นายคมกริช นาคะลักษณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานองค์กรสัมพันธ์และบริหารองค์กรเพื่อความยั่งยืน บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด เปิดเผยว่า คณะทำงานที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีผู้แทนสมาคมเครื่องดื่ม สมาคมน้ำตาลได้ประชุมร่วมกัน ได้มีข้อสรุปให้เลื่อนการเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบในหลายภาคส่วน ทั้งอุตสาหกรรม ผู้บริโภค เกษตรกรชาวไร่อ้อย
ทั้งนี้ คณะทำงานฯได้ขอให้ไปศึกษาแนวทางอื่นๆ ที่จะใช้ในการรณรงค์การบริโภคน้ำตาลให้ถูกต้องแก่ประชาชน ให้ความรู้เรื่องการบริโภคน้ำตาล สำหรับผลกระทบในแต่ละส่วนมีดังนี้
1.การเก็บภาษีสรรพสามิตจะมีผลทำให้ราคาสินค้าเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงขึ้น เพราะผู้ผลิตอาจผลักภาระไปให้ผู้บริโภครับไปส่วนนึง ซึ่งจะกระทบต่อผู้ขายที่จะทำให้ยอดขายลดลง
2.ส่วนผลกระทบต่อเกษตรกรชาวไร่อ้อย คือ การจำหน่ายน้ำตาลในประเทศมีราคาส่วนหนึ่งที่เป็นระบบแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่กับโรงงาน 70:30 ซึ่งหากยอดขายน้ำตาลในประเทศลดลง ก็จะทำให้รายได้รวมของทั้งอุตสาหกรรมลดลงด้วย เพราะปัจจุบันราคาน้ำตาลส่งออกต่ำกว่าราคาขายในประเทศ เมื่อการบริโภคน้ำตาลในประเทศน้อยลง รายได้รวมน้อยลง เมื่อคำนวณเป็นราคาอ้อยก็อาจทำให้ราคาลดลงด้วย ผลประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับก็น้อยลงตามไปด้วย
สำหรับประเทศไทยมีอัตราการบริโภคน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 30 กก./คน/ปี มีอัตราการเติบโตราว 2-3% ต่อปีตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่เป็นทั้งผู้ผลิตอาหารเครื่องดื่ม ขนมส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว กัมพูชา พม่า และมาเลเซีย ซึ่งมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมด้วย
นอกจากนี้ การบริโภคน้ำตาลในประเทศไทยยังเติบโตตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทย รวมทั้งเติบโตตามจำนวนแรงงานต่างชาติที่เข้ามาขายแรงงานในประเทศไทย
สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจะเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่ม อาทิ ICHI, OISHI, SAPPE , MALEE, CBG และ SSC เป็นต้น
โดยหากพิจารณารายสินค้าพบว่า เครื่องดื่มชูกำลัง น่าจะกระทบมากสุด เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลอยู่ในระดับ 18 กรัม/100 มิลลิลิตร นำโดย CBG ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มยาชูกำลัง (คาราบาว เกลือแร่) 100%
รองลงมาคือเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้และ Functional Drink ซึ่งมีปริมาณน้ำตาลอยู่ในระดับ 12-15 กรัม/100 มิลลิลิตร น่าจะกระทบต่อ MALEE และ SAPPE แต่เนื่องจาก SAPPE มีสัดส่วนการขายในประเทศเพียง 40%ของยอดขายรวม อีก 60% ส่งออกตลาดต่างประเทศ คาดว่าผลกระทบต่อมาตรการภาษีจะมีเฉพาะส่วนที่ขายในประเทศ
ตามมาด้วยเครื่องดื่มน้ำอัดลม ซึ่งมีปริมาณน้ำตาลอยู่ในระดับ 10-12กรัม/100 มิลลิลิตร นำโดย SSC มีสัดส่วนการผลิต และจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม อาทิ EST และ 100PLUS และเครื่องดื่มชา LIPTON เครื่องดื่มแรงเยอร์ เป็นต้น
สำหรับเครื่องดื่มชาเขียว มีปริมาณน้ำตาลอยู่ในระดับ 7-9 กรัม/100 มิลลิลิตร มี 2 บริษัทที่ดำเนินธุรกิจ คือ ICHI และ OISHI ทั้งนี้คาดว่า ICHI น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากธุรกิจกระจุกตัวในธุรกิจเครื่องดื่ม 100% ของรายได้รวม และเน้นขายเพียงตลาดในประเทศทั้งหมด รองลงมาคือ OISHI เนื่องจากมีการกระจายธุรกิจ โดยธุรกิจเครื่องดื่มชาเขียวมีสัดส่วน 50% และร้านอาหาร 50%
