นี่เป็นกระทู้แรกของผม ผมเองไม่แน่ใจว่าจะแท็กไปหาหมวดไหนดี ยังใช้ไม่ค่อยเป็นด้วย เพราะเรื่องราวมันผสมผสานกันทั้งเรื่องกฏหมายและอาการป่วยทางจิต ยังไงถ้าผิดหมวดก็ขออภัยครับ จะเป็นการดีหากช่วยผมหาทางออกด้วยครับ เริ่มเลยครับ
คือที่บ้านมีผู้ป่วยทางจิต(พ่อ)ชอบหาเรื่องทะเลาะกับทุกคนในบ้าน โดยเมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมาเขาหยิบยกประเด็นเรื่องเงินฝากธนาคารมาทะเลาะ อ้างว่าพี่สาวจะฮุบเงินดังกล่าวไป และจะให้คืนเงินดังกล่าวให้แก่เขา เรื่องเงินนี้ต้องเท้าความไปไกลมากเมื่อหลายสิบปีก่อนสมัยที่พี่ๆ ยังเป็นเด็ก สมัยนั้นมีป้าเป็นคนหาเลี้ยง เวลาไปโรงเรียนก็จะให้เงินไปเป็นค่าข้าวค่าขนม หรือเทศกาลอะไรพิเศษก็จะให้เงินแก่พี่ๆ เพื่อเก็บไว้ใช้ เมื่อได้รับเงินดังกล่าวมาก็จะฝากไว้ที่แม่ แม่ก็จะนำเงินไปให้พ่อ พ่อก็นำเงินดังกล่าวไปฝากธนาคารโดยใช้ชื่อบัญชีว่า "นาย...... เพื่อเด็กชาย/เด็กหญิง" เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีต่อมาผู้เป็นพ่อเชิญชวนให้พี่ๆ, แม่ นำเงินที่อยู่ในบัญชีของแต่ละคนมารวมกันเพื่อนำไปฝากธนาคารโดยใช้ชื่อของพ่อ (ในสมัยนั้นดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 10%+) พี่ๆ ก็ทำตาม ถอนออกมาฝากรวมไว้เป็นชื่อพ่อคนเดียว ในตอนนั้นไม่มีใครเอะใจอะไร เขาก็คงดูแลเงินส่วนนั้นไป ตลอดระยะเวลาก็ยังคงมีเงินฝากเข้าบัญชีนั้นตลอดเป็นของทุกคนในบ้าน เวลาผ่านไปหลายสิบปีพ่อก็เริ่มแก่ตัวลง แม่เองเห็นว่าเวลาจะไปทำธุรกรรมที่ธนาคารก็ลำบากจึงเสนอว่าน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อพี่สาว เพื่อเวลาจะทำธุรกรรมอะไรจะได้สะดวก ในเวลานั้นตัวพ่อเองก็เห็นพ้องต้องกันว่าดี จึงเดินทางไปทำเรื่องเปลี่ยนชื่อที่ธนาคารจากชื่อพ่อเป็นชื่อพี่สาว ต้องย้ำอีกครั้งว่าเงินในธนาคารนี้ไม่ใช่ของเขา 100% มีของทุกคนในบ้านรวมอยู่ หลังจากนั้นเวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาราว 4 ปี ตัวพ่อก็เริ่มออกลายไม่รู้มีผีมากระซิบข้างหูหรือยังไง ทำให้เขาคิดว่าพี่สาวกำลังแอบเอาเงินที่เขาเปลี่ยนชื่อให้ไปใช้ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเงินในบัญชีนั้นไม่ได้ถูกถอนออกมาเลยแม้แต่น้อย พวกค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ พี่สาวก็เจียดเงินเดือนตัวเองออกให้ทุกเดือน แถมทำประกันชีวิตให้กับแม่และตัวพ่อด้วย แต่ก็มิวายถูกพ่อบอกว่าทำเพื่อหวังเงินประกันละสิท่า แม่เองบอกพ่อว่าถ้าหากที่บ้านเงินไม่พอใช้จริงๆ ก็เห็นสมควรที่จะเอาเงินในส่วนนี้ออกมาใช้จ่ายก่อน