ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณ คุณ เปรียว sixtyone, คุณนันท์ turtle_cheesecake, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, จารย์จี Psycho man, น้องแพรว thezircon, คุณ nasa nasa, คุณซอง SONG982
บทนำ - บทที่ ๑
http://pantip.com/topic/35375611
บทที่ ๒
พุทธศักราช ๒๔๗๑
มะแมร์เป็นคนมากระซิบบอกไอรีนว่าให้ไปเก็บข้าวของ ทางบ้านส่งบ่าวมารับ สีหน้าของแม่ชีสูงวัยชาวฝรั่งเศสดูมีกังวลจนน่าแปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าถามว่าเรื่องอะไร ได้แต่เดินตามไปที่หอนอนแต่โดยดี
หีบใส่เสื้อผ้าซุกอยู่ใต้เตียง เมื่อดึงออกมาแล้วคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อย้ายเสื้อซึ่งเก็บอยู่ในตู้ข้างเตียงลงใส่ ร่างอวบท้วมในชุดนางชีขาวสะอาดก็ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะหนังสือ พิจารณาดูเด็กสาวซึ่งเห็นมาแต่เล็กๆอย่างไม่สบายใจนัก พอจะรู้ประเพณีการไว้ทุกข์ของที่นี่มาบ้าง เมื่อมีญาติผู้ใหญ่เพิ่งเสียชีวิต ช่วงเวลาสวดศพ ลูกหลานจะแต่งขาวเป็นการไว้ทุกข์ สีขาวเป็นเครื่องแสดงความเศร้าโศกเสียใจอย่างหนัก จนเมื่อสวดเจ็ดวันผ่านไปแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นแต่งดำ ไม่แน่ใจว่าเครื่องแบบนักเรียนผ้าซิ่นสีน้ำเงินกับเสื้อขาวแบบนี้จะใช้ไปก่อนได้หรือไม่จนกว่าจะถึงบ้าน แต่ถ้าใส่ชุดขาวคงดูดีกว่า จึงเอ่ยปากถาม
"มีเสื้อขาวตัวอื่นไหม ไอรีน กระโปรงขาวด้วย" เสียงนุ่มนวลที่ถามยังคงแปร่งด้วยสำเนียงภาษาแม่ของคนพูด
ไอรีนหันมอง สีหน้าบอกชัดว่างุนงง
"ไม่มีเลยค่ะ"
“ถ้าแต่งแบบนี้ไปก่อนคงไม่เป็นไรหรอกนะ” พยักหน้าหงึกหงักเสริมคำพูด ที่จริงเป็นการยืนยันความคิดของตัวเองมากกว่า ไอรีนเป็นเด็กว่าง่าย บอกอะไรก็ทำตามเสมออยู่แล้ว
แม้มะแมร์จะถือว่าตัวเองเป็นคนเลี้ยงไอรีนมาแต่เล็กแต่น้อย รู้นิสัยใจคอของเด็กสาวดี ก็ในเมื่อเข้ามาอยู่ในโรงเรียนตั้งแต่ห้าขวบ นักเรียนประจำปกติมีกันไม่กี่คน จึงมีโอกาสดูแลทุกคนอย่างใกล้ชิด เด็กบางคนเข้าอยู่ได้ไม่กี่ปีก็ลาออกไป แต่สาวน้อยคนนี้อยู่มาตั้งแต่เล็กจนจะเรียนจบปีนี้แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ง่ายเลยที่จะบอกให้รู้ถึงการตายของพ่ออย่างกระทันหันขนาดนี้
"คงจำบทสวดมนต์ที่มะแมร์เคยสอนได้นะ ไอรีน"
คิ้วเรียวบนใบหน้าขาวผ่องขมวดเข้าหากัน คราวนี้สงสัยจริงๆเสียแล้ว
“มีเรื่องอะไรหรือคะ มะแมร์”
