พระพุทธเจ้าอาจเป็นเพียงนักปรัชญาที่ค้นหาความหมายของชีวิต ไม่ได้มีพลังวิเศษอะไร????

กระทู้คำถาม
เราเล่นทวิตแล้วเคยเจอ คนทวิตว่า
พระพุทธเจ้าอาจเป็นนักปรัชญาที่ค้นหาความหมายของชีวิตและหาทางพ้นจากความทุกข์
ไม่ได้เป็นผู้มีพลังวิเศษอะไร
แต่พระเจ้าอโศกมหาราชอาจมีการใส่เสริมเติมแต่งเรื่องราวเข้าไปให้อลังการน่าเชื่อถือ คนจะได้อยากเข้ามานับถือมากขึ้น


เราลองมาคิดแล้วก็แอบเห็นด้วยกับเค้า
เพราะถ้าพิจาราณาจากคำสอนของศาสนาพุทธ
จะรู้ว่าใจความหลักๆ
เหมือนเป็นการที่พระพุทธองค์เริ่มสังเกต
สังเกตความเป็นไปของสรรพสิ่งทุกอย่างรอบตัว
แล้วก็มาคิดๆๆๆ หาวิธีทางที่จะทำให้คนรู้สึกทุกข์น้อยที่สุด
คือเราว่ามันมีความเป็นเหตุ เป็นผล เป็นวิทยาศาสตร์มากในกระบวนการของพระองค์ท่าน
ถ้ามองดีๆ วิธีแก้ปัญหาให้ทุกข์น้อยของพระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นเหมือนวิธีที่คิดค้นโดยมนุษย์เพื่อมนุษย์
คือไม่ต้องมีพลังวิเศษอะไรก็ทำได้ เช่น อิทธิบาท 4
..........
หรืออย่างเรื่องไตรลักษณ์ ก็เป็นการมองชีวิตอย่างฉลาดมาก แบบทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
โดยเฉพาะอนัตตา ความไม่มีตัวตนนี่จริงมาก

เราเคยลองนั่งนึกดู ร่างกายเราข้างในก็เหมือนเครื่องจักรกำลังทำงานอยู่ แต่เรามีสมองทำให้เรามีความรู้สึกนึกคิด คิดนู่นคิดนี่มากมาย
แต่พอเครื่องจักรพัง สมองพัง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นเราก็หายไปหมดสิ้น
คือเครื่องจักร(ร่างกาย)ย่อยสลาย
สมอง(ที่ทำให้เรามีความรู้สึกนึกคิด)ก็หายไป
ทุกอย่างสูญดับ เหลือแต่ความว่างเปล่า....
เวลาผ่านไปอีกร้อยปี กาลเวลาทับถมชื่อเรา
ก็ไม่มีใครคนไหนรู้จักชื่อเราเเล้ว
หรือถ้ารู้จัก ก็เท่านั้น
เพราะเรากลายเป็นความว่างเปล่าไป รู้จักชื่อเรา ยกย่องแต่เราก็ไม่เหลืออะไรให้มารับรู้และรู้สึกดี proudหรอก

ศาสนาพุทธเหมือนสังเกตความเป็นไปของชีวิตทั้งหมดแล้วรวบรวมมาให้พวกเราอะ
แบบเราที่พึ่งโตมาได้ไม่กี่ปีก็ไม่ต้องมารอแก่
จนได้ตกผลึกรู้ว่าแกนของชีวิตเป็นยังไง
เพราะศาสนาพุทธมีพระพุทธเจ้าสังเกตและรวบรวมแกนชีวิตมาให้อ่านแล้ว
และมีแถมหนทางที่ทำให้ดับทุกข์อีกด้วย

อันนี้คือศาสนาพุทธในส่วนที่เรารู้สึกว่า เป็นศาสนาที่มีพื้นฐานของกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีความเรียล หลายๆอย่างเป็นเรื่องจริง ตามกลไกธรรมชาติ จับต้องได้
ไม่ได้เว่อร์วังเกินกว่ามนุษย์จะทำศาสนานี้ขึ้นมาได้

