10 ปีแห่งการตามล่าความยุติธรรม แบบคนไม่มีแสง

เกริ่นก่อน เขียนเรื่องนี้ทำไม ใครเค้าอยากรู้เรื่องของเธอเหรอ?

เราอยากแชร์ประสบการณ์ การตามล่าหาความเป็นธรรมให้ตัวเอง แบบคนธรรมดาที่ไม่มีแสง ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียง ไมมีเส้นสายหรือรู้จักคนใหญ่คนโต ที่ใช้เวลาเกือบ 10 ปีในการตามหาความยุติธรรมจากระบบที่ไม่ง่ายเลย

การเกิดมาในประเทศที่มีกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ได้เอื้อให้คนธรรมด้า ธรรมดาแบบเราได้รับความเป็นธรรมแบบง่าย ๆ เราคิดว่าคงมีคนไม่น้อยหรอกที่เป็นแบบเรา แต่แอบคิดว่าคงไม่มีใครตื้อเท่าเรามั้ง เลิกล้มไปก่อนที่จะได้รับความยุติธรรมก็คงมีเยอะ

เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวของเรา ให้คนไทยธรรมดา ๆ ที่คิดว่าน่าจะมีมากกว่าคนที่ไม่ธรรมดาในประเทศนี้ได้ทราบ เผื่อบางคนที่กำลังเผชิญปัญหาคล้าย ๆ กับเราจะได้ใช้เป็นแนวทาง

มาเริ่มกันเลย

กรกฎาคม 2559 - กุมภาพันธ์ 2560 เราออกจากงานประจำเลยเปิดเพจขายของออนไลน์ ตั้งใจขายของหาเงินเลี้ยงชีพด้วยความสุจริต แต่แล้ววันหนึ่งก็มี “คุณลูกค้า” ส่งสลิปโอนเงินมาให้ดู พร้อมขอให้รีบส่งของ เราก็อารามดีใจ เห็นลูกค้าออเดอร์มา 2 ครั้ง ยอดรวม 4,660 บาท สำหรับเรา แม่ค้าตัวเล็ก ๆ มันคือออเดอร์ใหญ่เลยทีเดียว อารามดีใจจึงไม่ทันเช็คบัญชีให้ดี ก็จัดส่งไปตามคำขอ… ปรากฏว่าเงินไม่เข้าบัญชีจ้า คุณลูกค้าปิดเฟสบล็อกแอ๊คเค้าท์ไปเรียบร้อย

ไม่นานก็รู้ว่าไม่ได้โดนคนเดียว มีพ่อค้าแม่ค้าหลายคนเจอแบบเดียวกัน จนมีการตั้งกลุ่มในเฟซบุ๊กชื่อ “รวมตัวผู้เสียหายโดนโกงสลิปปลอมจาก XXXXXXX” (ขอสงวนชื่อจริงของผู้ต้องหา)

เราก็แจ้งความตามกระบวนการยุติธรรมไทยเนอะ แจ้งความที่สน.แถวบ้านแล้วก็โทรตามเรื่องกับตำรวจตามที่อยู่ที่ส่งของไปให้ (ไม่รู้บอกชื่อสน.ได้ป่าว) หลังจากนั้นไม่นานเราก็ได้งานประจำ กลับเข้าสู่ชีวิตมนุษย์เงินเดือนอีกครั้ง จนลืมเรื่องนี้ไปเลย

กรกฎาคม 2563 อยู่ดี ๆ มีตำรวจโทรมาตามให้เราไปให้ปากคำ เราปฏิเสธ เพราะได้เปลี่ยนอาชีพไปแล้ว เงินแค่นี้คิดว่าไม่ได้จำเป็นอะไรกับชีวิตแล้ว แต่ตำรวจบอกว่าเป็นคดีอาญา ยอมความไม่ได้ ยังไงก็ต้องมาที่สน.แถวบ้าน จนตำรวจคนที่โทรมาส่งจดหมายเรียกมาให้เราไปให้ปากคำ เราก็ลังเล เพราะเสียเวลา เสียงาน แต่พอปรึกษาบริการทนายฟรีของรัฐ ทนายยืนยันว่าต้องไป เพราะถ้าไม่ไปถือว่าไม่ให้ความร่วมมือ (เห้อ เหนื่อยใจ ไม่เอาเรื่องก็ไม่ได้)

พอไปถึงตำรวจให้โทรหาผู้เกี่ยวข้องในเวลานั้น…แต่ปรากฎว่าทุกคนเปลี่ยนอาชีพกันหมด ก็มันผ่านมาหลายปีแล้วนี่นา ใครจะไปจำอะไรได้ บางทีเมื่อเช้ากินข้าวกับอะไรยังลืมเลย พอให้ปากคำเสร็จเราก็กลับบ้านแบบงง ๆ แล้วก็คิดว่าตำรวจจะทำอะไรต่อ