มะแมร์ คือแม่ในภาษาฝรั่งเศส เป็นคำเรียกซึ่งไอรีนคิดเสมอว่าเหมาะสมที่สุด เพราะท่านดูแลเอาใจใส่เธอและนักเรียนประจำคนอื่นๆเหมือนแม่จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่โตมาโดยไม่รู้จักแม่ที่แท้จริงอย่างเธอด้วยแล้ว มะแมร์เป็นเหมือนแม่ที่ไม่เคยรู้จักเอาเลยทีเดียว
“จัดของให้เสร็จเสียก่อน แล้วมะแมร์จะบอก”
มืออวบอูมยื่นมาลูบไล้เรือนผมซึ่งถักไว้เป็นเปียอย่างอ่อนโยน
ร่างบอบบางในเครื่องแบบนักเรียน ผ้าซิ่นสีน้ำเงิน เสื้อคอบัวสีขาว ก้าวขึ้นศาลาท่าน้ำอย่างเร่งร้อน ก่อนเรือจะทันได้เข้าเทียบเสียด้วยซ้ำ อากัปกริยาที่เกือบเหมือนกระโดดขึ้นทำเอาบ่าวสูงอายุผู้ทำหน้าที่แจวเรือร้องเอะอะ
“คุณขอรับ อย่า...อย่าขอรับ ประเดี๋ยวตกน้ำตกท่าลงไป”
ใบหน้าผุดผ่องนวลเนียน สองแก้มแดงปลั่งด้วยความร้อนแรงจากเปลวแดด เหลียวกลับมายิ้มให้อย่างแห้งแล้ง นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลใสชอกช้ำเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาไม่นาน
“ลุงแช่มช่วยยกหีบขึ้นเรือนให้ด้วยนะจ๊ะ”
‘ลุงแช่ม’ จึงคัดท้ายเรือให้เข้าเทียบข้างบันได มองดู ‘คุณ’ อย่างเห็นอกเห็นใจ แม้หน้าที่ของตัวจะอยู่แต่กับเรือและงานจิปาถะรอบบ้าน ไม่มีเหตุอันใดให้ต้องเยี่ยมกรายขึ้นไปบนตัวเรือนบ่อยนัก แต่ก็รู้ซึ้งถึงสภาพของสาวรุ่นผู้นี้ว่าน่าอึดอัดเพียงไร เธอไม่ใช่ลูกเมียหลวงของคุณพระ และในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่ลูกซึ่งเกิดจากเมียบ่าว จึงอยู่ในสภาพครึ่งๆกลางๆ ทำให้วางตัวลำบาก แม้พระพินิจผู้เป็นพ่อยกย่องให้อยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกับลูกอีกสองคนซึ่งเกิดจากเมียแต่ง แต่ต่อไปนี้ เมื่อไม่มีท่านเสียแล้ว เธอจะอยู่ในสภาพเช่นไร ในเมื่อแม่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยแบบนี้
“ครับคุณ”
แช่มตอบพอให้ได้ยิน แล้วคว้าหลักข้างศาลาเพื่อคล้องเชือกผูกเรือ พอเงยหน้าขึ้นอีกที ก็เห็น ’คุณ’ กำลังเดินลิ่วไปทางเรือนหลังใหญ่ มือถอดหมวกกะโล่สีขาวมีโบว์ผูกไพล่ไปข้างหลัง ผมสีน้ำตาลถักเป็นเปียเดี่ยวยาวถึงกลางหลัง ผิดกับหญิงรุ่นสาววัยเดียวกัน เด็กสาววัยนี้ส่วนใหญ่เริ่มตัดผมสั้น หนีบด้วยคีมร้อนๆเพื่อดัดเป็นลอนกันบ้างแล้ว แต่สาวน้อยเลือดผสมยังคงไว้ผมยาวถักเปีย และแต่งตัวเหมือนเช่นที่เคยแต่งมาแต่เล็กๆ ราวกับไม่สนใจว่าเริ่มเป็นสาวแล้ว
เลยศาลาขึ้นไปบนฝั่งเป็นทางเดินดินทุบ พาขึ้นไปยังตัวเรือน