แต่!!! พ่อเขาด่ากลับบอกว่าไม่ได้ เงินของกู!!!... ต้องอย่าลืมว่าที่กล่าวไว้ข้างต้น เงินนี้เป็นของแม่ และพี่ๆ ที่ฝากรวมไว้เป็นชื่อเขา เพื่อหวังดอกเบี้ยเงินฝากเมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วไหงตอนนี้มาบอกว่าของเขาทั้งหมด?? จึงบอกพี่สาวว่าให้เอาสมุดบัญชีธนาคารไปคืนเขา (จะเอาไปทำไมในเมื่อก็ไม่ใช่ชื่อเขาแล้ว)
เมื่อพี่สาวไม่ยอม รวมถึงทุกคนในบ้านก็มองว่าไม่ถูกต้อง เงินนี้ไม่ใช่ของเขาผู้เดียว จะมาอ้างแบบนี้ไม่ได้ เขาก็จะหาวิธีการแกล้งคนในบ้านสารพัด ข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกาย จะเอามีดแทงติดคุกก็ยอม (เคยพูดต่อหน้าตำรวจด้วยซ้ำไป แต่ตำรวจชิลๆ ไม่สนใจ) จะทำลายข้าวของ จะดึงสายไฟที่เดินไว้ทิ้งให้ใช้การไม่ได้ จะดึงท่อน้ำ ระบบน้ำออกให้คนในบ้านใช้งานไม่ได้ ขนาดแม่ก็ยังโดนแกล้งพยายามทำให้พื้นบ้านเปียกแฉะ เพื่อให้แม่ลื่นหกล้มตาย ตัวแม่เองป่วยเป็นโรคกระดูกทับเส้นเดินเองก็ไม่ค่อยไหวแล้ว ยังต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้อีก
ตัวพ่ออ้างว่าไม่มีเงินใช้แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีเงินที่แอบฮุบไปจากบัญชีที่ทุกคนฝากรวมกันไว้ ถึง 6 แสนบาท แอบเอาไปตอนไหนรายละเอียดเชิงลึกไม่ทราบได้ แต่สามารถปล่อยให้พี่สาวคนเล็กกู้เพื่อซื้อบ้านได้ โดยเชิญชวนให้พี่สาวคนเล็กมากู้กับเขา ตอนแรกไม่ได้บอกว่าจะคิดดอกแต่อย่างใด แต่พอผ่านไปซักระยะเริ่มออกลาย มาทวงกับพี่สาวคนเล็กว่า "ไหนละดอกเบี้ยกู กูไม่ได้ให้กู้ฟรีๆ นะ ขนาดธนาคารยังได้ดอกเบี้ยเลย แล้วทำไมกูไม่ได้" นี่คือคนที่เป็นพ่อครับ หากินกับลูกแบบนี้!!! พี่สาวคนเล็กอึ้ง แล้วก็จำใจจ่ายดอกไป ดอกที่ได้ไปเข้าตัวเขาเต็มๆ ไม่มีแบ่งให้แก่ใครเลย
ตัดกลับมาช่วงที่พี่สาวไม่ยอมรับเงื่อนไขเขา เขาก็อ้างว่าไม่มีเงินใช้ต้องไปหาหมอที่ รพ. คนที่บ้านเห็นพ้องต้องกันว่าเอาแบบนี้ คือ ให้เขาไปหาหมอมาก่อนแล้วเอาบิลมาเบิก จะเบิกเกินจากบิลอีก 2 3 พันก็ยังได้ เพราะปกติแล้วเขาก็กินข้าวในบ้านอยู่แล้ว ใช้เงินส่วนกลางในการซื้อกับข้าว แต่เขาก็ไม่รับเงื่อนไขดึงดันที่จะให้คืนเงินทั้งหมดให้แก่เขา เวลาผ่านไปเขาก็มาบอกอีกว่างั้นเอามาแสนนึงก็แล้วกัน แม่ได้ถามว่าถ้าเอาแสนนึงไปแล้วจะหยุดเรียกร้องได้หรือยัง เขาคงไม่ตอบและยื่นข้อเสนอต่อมาคือ ให้เอาเงินมาหนึ่งแสนพร้อมสมุดเงินฝาก(ชื่อพี่สาว) ให้เขาถือครองเอาไว้ คนในบ้านไม่ยอมรับเงื่อนไข ระหว่างนี้ก็ยังคงแกล้งคนในบ้านอยู่ตลอดเวลาบางทีเหมือนสงบแต่ก็มีคลื่นใต้น้ำตลอดเวลา มีอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยจุดธูปสาบาน สาปแช่ง คนในบ้านสารพัด และมีแกล้งเพิ่มเติมคือเอาทะเบียนบ้านไปซ่อน เกิดคนในบ้านจำเป็นต้องใช้ทะเบียนบ้านก็ไม่มีใช้ เขาบอกว่าให้ไปคัดใหม่ที่เขต แต่เท่าที่ทราบคือ เจ้าบ้านต้องเป็นคนไปทำ ตัวพ่อเป็นเจ้าบ้าน มีเจ้าบ้านแบบนี้ซวยยิ่งนัก ยังดีที่พอจะมีไฟล์ที่สแกนเก็บเอาไว้เลยไม่ได้เดือดร้อนมากมายนัก มีอ้างสิทธิ์ว่าบ้านหลังนี้เป็นของเขา จริงอยู่ชื่อเจ้าบ้านเป็นของเขา แต่เงินที่นำมาซื้อจริงๆ คือเงินของป้า แต่ก็มิวายขู่จะแจ้งชื่อคนในบ้านออกให้หมด ต่อไปถ้าตายก็จะให้ป่อเต๊กตื้งมาจัดการ จะบริจาคบ้านนี้ให้คนอื่น มโนมากๆ เลย
ต่อมาทางบ้านจึงยื่นข้อเสนอให้เขาจะให้เงินห้าหมื่นบาท แล้วให้เขานำทะเบียนบ้านมาคืน แต่เขาก็ไม่ยอม คือจะรับเงินไปแต่ไม่คืนทะเบียนบ้านกลับมา และในเวลาต่อมาไม่เอาแล้วห้าหมื่นจะเอาเงินทั้งหมดในบัญชีเลย พร้อมทั้งจะให้พี่สาวเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อของเขา ให้เขาถือครองเงินแต่เพียงผู้เดียว
ในช่วงที่เรื่องราวดำเนินอยู่เขาก็ขู่ว่าถ้าไม่คืนเงินนะ กูจะแจ้งความ ฟ้องศาล เท่าที่ทราบเขาเดินทางไปสถานีตำรวจถึง 2 3 ครั้ง โดยในครั้งแรกตำรวจได้โทรมาหาพี่สาว พี่สาวจึงถามกลับว่าตัวพ่อแจ้งความด้วยเรื่องอะไร ตำรวจบอกว่าดูแลเงินได้ไม่ดี ก็ยังงงกับข้อหานี้อยู่ ??? การไปครั้งนี้ของเขาไม่ได้ความดูท่าตำรวจจะไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร เขาก็ยังคงโทรหาตำรวจอยู่เนืองๆ จนกระทั่งตำรวจเบื่อและตัดสายทิ้ง ตัวพ่อจึงไม่หวังอะไรกับตำรวจแล้ว จึงเดินทางไปศาล ไปได้ 2 3 ครั้งเห็นจะได้ กลับมาบ้านกร่างใหญ่เลยบอกว่า "กูจะให้สภาทนายความช่วย ฟ้องเอาติดคุกเลย ไม่ยอมความด้วย" "ทนายจะเอาเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย เพื่อให้ได้เงินทั้งหมดกลับมา" แต่ล่าสุดเห็นเขาดูจ๋อยๆ กลับมา ดูท่าจะไม่ได้ความแต่อย่างใด และเมื่อเร็วๆ นี้ได้หลุดปากมาว่ารู้มั้ยจ้างทนายหนนึง 3 4 หมื่น โดยปกติแล้วเขาเป็นคนขี้งกมาก สลึงนึงบาทนึงนี่อย่าได้หวังว่าจะหลุดจากมือเขา ทำบุญ ทำทานนี่ไม่มี เจอเข้าไป 3 4 หมื่นคงช็อคแล้วเดินกลับมา
เมื่อวันที่ 17/7/2559 ที่บ้านออกไปทำบุญถวายสังฆทานกัน ตัวพ่ออาศัยช่วงนั้นสบโอกาสว่าไม่มีคนอยู่บ้านมาก แต่ยังดีที่พี่ชายอยู่จึงได้ทราบว่าเขาขึ้นไปบนบ้านชั้นสองเพื่อไปเรื้อค้นหาสมุดบัญชีที่เป็นชื่อพี่สาว แต่เขาหาไม่พบและทำการขโมยสมุดบัญชีเล่มอื่นไปจำนวน 3 เล่ม เพื่อต่อรองกับพี่สาว ให้เอาสมุดบัญชีเล่มที่เขาต้องการมาคืน (จะเอาไปทำไมในเมื่อไม่ใช่ชื่อเขา ถึงเอาไปก็แจ้งหายทำใหม่ได้ เอาไปเพื่อ? คงต้องการจะขัดขวางการเบิกเงินออกมาใช้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่เคยถอนด้วยซ้ำไป เกิดจากความโรคจิตของเขาเอง)