คลังเลื่อนเก็บภาษีเครื่องดื่มน้ำตาลสูงแบบไร้กำหนด
ทั้งนี้ คณะทำงานฯได้ขอให้ไปศึกษาแนวทางอื่นๆ ที่จะใช้ในการรณรงค์การบริโภคน้ำตาลให้ถูกต้องแก่ประชาชน ให้ความรู้เรื่องการบริโภคน้ำตาล สำหรับผลกระทบในแต่ละส่วนมีดังนี้
1.การเก็บภาษีสรรพสามิตจะมีผลทำให้ราคาสินค้าเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงขึ้น เพราะผู้ผลิตอาจผลักภาระไปให้ผู้บริโภครับไปส่วนนึง ซึ่งจะกระทบต่อผู้ขายที่จะทำให้ยอดขายลดลง
2.ส่วนผลกระทบต่อเกษตรกรชาวไร่อ้อย คือ การจำหน่ายน้ำตาลในประเทศมีราคาส่วนหนึ่งที่เป็นระบบแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างชาวไร่กับโรงงาน 70:30 ซึ่งหากยอดขายน้ำตาลในประเทศลดลง ก็จะทำให้รายได้รวมของทั้งอุตสาหกรรมลดลงด้วย เพราะปัจจุบันราคาน้ำตาลส่งออกต่ำกว่าราคาขายในประเทศ เมื่อการบริโภคน้ำตาลในประเทศน้อยลง รายได้รวมน้อยลง เมื่อคำนวณเป็นราคาอ้อยก็อาจทำให้ราคาลดลงด้วย ผลประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับก็น้อยลงตามไปด้วย
สำหรับประเทศไทยมีอัตราการบริโภคน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 30 กก./คน/ปี มีอัตราการเติบโตราว 2-3% ต่อปีตามอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่เป็นทั้งผู้ผลิตอาหารเครื่องดื่ม ขนมส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว กัมพูชา พม่า และมาเลเซีย ซึ่งมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมด้วย
นอกจากนี้ การบริโภคน้ำตาลในประเทศไทยยังเติบโตตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามายังประเทศไทย รวมทั้งเติบโตตามจำนวนแรงงานต่างชาติที่เข้ามาขายแรงงานในประเทศไทย
สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจะเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องดื่ม อาทิ ICHI, OISHI, SAPPE , MALEE, CBG และ SSC เป็นต้น
โดยหากพิจารณารายสินค้าพบว่า เครื่องดื่มชูกำลัง น่าจะกระทบมากสุด เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลอยู่ในระดับ 18 กรัม/100 มิลลิลิตร นำโดย CBG ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มยาชูกำลัง (คาราบาว เกลือแร่) 100%
รองลงมาคือเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้และ Functional Drink ซึ่งมีปริมาณน้ำตาลอยู่ในระดับ 12-15 กรัม/100 มิลลิลิตร น่าจะกระทบต่อ MALEE และ SAPPE แต่เนื่องจาก SAPPE มีสัดส่วนการขายในประเทศเพียง 40%ของยอดขายรวม อีก 60% ส่งออกตลาดต่างประเทศ คาดว่าผลกระทบต่อมาตรการภาษีจะมีเฉพาะส่วนที่ขายในประเทศ
ตามมาด้วยเครื่องดื่มน้ำอัดลม ซึ่งมีปริมาณน้ำตาลอยู่ในระดับ 10-12กรัม/100 มิลลิลิตร นำโดย SSC มีสัดส่วนการผลิต และจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม อาทิ EST และ 100PLUS และเครื่องดื่มชา LIPTON เครื่องดื่มแรงเยอร์ เป็นต้น
สำหรับเครื่องดื่มชาเขียว มีปริมาณน้ำตาลอยู่ในระดับ 7-9 กรัม/100 มิลลิลิตร มี 2 บริษัทที่ดำเนินธุรกิจ คือ ICHI และ OISHI ทั้งนี้คาดว่า ICHI น่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากธุรกิจกระจุกตัวในธุรกิจเครื่องดื่ม 100% ของรายได้รวม และเน้นขายเพียงตลาดในประเทศทั้งหมด รองลงมาคือ OISHI เนื่องจากมีการกระจายธุรกิจ โดยธุรกิจเครื่องดื่มชาเขียวมีสัดส่วน 50% และร้านอาหาร 50%