บ้านริมคลองวัดราชนัดดารามของพระพินิจนพคุณเป็นเรือนสองชั้นแบบขนมปังขิง หลังคาปั้นหยามุงกระเบื้อง ชั้นบนแบ่งเป็นห้องโถงและห้องนอนอีกสี่ห้อง เหนือบานประตูและหน้าต่างของแต่ละห้องมีบานเกล็ดเป็นช่องลมรูปโค้ง ฉลุลายทึบ หน้าห้องโถงมีระเบียงลูกกรงแล่นตลอด ประตูสองบานเปิดไว้กว้าง
ชั้นล่างมีห้องกลางกว้างขวาง บันไดซึ่งนำขึ้นไปชั้นบนทอดออกมานอกตัวเรือน ตอนในแบ่งกั้นเป็นสองห้องเล็กๆ มีหน้าต่างบานเกล็ดเช่นเดียวกับชั้นบน
เรือนบ่าวไพร่และเรือนครัวปลูกแยกออกไปต่างหากทางด้านหลัง มีทางเดินเชื่อมโยงถึงกัน
แม้จะมีถนนสายแคบๆตัดผ่านแล้ว แต่เมื่อบ้านหลังนี้สร้างมาก่อนหลายปี และสร้างเมื่อมีคลองเป็นเส้นทางสัญจรหลัก ด้านหน้าของตัวบ้านจึงยังคงเป็นด้านที่หันเข้าหาคลอง และศาลาท่าน้ำก็เป็นเสมือนประตูหน้าบ้านไปโดยปริยาย
บริเวณบ้านโดยรอบกว้างขวาง ร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่มากมาย ตัวเรือนแม้จะสวยงาม แต่เริ่มทรุดโทรมเห็นได้ชัด ดีหน่อยที่เป็นไม้สักทั้งหลัง จึงยังคงแข็งแรงอยู่เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่สร้างเสร็จใหม่ๆ
ฝั่งซ้ายของตัวเรือนหลังใหญ่มีรั้วพู่ระหงกั้นแบ่งเขตออกจากเรือนอีกหลังซึ่งมีขนาดเล็กกว่า เป็นเรือนไม้ ใต้ถุนสูง เรือนหลังนั้นคุณพระสร้างไว้นานแล้ว เมื่อก่อนเคยเป็นที่อยู่อาศัยของคุณเนื่อง…พี่สาวของท่าน
คุณเนื่องเป็นสาวชาววัง ถวายตัวเป็นนางข้าหลวงรับใช้เจ้านายฝ่ายในพระองค์หนึ่งตั้งแต่เล็กจนโต พอเสด็จพระองค์หญิงสิ้นพระชนม์ ก็จำต้องย้ายออกมานอกวัง ในเมื่อไม่มีครอบครัว คุณพระจึงสร้างเรือนอีกหลังแยกออกมาให้เป็นที่อยู่อาศัย ต่อมาหลายปีเมื่อคุณเนื่องเสียชีวิต บ้านหลังนั้นก็เปิดให้คนเช่า คนที่เช่าอยู่ปัจจุบันเป็นคุณหลวงหนุ่มโสดทำงานอยู่ที่โอสถศาลา
วันนี้รอบๆบ้านเงียบเหงาวังเวง มองผ่านลูกกรงระเบียงลายโปร่งขึ้นไปบนตัวเรือน ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว ปกติบ้านหลังนี้มีผู้คนพลุกพล่าน นอกจากคุณสร้อยผู้เป็นภรรยาหลวงแล้ว พระพินิจมีภรรยารองอีกคน มีลูกซึ่งเกิดกับภรรยารองคนหนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบริวารมากมายให้ต้องเลี้ยงดู
แต่พอท่านถูก ‘ดุลย์’ ออกจากราชการตามนโยบายลดรายจ่ายของรัฐในปลายรัชกาลก่อน แถมยังเจ็บป่วยเรื้อรังด้วย ภายในบ้านจึงอยู่ในสภาพย่ำแย่ ต้องปลดระวางบ่าวไพร่ออกไปเสียหลายคน คงเหลืออยู่ก็เท่าที่จำเป็น ส่วนใหญ่ที่ยังคงไว้เป็นคนเก่าคนแก่ซึ่งอยู่กันมานานปี