ใครคิดยังไงก็มาคุยกันได้นะ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 27
อ่านที่คุณเขียน  กับหลายคนที่เข้ามาตอบแล้วเห็นภาพตัวเองสมัยหนุ่มๆ  เรียนมัธยมมาทางสายวิทย์ จบสถาปัตย์มาหลายปี คลุกกับรูป รส ลิ่นเสียงสัมผัสทางโลกวัตถุ ไม่เคยเชื่อ เรื่องกงกรรมอะไรทั้งนั้น ปาฎิหง ปาฎิหารย์ ก็หลอกๆ กันไป น้องสาวเอาเรื่องคนรู้จักบางคนมาเล่าให้ฟังก็ยังว่างมงาย คิดในใจว่าก็แค่บังเอิญ  จนวันหนึ่งเจอความทุกข์หนัก เลยไปบวช ตอนบวชก็ยังบวชด้วยความโง่ แต่มีดีอยู่บ้างคือได้ไปบวชวัดชลประทานฯ สมัยท่านปัญญายังไม่สิ้น ที่นั่นเขาไม่ให้กินข้าวชาวบ้านฟรีๆ ฉันเช้าเสร็จต้องเข้าห้องเรียน เรียนหลักสูตรนักธรรมตรี  ตกเย็นหลังทำวัตรเสร็จต้องฝึกรรมฐาน  บวชอยู่ได้หนึ่งเดือน สึกออกมาเริ่มรู้แล้วว่าความเข้าใจเกี่ยวกับ ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้า สิ่งที่พระพุทธองค์สอน ตลอดที่ผ่านมาเข้าใจผิดมาตลอด ทั้งจากวิชาศีลธรรมที่กระทรวงเขียนหลักสูตรให้เรียนมาแต่เด็กไม่ได้เข้าถึงอะไรจริงๆ กับสิ่งที่พระพุทธองค์สอนเลย

    หลังจากสึกมา รู้แล้วว่า " พุทธ " ไม่ใช่นึก คิด เอาตามตรรกะ แบบที่เราเรียนมาตามระบบการศึกษา แต่ก็ยังปฎิบัติอยู่ แต่ก็แบบงูปลาๆ เข้าสำนันู้น ออกสำนักนี้ รู้แต่ว่า ศาสนาพุทธที่พระพุทธองค์สอนนี่ไม่ใช่ แค่อ่านทำความเข้าใจ แล้วคิดตาม แต่ก็ยังจับหลักได้ไม่ถูก ไม่เจอจริตแบบของตัวเอง จนอีกปีกว่าจึงเจอครูบาอาจารย์ที่สอนได้ตรงจริตตัวเอง

     ผมจะบอกคุณว่า " พุทธ " ไม่ใช่ปรัชญา

     พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้เพียงนึกเอา คิดเอา ตามตรรกะ แล้วเอามาสอน

     หากจะเปรียบเทียบ  เหมือนกับที่เราคิดเอาว่า หากเอาไข่ดิบไปใส่หม้อต้ม ต้มไปสักสิบนาที จะได้ไข่สุก คุณก็ได้ข้อสรุปจาก การคิด แต่ไม่ได้ลงมือต้มไข่จริงๆ   แต่พระพุทธองค์สอนว่าหากเธอต้มไข่ เธอจะได้ไข่สุก แต่เธออย่าเชื่อฉันทันที เธอจะไม่มีไข่สุก  เธอต้องเอาไข่ไปต้มจริงๆ ด้วยตัวเธอเองแล้วเธอจะทราบว่า  ประจักษ์ชัดด้วยตัวเธอเองว่า ต้มไข่แล้วไข่สุก และมีไข่ต้มเกิดขึ้นจริงๆ   ไข่ต้มจริงที่มีอยู่นี่แหละ คือ " พุทธ "