เมื่อวาน 19/7/2559 ขู่อีกว่าจะคืนเงินมั้ย คราวนี้จะเอาจริงล่ะจะไปฟ้องศาลจริงล่ะ อ้าวแล้วที่ผ่านมารออะไรยังงงอยู่ ทางบ้านก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่จะฟ้องจะได้ไปสู้กันในศาล
ตลอดเวลา 2 3 เดือนที่ผ่านมา รู้สึกได้ว่าเขาไม่ปรกติแล้ว คนทั่วไปไม่เป็นแบบนี้จึง พยายามหาช่องทางดังนี้
- แจ้งความกับตำรวจ 191 เพราะเขามีจะมาทำร้ายร่างกาย ถือไม้ไล่ฟาด แต่ยังไม่โดนฟาด ตำรวจมาพูดๆ ชิลๆ สบายๆ แล้วจากไป ทำอะไรไม่ได้ ต้องโดนฟาดหัวแบะก่อนถึงจะทำได้
- ปรึกษาเฟสบุค รพ.ทางจิตชื่อดังแห่งหนึ่ง ได้ให้คำแนะนำว่าให้อาศัย พรบ. สุขภาพจิต 2551 ดำเนินการได้ เหมือนเป็นความหวัง *-*
- ปรึกษาจิตแพทย์แถวบ้าน เล่าอาการ พฤติกรรม สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ ให้หมอวินิฉัยดู หมอลงความเห็นว่ามีอาการทางจิตจริง ต้องรักษาไม่เช่นนั้นจะมีอาการมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องรักษาด้วยยา แต่ก็เป็นการยากที่จะเอายาให้เขากิน เขาไม่ยอมกินแน่นอน จะแอบผสมในอาหารก็ยากเพราะเขามีเฉพาะของเขา จึงถามเรื่อง พรบ. สุขภาพจิต 2551 กับหมอ หมอพูดแบ่งรับแบ่งสู้ว่าการจะให้ตำรวจมาจับเลยก็ไม่ได้ เพราะตำรวจก็กลัวโดนคนที่ถูกจับฟ้องกลับ หากว่าคนนั้นไม่บ้า อ้าวแต่เท่าหมอประเมินมาเขาเข้าขั้นนี่นา.. ?
- โทรสายด่วน 132X บอกว่าให้เชิญชวนคนไข้ไปรักษา - -" ถ้ามันง่ายนักคงไม่ต้องโทรมาปรึกษาหรอกครับ เขาบอกว่าต้องโดนทำร้ายร่างกายก่อน ต้องทำลายทรัพย์สินก่อน สรุปไม่ได้ความ
- อีเมลหามูลนิธิสาธารณะแห่งหนึ่ง ยังไม่ทราบผลรอการติดต่อกลับ
>>> แผนในอนาคตคือเข้าไปปรึกษาใน รพ.โดยตรงเลย โทรศัพท์ไปไม่ได้ความ
ผมสรุปประเด็นที่ผมสงสัยและอยากจะถามคือ
1. จากเรื่องราวข้างต้น หากมีการฟ้องศาล พ่อจะมีโอกาสชนะหรือ?
2. การจะไล่คนในบ้านออก ทำได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือแจ้งชื่อออก ทั้งๆ ที่คนในบ้านอยู่กันปรกติสุข มีแต่ตัวเขาที่มโนอยู่เพียงผู้เดียว
3. พ่อชอบอ้างสิทธิ์ทุกอย่างเป็นของเขา ข่มขู่ กดขี่คนในบ้านสารพัด ถ้าฟ้องหย่าเพื่อให้แม่มีสิทธิ์อีกครึ่งนึงจะดีไหมครับ แล้วดำเนินการอย่างไร
4. การนำตัวเข้ารับการรักษาใน รพ. ต้องรอให้เกิดเหตุร้ายก่อนเสมอถึงจะนำตัวส่ง รพ. ได้หรือ?