ศพคุณพระอยู่ในห้องโถงชั้นบน หีบไม้สักลงรักปิดทองลวดลายเรียบๆวางสงบอยู่บนแท่น ข้างใต้มีอ่างขนาดใหญ่บรรจุน้ำแข็งเพื่อให้ความเย็น เป็นการกันไม่ให้ศพเน่าเร็วเกินไป ดอกไม้แต่งหน้าศพเป็นดอกไม้กลิ่นหอมแรงอย่างลั่นทมและซ่อนกลิ่น
ร่างโปร่งบางทรุดนั่งพับเพียบหน้าหีบศพ ก้มกราบลงกับพื้นห้อง แล้วนิ่งอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน ความเยียบเย็นอ้างว้างแทรกเข้ามาในทรวงอกแล้วแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ตระหนักชัดว่าชีวิตนี้ไม่มีพ่อเป็นหลักให้ยึดเหนี่ยวอีกแล้ว
เมื่อน้ำตาซึ่งเหือดแห้งไปเมื่อครู่ทำท่าจะไหลซึมอีกครั้ง จึงขยับตัวขึ้นนั่งตรง รู้สึกถึงมือเย็นๆแตะที่แขน ตามด้วยเสียงพูดอ่อนโยน ปลอบประโลม
“คุณขา คุณท่านไปดีแล้วค่ะ”
ไอรีนใช้สันมือปาดน้ำตา เหลียวหลังมามอง สบตาคมของหญิงซึ่งเพิ่งเลยวัยเต็มสาวไปได้ไม่นาน ผิวสองสีออกคล้ำ ดูคมขำ
อนงค์เป็นภรรยารองของพระพินิจ แต่วางตัวเอาไว้ต่ำกว่าภรรยาหลวงและลูกซึ่งโตแล้วทั้งสามคนของสามี
“ทำไมไม่มีใครบอกให้รู้เลยจ๊ะ แม่อนงค์ ว่าคราวนี้คุณพ่อป่วยหนัก”
เจอคำถามลักษณะนั้นเข้า คนถูกถามได้แต่ถอนใจ รู้อยู่เต็มอกว่าทำไม รู้เช่นกันว่าไม่ควรบอกให้ต้องเสียใจมากไปกว่านี้
“คราวนี้มันกระทันหันค่ะ คุณ” เมื่อตอบตรงๆอย่างที่รู้ไม่ได้ จึงเลี่ยงเสีย
“พี่โชครู้หรือยังคะ”
สบโชคเป็นลูกคนรองของคุณพระซึ่งเกิดกับภรรยาหลวง พี่ชายต่างมารดาคนนั้นเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก พอรับพระราชทานสัญญาบัตร มีตราบนบ่าเป็นนายร้อยเต็มตัว ก็ถูกส่งไปประจำการที่อยุธยามานานร่วมสองปีแล้ว
“คุณโชครู้แล้วค่ะ มาถึงเมื่อวานตอนหัวค่ำ คุณโชคเป็นคนให้ลุงแช่มไปรับคุณมาจากโรงเรียน คุณสุรางค์ก็ออกมาจากวังแล้วค่ะ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง ถ้าไม่เป็นเพราะพี่ชายต่างมารดา ก็คงยังไม่มีใครคิดไปบอกให้รู้ถึงการตายของบิดา
อนงค์เองก็เข้าใจในความรู้สึกนั้นดี
“คุณโชคจะย้ายกลับมากรุงเทพด้วยค่ะ เห็นว่าคุณพระรามขอให้มาทำงานอยู่กับท่าน”
“คุณพระราม?” เสียงใสทวนชื่อซึ่งได้ยินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ใครต่อใครพูดถึง ‘คุณพระ’ หรือบางทีก็ ‘คุณพระราม’ อย่างยกย่องเสมอ ฟังดูก็รู้ว่าคุณพระคนนี้คงมีอายุมากแล้ว คนที่มียศเป็นถึงพันโทก็ควรจะแก่แล้ว
“คุณพระรามท่านย้ายมาเป็นรองเจ้ากรมยุทธเสนาหลายเดือนแล้วค่ะ”