ต้นปี 2564 ช่วงโควิดเราก็ออกจากงานอีกละ คราวนี้มีเวลาเหลือเฟือ เพราะไม่คิดว่าจะกลับไปทำงานประจำอีก เลยคิดว่า “ไหน ๆ ตำรวจก็ตามแล้ว ก็ตามกลับเลยละกัน” เริ่มจากโทรหาตำรวจคนเดิม เขาบอกว่าย้ายไปที่อื่นแล้ว ฉันก็ขอชื่อผู้รับผิดชอบคนใหม่ และเพียรโทรตามเรื่อย ๆ จนกระทั่ง

ต้นปี 2567 ได้ชื่อผู้รับผิดชอบคนใหม่ เราก็จิก ๆ ๆ ๆ ๆ (จะเรียกว่าป่วนก็ได้มั้ง) จนตำรวจถ่ายรูปเอกสารมาให้บอกว่าส่งเรื่องมายังอัยการแขวงฯ 1 จึงโทรไปตามนั้น พยายามติดต่ออยู่เป็นน้านนนนนนน ก็ยังติดต่อไม่ได้  สงสัยโทรศัพท์เสียมั้ง

เมษายน 2567 พยายามหาข้อมูลทางเน็ทจนเจออีเมลในหน้าเว็ปเลยส่งอีเมลไป อีกวันนึงมีจนท.โทรกลับมาบอกว่า “ตำรวจสั่งไม่ฟ้อง แต่อัยการสั่งฟ้อง” และส่งเรื่องไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว หลังสงกรานต์จะส่งเลขหมายจับให้ ฉันตามต่อจนได้เอกสารหมายจับมาประมาณ พฤษภาคม 2567

มิถุนายน–ธันวาคม 2567 หลังได้หมายจับ เราก็ส่งหมายจับให้ตำรวจต่างจังหวัดและตร.ผู้รับผิดชอบที่สน.แถวบ้าน แต่เรื่องก็เงียบอีก เลยโทรปรึกษาผู้กำกับ สน.แถวบ้าน เล่าให้เค้าฟังว่าตามกับตำรวจที่ตจว.แล้วเค้าบอกสงสัยผตห.จะย้ายบ้านไปจังหวัดอื่นแล้ว

ท่านผกก.เลยแนะนำให้ทำเรื่องย้ายชื่อผู้ต้องหาเข้าทะเบียนบ้านกลางโดยมาแจ้งที่ร้อยเวรให้ตำรวจทำเรื่องให้ เราก็ทำหนังสือส่งให้ตามที่ท่านบอก

หลังจากนั้นก็โทรตาม คนที่รับสายก็บอกต้องคุยกับอีกห้องนึง แล้วก็ส่งไปอีกคนนึง ส่งกันไป ๆ มา ๆ เลยไม่รู้ว่าทำเรื่องรึเปล่านะ

ระหว่างนั้นก็ตามกับตำรวจที่ต่างจังหวัดไปด้วย ตำรวจที่ต่างจังหวัดให้ความร่วมมือดีมว๊ากกกกกกก ดีกว่าแถวบ้านเยอะ รายงานด้วย วันนี้ไปเฝ้าให้แล้ว ย้ายไปที่ไหน ๆ จนสุดท้าย…

20 ธันวาคม 2567 ตำรวจที่ต่างจังหวัดก็แจ้งมาทางไลน์ว่า “จับผู้ต้องหาได้แล้ว!” เดี๊ยนอยากจิกรี๊ดค่ะ ก็ดีใจอ่ะ

ปลายธันวาคม 2567 ผู้ต้องหาและญาติไม่รู้ได้เบอร์เรามาจากไหน โทรมาก่อกวน บอกลูกเล็กแม่แก่ ขอให้ยอมความถอนแจ้งความเถอะ หนำซ้ำยังให้ตำรวจโทรมาบอกให้เราถอนแจ้งความอีก

เรื่องอะไร ใครจะถอน ตามเรื่องมาจนเกือบจะหมดอายุความ ทุ่มเทเวลา แรงงาน ค่าโทรศัพท์ สมอง ระบบประสาทที่ต้องทะเลาะกับตำรวจกี่คนกี่สน.ยิ่งตอนตร.คนนี้โยนเรื่องให้อีกคน และโยนต่อกันไปเรื่อย ๆ จนโทรศัพท์เราเมมเบอร์ตร.เกือบครบทั้งโรงพักละมั้ง จะให้ถอนฟ้องกันง่าย ๆ แบบนี้เหรอ ไม่มีทาง บล็อกเบอร์ให้หมดเรย