หรือใครจะเสริมประเด็นอื่นเข้ามาก็ได้ครับ ขอบคุณครับ
จะทำอย่างไรกับผู้ป่วยทางจิตในบ้าน เรียกร้องเงิน หิวเงิน
คือที่บ้านมีผู้ป่วยทางจิต(พ่อ)ชอบหาเรื่องทะเลาะกับทุกคนในบ้าน โดยเมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมาเขาหยิบยกประเด็นเรื่องเงินฝากธนาคารมาทะเลาะ อ้างว่าพี่สาวจะฮุบเงินดังกล่าวไป และจะให้คืนเงินดังกล่าวให้แก่เขา เรื่องเงินนี้ต้องเท้าความไปไกลมากเมื่อหลายสิบปีก่อนสมัยที่พี่ๆ ยังเป็นเด็ก สมัยนั้นมีป้าเป็นคนหาเลี้ยง เวลาไปโรงเรียนก็จะให้เงินไปเป็นค่าข้าวค่าขนม หรือเทศกาลอะไรพิเศษก็จะให้เงินแก่พี่ๆ เพื่อเก็บไว้ใช้ เมื่อได้รับเงินดังกล่าวมาก็จะฝากไว้ที่แม่ แม่ก็จะนำเงินไปให้พ่อ พ่อก็นำเงินดังกล่าวไปฝากธนาคารโดยใช้ชื่อบัญชีว่า "นาย...... เพื่อเด็กชาย/เด็กหญิง" เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีต่อมาผู้เป็นพ่อเชิญชวนให้พี่ๆ, แม่ นำเงินที่อยู่ในบัญชีของแต่ละคนมารวมกันเพื่อนำไปฝากธนาคารโดยใช้ชื่อของพ่อ (ในสมัยนั้นดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 10%+) พี่ๆ ก็ทำตาม ถอนออกมาฝากรวมไว้เป็นชื่อพ่อคนเดียว ในตอนนั้นไม่มีใครเอะใจอะไร เขาก็คงดูแลเงินส่วนนั้นไป ตลอดระยะเวลาก็ยังคงมีเงินฝากเข้าบัญชีนั้นตลอดเป็นของทุกคนในบ้าน เวลาผ่านไปหลายสิบปีพ่อก็เริ่มแก่ตัวลง แม่เองเห็นว่าเวลาจะไปทำธุรกรรมที่ธนาคารก็ลำบากจึงเสนอว่าน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อพี่สาว เพื่อเวลาจะทำธุรกรรมอะไรจะได้สะดวก ในเวลานั้นตัวพ่อเองก็เห็นพ้องต้องกันว่าดี จึงเดินทางไปทำเรื่องเปลี่ยนชื่อที่ธนาคารจากชื่อพ่อเป็นชื่อพี่สาว ต้องย้ำอีกครั้งว่าเงินในธนาคารนี้ไม่ใช่ของเขา 100% มีของทุกคนในบ้านรวมอยู่ หลังจากนั้นเวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาราว 4 ปี ตัวพ่อก็เริ่มออกลายไม่รู้มีผีมากระซิบข้างหูหรือยังไง ทำให้เขาคิดว่าพี่สาวกำลังแอบเอาเงินที่เขาเปลี่ยนชื่อให้ไปใช้ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเงินในบัญชีนั้นไม่ได้ถูกถอนออกมาเลยแม้แต่น้อย พวกค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ พี่สาวก็เจียดเงินเดือนตัวเองออกให้ทุกเดือน แถมทำประกันชีวิตให้กับแม่และตัวพ่อด้วย แต่ก็มิวายถูกพ่อบอกว่าทำเพื่อหวังเงินประกันละสิท่า แม่เองบอกพ่อว่าถ้าหากที่บ้านเงินไม่พอใช้จริงๆ ก็เห็นสมควรที่จะเอาเงินในส่วนนี้ออกมาใช้จ่ายก่อน แต่!!! พ่อเขาด่ากลับบอกว่าไม่ได้ เงินของกู!!!... ต้องอย่าลืมว่าที่กล่าวไว้ข้างต้น เงินนี้เป็นของแม่ และพี่ๆ ที่ฝากรวมไว้เป็นชื่อเขา เพื่อหวังดอกเบี้ยเงินฝากเมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วไหงตอนนี้มาบอกว่าของเขาทั้งหมด?? จึงบอกพี่สาวว่าให้เอาสมุดบัญชีธนาคารไปคืนเขา (จะเอาไปทำไมในเมื่อก็ไม่ใช่ชื่อเขาแล้ว)