อนงค์บอกต่อ น้ำเสียงที่พูดสะท้อนความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด แม้หล่อนจะเป็นเพียงเมียรองของพระพินิจ และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ภายในบ้าน แต่ก็รู้เรื่องราวความเป็นไปภายนอกดีกว่าคนอื่น
บันทึกคุณหญิงไอรีน (บทที่ ๒ - บทที่ ๓)
บทนำ - บทที่ ๑ http://pantip.com/topic/35375611
พุทธศักราช ๒๔๗๑
มะแมร์เป็นคนมากระซิบบอกไอรีนว่าให้ไปเก็บข้าวของ ทางบ้านส่งบ่าวมารับ สีหน้าของแม่ชีสูงวัยชาวฝรั่งเศสดูมีกังวลจนน่าแปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าถามว่าเรื่องอะไร ได้แต่เดินตามไปที่หอนอนแต่โดยดี
หีบใส่เสื้อผ้าซุกอยู่ใต้เตียง เมื่อดึงออกมาแล้วคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อย้ายเสื้อซึ่งเก็บอยู่ในตู้ข้างเตียงลงใส่ ร่างอวบท้วมในชุดนางชีขาวสะอาดก็ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะหนังสือ พิจารณาดูเด็กสาวซึ่งเห็นมาแต่เล็กๆอย่างไม่สบายใจนัก พอจะรู้ประเพณีการไว้ทุกข์ของที่นี่มาบ้าง เมื่อมีญาติผู้ใหญ่เพิ่งเสียชีวิต ช่วงเวลาสวดศพ ลูกหลานจะแต่งขาวเป็นการไว้ทุกข์ สีขาวเป็นเครื่องแสดงความเศร้าโศกเสียใจอย่างหนัก จนเมื่อสวดเจ็ดวันผ่านไปแล้ว จึงเปลี่ยนเป็นแต่งดำ ไม่แน่ใจว่าเครื่องแบบนักเรียนผ้าซิ่นสีน้ำเงินกับเสื้อขาวแบบนี้จะใช้ไปก่อนได้หรือไม่จนกว่าจะถึงบ้าน แต่ถ้าใส่ชุดขาวคงดูดีกว่า จึงเอ่ยปากถาม
"มีเสื้อขาวตัวอื่นไหม ไอรีน กระโปรงขาวด้วย" เสียงนุ่มนวลที่ถามยังคงแปร่งด้วยสำเนียงภาษาแม่ของคนพูด
ไอรีนหันมอง สีหน้าบอกชัดว่างุนงง
"ไม่มีเลยค่ะ"
“ถ้าแต่งแบบนี้ไปก่อนคงไม่เป็นไรหรอกนะ” พยักหน้าหงึกหงักเสริมคำพูด ที่จริงเป็นการยืนยันความคิดของตัวเองมากกว่า ไอรีนเป็นเด็กว่าง่าย บอกอะไรก็ทำตามเสมออยู่แล้ว
แม้มะแมร์จะถือว่าตัวเองเป็นคนเลี้ยงไอรีนมาแต่เล็กแต่น้อย รู้นิสัยใจคอของเด็กสาวดี ก็ในเมื่อเข้ามาอยู่ในโรงเรียนตั้งแต่ห้าขวบ นักเรียนประจำปกติมีกันไม่กี่คน จึงมีโอกาสดูแลทุกคนอย่างใกล้ชิด เด็กบางคนเข้าอยู่ได้ไม่กี่ปีก็ลาออกไป แต่สาวน้อยคนนี้อยู่มาตั้งแต่เล็กจนจะเรียนจบปีนี้แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ง่ายเลยที่จะบอกให้รู้ถึงการตายของพ่ออย่างกระทันหันขนาดนี้
"คงจำบทสวดมนต์ที่มะแมร์เคยสอนได้นะ ไอรีน"
คิ้วเรียวบนใบหน้าขาวผ่องขมวดเข้าหากัน คราวนี้สงสัยจริงๆเสียแล้ว
“มีเรื่องอะไรหรือคะ มะแมร์”
มะแมร์ คือแม่ในภาษาฝรั่งเศส เป็นคำเรียกซึ่งไอรีนคิดเสมอว่าเหมาะสมที่สุด เพราะท่านดูแลเอาใจใส่เธอและนักเรียนประจำคนอื่นๆเหมือนแม่จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กที่โตมาโดยไม่รู้จักแม่ที่แท้จริงอย่างเธอด้วยแล้ว มะแมร์เป็นเหมือนแม่ที่ไม่เคยรู้จักเอาเลยทีเดียว