เราก็ถามตำรวจว่าแล้วยังไงต่อ ได้รับคำตอบว่าผู้ต้องหาประกันตัวไปแล้ว รอขึ้นศาลประมาณเดือนนึง

มกราคม 2568 ได้รับจดหมายให้ไปสืบพยานหลักฐาน ในจดหมายเขียนแบบนั้น แต่ที่จริงก็คือให้ไปขึ้นศาลนั่นแหล่ะ

กุมภาพันธ์ 2568 ที่จริงเราก็ไปตามที่จดหมายบอกนั่นแหล่ะ แต่ไม่อยากเจอผตห. กลัวโดนก่อกวนอีกอัยการเลยโทรมาบอกว่า “ตัดสินแล้ว รอลงอาญา 2 ปี” พร้อมบอกให้ไปรับเงินเยียวยาที่ผู้ต้องหาวางไว้ 5,000 บาท

รู้สึกเฟลนิดหน่อยนะที่โดนแค่นั้น แบบนี้ใครฉ้อโกงก็จ่ายเงินแค่นี้แล้วก็ไปหลอกคนต่อได้ดิ เห้อ

แต่ก็ยอมรับคำตัดสินของศาลนะ ที่จริงเค้ามีคดีที่เจ้าทุกข์คนอื่นฟ้องด้วยแต่คดีนั้นตัดสินไปหลายปีแล้ว เลยไม่ได้นำมาพิจารณาด้วย ไม่งั้นรวม ๆ กันหลายคดีก็น่าจะโดนตัดสินจำคุก

หลังจากนั้นเราก็ไปต่างประเทศยาวเลย

กรกฎาคม 2568 กลับจากต่างประเทศ ติดต่อไปตามเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏในจดหมายให้ไปขึ้นศาลตอนเดือนมกราคม แต่เค้าบอกให้ไปติดต่อที่ศาลแขวงพระนครเหนือฝ่ายการเงิน เพื่อทำเรื่องขอรับเงินเยียวยา

ใครที่ติดต่อกับหน่วยงานพวกนี้ต้องจดข้อมูลให้ละเอียดนะ

ชื่อคนที่เราคุยด้วย สถานที่ เอกสารอะไรบ้าง เพราะพอไปถึงดูเหมือนเค้าพยายามจะทำให้เรื่องมันยาก

คำแรกที่จนท.การเงินพูดคือ"ไม่ใช่ที่นี่"

เราจดชื่อคนที่คุยด้วยไว้เลยอ้างชื่อไป นางก็ถามยอดเงิน เราก็บอกไป ขอเอกสาร เราก็มี พอตอบได้หมดนางก็ให้เราเขียนคำร้อง

ถ้าใครมาถึงขั้นตอนนี้อย่าเพิ่งกรอกข้อมูลนะ ต้องถามนางก่อน ว่าเขียนอะไร ตรงไหน

เดี๋ยวกรอกผิดไม่รู้จะไล่ให้กลับบ้านรึเปล่า ยื่นคำร้องเสร็จก็เดินเล่นตลาดนัดแถวนั้นหาขนมกินสบายใจ

สิงหาคม 2568 ในที่สุด............ 8 ปีกว่า ใช้เวลาเกือบ 10 ปี แห่งการตามล่าหาความยุติธรรมของประชาชนชาวไทยธรรมดา ๆ คนนึง ที่ไม่มีแบ๊คอัพ ไม่มีแสง ไม่มีคนรู้จัก

ผลที่ได้รับกลับมาก็คือ ศาลโอนเงินคืนมาให้ 5,000 บาท (คุ้มไหมเนี่ย)

เราได้แต่คิดว่าถึงเค้าจะไม่ได้รับโทษตามสมควร แต่เราได้ทำในส่วนของเราเต็มที่แล้ว

คดีนี้จบลงอย่างเงียบ ๆ แต่ไม่ใช่เพราะเราเงียบ

เราเลือกจะไม่ยอมแพ้ เลือกจะเดินต่อ แม้จะไม่มีใครซัพพอร์ตก็ตาม

และสุดท้าย เราก็ได้เห็นว่า “ความพยายามของคนธรรมดา” ก็มีพลังมากพอที่จะผลักระบบให้ขยับไปนิดส์นึงก็ยังดี

หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นกำลังใจให้ใครก็ตามที่กำลังเผชิญกับความไม่เป็นธรรม

อย่าหยุด อย่าถอย—เพราะบางที ความยุติธรรมก็ต้องใช้ความดื้อ ๆ แก่น ๆ เกรียน ๆ ป่วน ๆ (โดยเฉพาะสน.แถวบ้าน คริคริ) เพื่อให้มันเกิดขึ้น

ปล.หากแท๊คผิดต้องขออภัย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่