เมื่อพี่สาวไม่ยอม รวมถึงทุกคนในบ้านก็มองว่าไม่ถูกต้อง เงินนี้ไม่ใช่ของเขาผู้เดียว จะมาอ้างแบบนี้ไม่ได้ เขาก็จะหาวิธีการแกล้งคนในบ้านสารพัด ข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกาย จะเอามีดแทงติดคุกก็ยอม (เคยพูดต่อหน้าตำรวจด้วยซ้ำไป แต่ตำรวจชิลๆ ไม่สนใจ) จะทำลายข้าวของ จะดึงสายไฟที่เดินไว้ทิ้งให้ใช้การไม่ได้ จะดึงท่อน้ำ ระบบน้ำออกให้คนในบ้านใช้งานไม่ได้ ขนาดแม่ก็ยังโดนแกล้งพยายามทำให้พื้นบ้านเปียกแฉะ เพื่อให้แม่ลื่นหกล้มตาย ตัวแม่เองป่วยเป็นโรคกระดูกทับเส้นเดินเองก็ไม่ค่อยไหวแล้ว ยังต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้อีก
ตัวพ่ออ้างว่าไม่มีเงินใช้แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีเงินที่แอบฮุบไปจากบัญชีที่ทุกคนฝากรวมกันไว้ ถึง 6 แสนบาท แอบเอาไปตอนไหนรายละเอียดเชิงลึกไม่ทราบได้ แต่สามารถปล่อยให้พี่สาวคนเล็กกู้เพื่อซื้อบ้านได้ โดยเชิญชวนให้พี่สาวคนเล็กมากู้กับเขา ตอนแรกไม่ได้บอกว่าจะคิดดอกแต่อย่างใด แต่พอผ่านไปซักระยะเริ่มออกลาย มาทวงกับพี่สาวคนเล็กว่า "ไหนละดอกเบี้ยกู กูไม่ได้ให้กู้ฟรีๆ นะ ขนาดธนาคารยังได้ดอกเบี้ยเลย แล้วทำไมกูไม่ได้" นี่คือคนที่เป็นพ่อครับ หากินกับลูกแบบนี้!!! พี่สาวคนเล็กอึ้ง แล้วก็จำใจจ่ายดอกไป ดอกที่ได้ไปเข้าตัวเขาเต็มๆ ไม่มีแบ่งให้แก่ใครเลย
ตัดกลับมาช่วงที่พี่สาวไม่ยอมรับเงื่อนไขเขา เขาก็อ้างว่าไม่มีเงินใช้ต้องไปหาหมอที่ รพ. คนที่บ้านเห็นพ้องต้องกันว่าเอาแบบนี้ คือ ให้เขาไปหาหมอมาก่อนแล้วเอาบิลมาเบิก จะเบิกเกินจากบิลอีก 2 3 พันก็ยังได้ เพราะปกติแล้วเขาก็กินข้าวในบ้านอยู่แล้ว ใช้เงินส่วนกลางในการซื้อกับข้าว แต่เขาก็ไม่รับเงื่อนไขดึงดันที่จะให้คืนเงินทั้งหมดให้แก่เขา เวลาผ่านไปเขาก็มาบอกอีกว่างั้นเอามาแสนนึงก็แล้วกัน แม่ได้ถามว่าถ้าเอาแสนนึงไปแล้วจะหยุดเรียกร้องได้หรือยัง เขาคงไม่ตอบและยื่นข้อเสนอต่อมาคือ ให้เอาเงินมาหนึ่งแสนพร้อมสมุดเงินฝาก(ชื่อพี่สาว) ให้เขาถือครองเอาไว้ คนในบ้านไม่ยอมรับเงื่อนไข ระหว่างนี้ก็ยังคงแกล้งคนในบ้านอยู่ตลอดเวลาบางทีเหมือนสงบแต่ก็มีคลื่นใต้น้ำตลอดเวลา มีอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยจุดธูปสาบาน สาปแช่ง คนในบ้านสารพัด และมีแกล้งเพิ่มเติมคือเอาทะเบียนบ้านไปซ่อน เกิดคนในบ้านจำเป็นต้องใช้ทะเบียนบ้านก็ไม่มีใช้ เขาบอกว่าให้ไปคัดใหม่ที่เขต แต่เท่าที่ทราบคือ เจ้าบ้านต้องเป็นคนไปทำ ตัวพ่อเป็นเจ้าบ้าน มีเจ้าบ้านแบบนี้ซวยยิ่งนัก ยังดีที่พอจะมีไฟล์ที่สแกนเก็บเอาไว้เลยไม่ได้เดือดร้อนมากมายนัก มีอ้างสิทธิ์ว่าบ้านหลังนี้เป็นของเขา จริงอยู่ชื่อเจ้าบ้านเป็นของเขา แต่เงินที่นำมาซื้อจริงๆ คือเงินของป้า แต่ก็มิวายขู่จะแจ้งชื่อคนในบ้านออกให้หมด ต่อไปถ้าตายก็จะให้ป่อเต๊กตื้งมาจัดการ จะบริจาคบ้านนี้ให้คนอื่น มโนมากๆ เลย
ต่อมาทางบ้านจึงยื่นข้อเสนอให้เขาจะให้เงินห้าหมื่นบาท แล้วให้เขานำทะเบียนบ้านมาคืน แต่เขาก็ไม่ยอม คือจะรับเงินไปแต่ไม่คืนทะเบียนบ้านกลับมา และในเวลาต่อมาไม่เอาแล้วห้าหมื่นจะเอาเงินทั้งหมดในบัญชีเลย พร้อมทั้งจะให้พี่สาวเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อของเขา ให้เขาถือครองเงินแต่เพียงผู้เดียว
ในช่วงที่เรื่องราวดำเนินอยู่เขาก็ขู่ว่าถ้าไม่คืนเงินนะ กูจะแจ้งความ ฟ้องศาล เท่าที่ทราบเขาเดินทางไปสถานีตำรวจถึง 2 3 ครั้ง โดยในครั้งแรกตำรวจได้โทรมาหาพี่สาว พี่สาวจึงถามกลับว่าตัวพ่อแจ้งความด้วยเรื่องอะไร ตำรวจบอกว่าดูแลเงินได้ไม่ดี ก็ยังงงกับข้อหานี้อยู่ ??? การไปครั้งนี้ของเขาไม่ได้ความดูท่าตำรวจจะไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร เขาก็ยังคงโทรหาตำรวจอยู่เนืองๆ จนกระทั่งตำรวจเบื่อและตัดสายทิ้ง ตัวพ่อจึงไม่หวังอะไรกับตำรวจแล้ว จึงเดินทางไปศาล ไปได้ 2 3 ครั้งเห็นจะได้ กลับมาบ้านกร่างใหญ่เลยบอกว่า "กูจะให้สภาทนายความช่วย ฟ้องเอาติดคุกเลย ไม่ยอมความด้วย" "ทนายจะเอาเท่าไหร่ก็ยอมจ่าย เพื่อให้ได้เงินทั้งหมดกลับมา" แต่ล่าสุดเห็นเขาดูจ๋อยๆ กลับมา ดูท่าจะไม่ได้ความแต่อย่างใด และเมื่อเร็วๆ นี้ได้หลุดปากมาว่ารู้มั้ยจ้างทนายหนนึง 3 4 หมื่น โดยปกติแล้วเขาเป็นคนขี้งกมาก สลึงนึงบาทนึงนี่อย่าได้หวังว่าจะหลุดจากมือเขา ทำบุญ ทำทานนี่ไม่มี เจอเข้าไป 3 4 หมื่นคงช็อคแล้วเดินกลับมา
เมื่อวันที่ 17/7/2559 ที่บ้านออกไปทำบุญถวายสังฆทานกัน ตัวพ่ออาศัยช่วงนั้นสบโอกาสว่าไม่มีคนอยู่บ้านมาก แต่ยังดีที่พี่ชายอยู่จึงได้ทราบว่าเขาขึ้นไปบนบ้านชั้นสองเพื่อไปเรื้อค้นหาสมุดบัญชีที่เป็นชื่อพี่สาว แต่เขาหาไม่พบและทำการขโมยสมุดบัญชีเล่มอื่นไปจำนวน 3 เล่ม เพื่อต่อรองกับพี่สาว ให้เอาสมุดบัญชีเล่มที่เขาต้องการมาคืน (จะเอาไปทำไมในเมื่อไม่ใช่ชื่อเขา ถึงเอาไปก็แจ้งหายทำใหม่ได้ เอาไปเพื่อ? คงต้องการจะขัดขวางการเบิกเงินออกมาใช้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่เคยถอนด้วยซ้ำไป เกิดจากความโรคจิตของเขาเอง)