“จัดของให้เสร็จเสียก่อน แล้วมะแมร์จะบอก”
มืออวบอูมยื่นมาลูบไล้เรือนผมซึ่งถักไว้เป็นเปียอย่างอ่อนโยน
ร่างบอบบางในเครื่องแบบนักเรียน ผ้าซิ่นสีน้ำเงิน เสื้อคอบัวสีขาว ก้าวขึ้นศาลาท่าน้ำอย่างเร่งร้อน ก่อนเรือจะทันได้เข้าเทียบเสียด้วยซ้ำ อากัปกริยาที่เกือบเหมือนกระโดดขึ้นทำเอาบ่าวสูงอายุผู้ทำหน้าที่แจวเรือร้องเอะอะ
“คุณขอรับ อย่า...อย่าขอรับ ประเดี๋ยวตกน้ำตกท่าลงไป”
ใบหน้าผุดผ่องนวลเนียน สองแก้มแดงปลั่งด้วยความร้อนแรงจากเปลวแดด เหลียวกลับมายิ้มให้อย่างแห้งแล้ง นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลใสชอกช้ำเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาไม่นาน
“ลุงแช่มช่วยยกหีบขึ้นเรือนให้ด้วยนะจ๊ะ”
‘ลุงแช่ม’ จึงคัดท้ายเรือให้เข้าเทียบข้างบันได มองดู ‘คุณ’ อย่างเห็นอกเห็นใจ แม้หน้าที่ของตัวจะอยู่แต่กับเรือและงานจิปาถะรอบบ้าน ไม่มีเหตุอันใดให้ต้องเยี่ยมกรายขึ้นไปบนตัวเรือนบ่อยนัก แต่ก็รู้ซึ้งถึงสภาพของสาวรุ่นผู้นี้ว่าน่าอึดอัดเพียงไร เธอไม่ใช่ลูกเมียหลวงของคุณพระ และในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่ลูกซึ่งเกิดจากเมียบ่าว จึงอยู่ในสภาพครึ่งๆกลางๆ ทำให้วางตัวลำบาก แม้พระพินิจผู้เป็นพ่อยกย่องให้อยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกับลูกอีกสองคนซึ่งเกิดจากเมียแต่ง แต่ต่อไปนี้ เมื่อไม่มีท่านเสียแล้ว เธอจะอยู่ในสภาพเช่นไร ในเมื่อแม่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยแบบนี้
“ครับคุณ”
แช่มตอบพอให้ได้ยิน แล้วคว้าหลักข้างศาลาเพื่อคล้องเชือกผูกเรือ พอเงยหน้าขึ้นอีกที ก็เห็น ’คุณ’ กำลังเดินลิ่วไปทางเรือนหลังใหญ่ มือถอดหมวกกะโล่สีขาวมีโบว์ผูกไพล่ไปข้างหลัง ผมสีน้ำตาลถักเป็นเปียเดี่ยวยาวถึงกลางหลัง ผิดกับหญิงรุ่นสาววัยเดียวกัน เด็กสาววัยนี้ส่วนใหญ่เริ่มตัดผมสั้น หนีบด้วยคีมร้อนๆเพื่อดัดเป็นลอนกันบ้างแล้ว แต่สาวน้อยเลือดผสมยังคงไว้ผมยาวถักเปีย และแต่งตัวเหมือนเช่นที่เคยแต่งมาแต่เล็กๆ ราวกับไม่สนใจว่าเริ่มเป็นสาวแล้ว
เลยศาลาขึ้นไปบนฝั่งเป็นทางเดินดินทุบ พาขึ้นไปยังตัวเรือน
บ้านริมคลองวัดราชนัดดารามของพระพินิจนพคุณเป็นเรือนสองชั้นแบบขนมปังขิง หลังคาปั้นหยามุงกระเบื้อง ชั้นบนแบ่งเป็นห้องโถงและห้องนอนอีกสี่ห้อง เหนือบานประตูและหน้าต่างของแต่ละห้องมีบานเกล็ดเป็นช่องลมรูปโค้ง ฉลุลายทึบ หน้าห้องโถงมีระเบียงลูกกรงแล่นตลอด ประตูสองบานเปิดไว้กว้าง
