคุ้นกับวิวหน้าบ้านอย่างบอกไม่ถูกแม้จะไม่คุ้นเลย
กับสิ่งอื่นในบ้าน

ห้องที่แม่บ้านสาวพาเธอเดินเข้าไปเป็นห้องนอนหนึ่งในสี่ห้องของบ้าน เป็นห้องพักแขกที่ขนาดไม่ใหญ่นัก
แต่ก็จัดได้น่าอยู่ มองเห็นวิวด้านหน้าของตัวบ้าน ภายในไม่ได้มีห้องน้ำในตัว เธอต้องเดินออกไปใช้
ห้องน้ำรวมข้างนอก

“ห้องน้ำอยู่ด้านนอก ใช้ร่วมกับอีกห้อง แต่ตอนนี้ไม่มีแขกอื่นมาพักก็เท่ากับคุณได้ใช้คนเดียว” มาเรียบอก

“เอ้อ… สวยดีนะคะ” เธอกล่าวอย่างอึดอัด “แต่ …คือ ฉัน.. ฉันไม่มีข้าวของส่วนตัวอะไรเลย คือ..เธอพอทราบ
..พอมี” ไม่รู้จะพูดอย่างไรว่าตัวเองไม่มีแปรงสีฟันหรือเสื้อผ้าให้ใช้ แบรดไม่ได้พูดอะไรเรื่องนี้และเธอ
ก็ไม่ได้ถามเขา

“แปรงสีฟันยาสีฟันชุดใหม่อยู่ในห้องน้ำรวมที่ว่า มันอยู่ข้างห้องนั่งเล่นด้านนอก มีของใช้ส่วนตัวคุณอยู่ในนั้น
แล้ว เสื้อผ้าของคุณอยู่ในตู้เสื้อผ้า ฉันจัดไว้ให้แล้ว”

“เสื้อผ้าของฉันหรือ” เธอถามน้ำเสียงประหลาดใจ

“เสื้อผ้าที่คุณยังไม่ได้ขนกลับไป ฉันย้ายออกมาจากห้องนอนคุณแพร์ริช แล้วก็มารวมกับข้าวของในกระเป๋า
เดินทางที่คุณแพร์ริชไปเช็คเอาท์ออกมาให้จากโรงแรม มีอยู่สองกระเป๋า เสื้อผ้าร่วมยี่สิบชุด น่าจะพอใช้ ฉัน
จัดไว้ในตู้ ผ้าปูที่นอนเปลี่ยนใหม่แล้ว เชิญคุณพักผ่อนตามสบาย มื้อกลางวันจะตั้งโต๊ะตอนเที่ยงและเก็บโต๊ะ
ตอนบ่ายโมง หากคุณไม่กินตามเวลานั้นก็ต้องรอมื้อน้ำชาตอนบ่ายสี่โมงหรือมื้อค่ำตอนทุ่มนึง” มาเรียตอบ
น้ำเสียงกระด้าง “เท่านี้นะคะ”

ย้ำแล้วก็เหลือบมองแอชลีย์อย่างไม่ชอบน้ำหน้าอีกครั้ง ก่อนจะเดินหน้าเฉยกลับลงไปชั้นล่าง

แอชลี่ย์ยืนงง หน้าชาที่มาเรียเจตนาย้ำให้รู้ว่าเสื้อผ้าเธอถูกย้ายจากห้องนอนแบรด เหตุใดมาเรียจึงไม่ชอบ
หน้าเธอ หญิงสาวระบายลมหายใจ รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ก่อนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า มีเดรสสั้นทั้งลำลองและ
สำหรับใส่เที่ยวอยู่รวมหกชุดกับเดรสยาวสามชุดแขวนอยู่ มีบางชุดเปิดโชว์ดูเซ็กซี่พอรับได้สำหรับบางโอกาส
แต่หลายชุดโป๊จนน่าตกใจ เธอเคยใส่เสื้อผ้าพวกนี้จริงหรือ หลายชุดดูเปรี้ยวจี๊ดและเปิดเปลือยจนเกินงาม
ที่น่าจะใส่ได้บ้างน่าจะเป็นกางเกงยีนส์ซึ่งมีขายาวอยู่สามตัว อีกห้าตัวเป็นยีนส์ขาสั้นจู๋ เสื้อยืดหกเจ็ดตัวที่เห็น
ก็ล้วนรัดรึงแนบเนื้อและยังมีรอยผ่าที่อกบ้าง ท้องบ้าง หลังบ้าง แต่ละชุดล้วนเน้นอวดรูปร่างและโชว์เนื้อหนัง
มังสา แม้สีของเสื้อผ้าจะออกแนวยีนส์เรียบๆ ดำ ขาว และเทา อย่างที่เธอชอบ แต่แบบที่โป๊เปลือยของมัน
ไม่น่าจะใช่รสนิยมของเธอแน่ หญิงสาวไม่คุ้นกับเสื้อผ้าพวกนี้เลยสักนิด โดยเฉพาะชุดนอนสี่ห้าชุดที่พับไว้
ก็ล้วนเปิดโชว์ เร้าอารมณ์เกินกว่าจะมีไว้สำหรับสวมนอนคนเดียว

แอชลี่ย์ยืนนิ่งไม่รู้จะทำอย่างไร เธอใส่เสื้อผ้าพวกนี้ไม่ได้แน่ โดยเฉพาะเมื่อมาเป็นแขกอยู่ในบ้านของผู้ชาย
หนุ่มแปลกหน้า แต่เธอจะทำอะไรได้ในเมื่อไม่มีเงินติดตัวเลย ที่สุดก็ตัดสินใจสวมชุดเดิมที่สวมมาจาก
โรงพยาบาล เป็นชุดกระโปรงหลวมโพรกลายดอกที่ทั้งเชยและเก่า แต่อย่างน้อยเธอก็สวมได้อย่างสบายใจ
กว่าชุดที่อยู่ในตู้พวกนั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่