เมื่อวาน 19/7/2559 ขู่อีกว่าจะคืนเงินมั้ย คราวนี้จะเอาจริงล่ะจะไปฟ้องศาลจริงล่ะ อ้าวแล้วที่ผ่านมารออะไรยังงงอยู่ ทางบ้านก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่จะฟ้องจะได้ไปสู้กันในศาล
ตลอดเวลา 2 3 เดือนที่ผ่านมา รู้สึกได้ว่าเขาไม่ปรกติแล้ว คนทั่วไปไม่เป็นแบบนี้จึง พยายามหาช่องทางดังนี้
- แจ้งความกับตำรวจ 191 เพราะเขามีจะมาทำร้ายร่างกาย ถือไม้ไล่ฟาด แต่ยังไม่โดนฟาด ตำรวจมาพูดๆ ชิลๆ สบายๆ แล้วจากไป ทำอะไรไม่ได้ ต้องโดนฟาดหัวแบะก่อนถึงจะทำได้
- ปรึกษาเฟสบุค รพ.ทางจิตชื่อดังแห่งหนึ่ง ได้ให้คำแนะนำว่าให้อาศัย พรบ. สุขภาพจิต 2551 ดำเนินการได้ เหมือนเป็นความหวัง *-*
- ปรึกษาจิตแพทย์แถวบ้าน เล่าอาการ พฤติกรรม สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ ให้หมอวินิฉัยดู หมอลงความเห็นว่ามีอาการทางจิตจริง ต้องรักษาไม่เช่นนั้นจะมีอาการมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องรักษาด้วยยา แต่ก็เป็นการยากที่จะเอายาให้เขากิน เขาไม่ยอมกินแน่นอน จะแอบผสมในอาหารก็ยากเพราะเขามีเฉพาะของเขา จึงถามเรื่อง พรบ. สุขภาพจิต 2551 กับหมอ หมอพูดแบ่งรับแบ่งสู้ว่าการจะให้ตำรวจมาจับเลยก็ไม่ได้ เพราะตำรวจก็กลัวโดนคนที่ถูกจับฟ้องกลับ หากว่าคนนั้นไม่บ้า อ้าวแต่เท่าหมอประเมินมาเขาเข้าขั้นนี่นา.. ?
- โทรสายด่วน 132X บอกว่าให้เชิญชวนคนไข้ไปรักษา - -" ถ้ามันง่ายนักคงไม่ต้องโทรมาปรึกษาหรอกครับ เขาบอกว่าต้องโดนทำร้ายร่างกายก่อน ต้องทำลายทรัพย์สินก่อน สรุปไม่ได้ความ
- อีเมลหามูลนิธิสาธารณะแห่งหนึ่ง ยังไม่ทราบผลรอการติดต่อกลับ
>>> แผนในอนาคตคือเข้าไปปรึกษาใน รพ.โดยตรงเลย โทรศัพท์ไปไม่ได้ความ
ผมสรุปประเด็นที่ผมสงสัยและอยากจะถามคือ
1. จากเรื่องราวข้างต้น หากมีการฟ้องศาล พ่อจะมีโอกาสชนะหรือ?
2. การจะไล่คนในบ้านออก ทำได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือแจ้งชื่อออก ทั้งๆ ที่คนในบ้านอยู่กันปรกติสุข มีแต่ตัวเขาที่มโนอยู่เพียงผู้เดียว
3. พ่อชอบอ้างสิทธิ์ทุกอย่างเป็นของเขา ข่มขู่ กดขี่คนในบ้านสารพัด ถ้าฟ้องหย่าเพื่อให้แม่มีสิทธิ์อีกครึ่งนึงจะดีไหมครับ แล้วดำเนินการอย่างไร
4. การนำตัวเข้ารับการรักษาใน รพ. ต้องรอให้เกิดเหตุร้ายก่อนเสมอถึงจะนำตัวส่ง รพ. ได้หรือ?
หรือใครจะเสริมประเด็นอื่นเข้ามาก็ได้ครับ ขอบคุณครับ