ชั้นล่างมีห้องกลางกว้างขวาง บันไดซึ่งนำขึ้นไปชั้นบนทอดออกมานอกตัวเรือน ตอนในแบ่งกั้นเป็นสองห้องเล็กๆ มีหน้าต่างบานเกล็ดเช่นเดียวกับชั้นบน
เรือนบ่าวไพร่และเรือนครัวปลูกแยกออกไปต่างหากทางด้านหลัง มีทางเดินเชื่อมโยงถึงกัน
แม้จะมีถนนสายแคบๆตัดผ่านแล้ว แต่เมื่อบ้านหลังนี้สร้างมาก่อนหลายปี และสร้างเมื่อมีคลองเป็นเส้นทางสัญจรหลัก ด้านหน้าของตัวบ้านจึงยังคงเป็นด้านที่หันเข้าหาคลอง และศาลาท่าน้ำก็เป็นเสมือนประตูหน้าบ้านไปโดยปริยาย
บริเวณบ้านโดยรอบกว้างขวาง ร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่มากมาย ตัวเรือนแม้จะสวยงาม แต่เริ่มทรุดโทรมเห็นได้ชัด ดีหน่อยที่เป็นไม้สักทั้งหลัง จึงยังคงแข็งแรงอยู่เช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่สร้างเสร็จใหม่ๆ
ฝั่งซ้ายของตัวเรือนหลังใหญ่มีรั้วพู่ระหงกั้นแบ่งเขตออกจากเรือนอีกหลังซึ่งมีขนาดเล็กกว่า เป็นเรือนไม้ ใต้ถุนสูง เรือนหลังนั้นคุณพระสร้างไว้นานแล้ว เมื่อก่อนเคยเป็นที่อยู่อาศัยของคุณเนื่อง…พี่สาวของท่าน
คุณเนื่องเป็นสาวชาววัง ถวายตัวเป็นนางข้าหลวงรับใช้เจ้านายฝ่ายในพระองค์หนึ่งตั้งแต่เล็กจนโต พอเสด็จพระองค์หญิงสิ้นพระชนม์ ก็จำต้องย้ายออกมานอกวัง ในเมื่อไม่มีครอบครัว คุณพระจึงสร้างเรือนอีกหลังแยกออกมาให้เป็นที่อยู่อาศัย ต่อมาหลายปีเมื่อคุณเนื่องเสียชีวิต บ้านหลังนั้นก็เปิดให้คนเช่า คนที่เช่าอยู่ปัจจุบันเป็นคุณหลวงหนุ่มโสดทำงานอยู่ที่โอสถศาลา
วันนี้รอบๆบ้านเงียบเหงาวังเวง มองผ่านลูกกรงระเบียงลายโปร่งขึ้นไปบนตัวเรือน ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว ปกติบ้านหลังนี้มีผู้คนพลุกพล่าน นอกจากคุณสร้อยผู้เป็นภรรยาหลวงแล้ว พระพินิจมีภรรยารองอีกคน มีลูกซึ่งเกิดกับภรรยารองคนหนึ่ง ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบริวารมากมายให้ต้องเลี้ยงดู
แต่พอท่านถูก ‘ดุลย์’ ออกจากราชการตามนโยบายลดรายจ่ายของรัฐในปลายรัชกาลก่อน แถมยังเจ็บป่วยเรื้อรังด้วย ภายในบ้านจึงอยู่ในสภาพย่ำแย่ ต้องปลดระวางบ่าวไพร่ออกไปเสียหลายคน คงเหลืออยู่ก็เท่าที่จำเป็น ส่วนใหญ่ที่ยังคงไว้เป็นคนเก่าคนแก่ซึ่งอยู่กันมานานปี
ศพคุณพระอยู่ในห้องโถงชั้นบน หีบไม้สักลงรักปิดทองลวดลายเรียบๆวางสงบอยู่บนแท่น ข้างใต้มีอ่างขนาดใหญ่บรรจุน้ำแข็งเพื่อให้ความเย็น เป็นการกันไม่ให้ศพเน่าเร็วเกินไป ดอกไม้แต่งหน้าศพเป็นดอกไม้กลิ่นหอมแรงอย่างลั่นทมและซ่อนกลิ่น
ร่างโปร่งบางทรุดนั่งพับเพียบหน้าหีบศพ ก้มกราบลงกับพื้นห้อง แล้วนิ่งอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน ความเยียบเย็นอ้างว้างแทรกเข้ามาในทรวงอกแล้วแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ตระหนักชัดว่าชีวิตนี้ไม่มีพ่อเป็นหลักให้ยึดเหนี่ยวอีกแล้ว
เมื่อน้ำตาซึ่งเหือดแห้งไปเมื่อครู่ทำท่าจะไหลซึมอีกครั้ง จึงขยับตัวขึ้นนั่งตรง รู้สึกถึงมือเย็นๆแตะที่แขน ตามด้วยเสียงพูดอ่อนโยน ปลอบประโลม
“คุณขา คุณท่านไปดีแล้วค่ะ”
ไอรีนใช้สันมือปาดน้ำตา เหลียวหลังมามอง สบตาคมของหญิงซึ่งเพิ่งเลยวัยเต็มสาวไปได้ไม่นาน ผิวสองสีออกคล้ำ ดูคมขำ
อนงค์เป็นภรรยารองของพระพินิจ แต่วางตัวเอาไว้ต่ำกว่าภรรยาหลวงและลูกซึ่งโตแล้วทั้งสามคนของสามี
“ทำไมไม่มีใครบอกให้รู้เลยจ๊ะ แม่อนงค์ ว่าคราวนี้คุณพ่อป่วยหนัก”
เจอคำถามลักษณะนั้นเข้า คนถูกถามได้แต่ถอนใจ รู้อยู่เต็มอกว่าทำไม รู้เช่นกันว่าไม่ควรบอกให้ต้องเสียใจมากไปกว่านี้
“คราวนี้มันกระทันหันค่ะ คุณ” เมื่อตอบตรงๆอย่างที่รู้ไม่ได้ จึงเลี่ยงเสีย
“พี่โชครู้หรือยังคะ”
สบโชคเป็นลูกคนรองของคุณพระซึ่งเกิดกับภรรยาหลวง พี่ชายต่างมารดาคนนั้นเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยทหารบก พอรับพระราชทานสัญญาบัตร มีตราบนบ่าเป็นนายร้อยเต็มตัว ก็ถูกส่งไปประจำการที่อยุธยามานานร่วมสองปีแล้ว
“คุณโชครู้แล้วค่ะ มาถึงเมื่อวานตอนหัวค่ำ คุณโชคเป็นคนให้ลุงแช่มไปรับคุณมาจากโรงเรียน คุณสุรางค์ก็ออกมาจากวังแล้วค่ะ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้าง ถ้าไม่เป็นเพราะพี่ชายต่างมารดา ก็คงยังไม่มีใครคิดไปบอกให้รู้ถึงการตายของบิดา
อนงค์เองก็เข้าใจในความรู้สึกนั้นดี
“คุณโชคจะย้ายกลับมากรุงเทพด้วยค่ะ เห็นว่าคุณพระรามขอให้มาทำงานอยู่กับท่าน”
“คุณพระราม?” เสียงใสทวนชื่อซึ่งได้ยินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ใครต่อใครพูดถึง ‘คุณพระ’ หรือบางทีก็ ‘คุณพระราม’ อย่างยกย่องเสมอ ฟังดูก็รู้ว่าคุณพระคนนี้คงมีอายุมากแล้ว คนที่มียศเป็นถึงพันโทก็ควรจะแก่แล้ว
“คุณพระรามท่านย้ายมาเป็นรองเจ้ากรมยุทธเสนาหลายเดือนแล้วค่ะ”
อนงค์บอกต่อ น้ำเสียงที่พูดสะท้อนความชื่นชมอย่างปิดไม่มิด แม้หล่อนจะเป็นเพียงเมียรองของพระพินิจ และใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ภายในบ้าน แต่ก็รู้เรื่องราวความเป็นไปภายนอกดีกว่าคนอื่น