     ผมเล่าเรื่องต่อไปนี้บ่อย แต่มันยืนยันได้ว่าว่า " พุทธ " ไม่ใช่ปรัชญา ที่นึกเอา คิดเอา ตามตรรกะเท่านั้น ผมมีรุ่นน้องสถาปนิกอายุอ่อนกว่าผมสักสิบปี นั่งโต๊ะติดกัน แต่เขาไม่ใช่พุทธ คนละศรัทธาศาสนากัน  เวลาทำงานผมก็จะเอาซ๊ดีที่ครูบาอาจารย์ผมเทศน์สอนเรื่องการปฎิบัติมาเปิดฟัง ไปด้วย  ในซีดีนั้นก็มีคนถามตอบเรื่องการปฎิบัติด้วย น้องคนนี้ได้ยินบ่อยๆเข้าก็คงสงสัย ถามนู่น ถามนี่ ทั้งเกี่ยวกับเรื่องศาสนาพุทธ และการปฎิบัติ ผมก็ตอบอธิบายเขาไปเท่าที่ทราบ  จนมาถึงเรื่องสภาวะ และผลารปฎิบัติ ซึ่งก็เหมือนกับอธิบายรสชาติอาหารให้คนที่ไม่ได้กินทราบนั่นแหละว่ามันรสชาติอย่างไร ผมก็เลยถามเขาว่า เอาแบบนี้ หากคุณอยากรู้ลองทำตามนี้ คือให้เขาหมั่นรู้ว่าตอนนี้ในใจ  ณ ขณะปัจจุบันรู้สึกอย่างไร  ถ้ากำลังโกรธ ก็รู้ว่ากำลังโกรธ ดีใจก็รู้ว่าดีใจ มีความสุขก็รู้ว่าตอนนี้กำลังสุข มีความรู้สึกอะไรเิดในใจก้คอยรู้ไป ฯลฯ เวลาเดินเหินไปไหน ก็หมั่นคอยรู้สึกลง ณ ปัจจุบันนั้นเลยว่า ตอนนี้ร่างกายขยับอยู่ ทำแบบนี้ศาสนาคุณไม่ห้ามใช่หรือเปล่า เขาก็ว่าทำได้ ผมก็ให้เขาลองทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ   บอกแล้วก็ไม่ได้ตามต่อ หรือไปขยั้นคะยออะไรเขาอีก เพราะรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันทำให้คนเครียดอึดอัดได้ แล้วศาสนาเขาเองก็เคร่งครัดด้วย.....  อยากรู้ก็ต้อง
ทำเอาเอง

       หลังจากนั้นก้ไม่ได้เจอกันอีก แยกกันไปทำงานคนละที่ จนผ่านไปสักห้าเดือนเขาก็โทรมาหาเล่าให้ฟังว่า  เมื่อคืนตอนที่นอนอยู่บนเตียงเกิดรู้สึกตัวขึ้นมา เห็นร่างกายเหมือนวัตถุชิ้นหนึ่งนอนอยู่  แล้วก็เห็นความคิดของตัวเอง แยกลอยออกห่างจากตัว ไปเป็นสาย ไหลผ่านไปเร็วมากเหมือนสายน้ำ แต่ดูไม่ทันว่าเป็นความคิดอะไร  ที่น้องเขาเล่ามานี้หากคนที่ปฎิบัติธรรมมาถึงหรือผ่านตรงนี้ไปแล้วจะรู้ได้ว่าคืออะไร

       น้องเขาก็ขอนัดเจอผมให้เอาซีดีไปให้เขาเพิ่ม  วันที่ไปเจอก็เลยสอบถามเขาเพิ่ม จนแน่ใจว่าไม่ใช่อาการของสมถะ เขาบอว่าที่ผ่านมาก็หมั่นทำบ่อยเท่าที่นึกได้ เขาก็เอารูปในโทรศัพท์ให้ดู บอกว่านี่ที่ห้องผม เป็นรูปตู้เสื้อผ้า ที่หลังตู้มีพระพุทธรูปปางสมาธิ ธูป เทียน ดอกบัวบูชาอยู่

       ที่สอนให้เขาทำคือ จิตตานุปัสนาสติปัฎฐาน ให้ทำไปเลย ทั้งๆที่ยังนับถือศาสนาเดิมของเขานั่นแหละ ไม่ต้องอะไรกะศาสนาพุทธทั้งนั้น ไม่ต้องรู้พระประวัติ วันสำคัญศาสนาพุทธ ฯลฯ ทำไปเลยทั้งที่ไม่ใช่คนพุทธนั่นแหละ

       " ศาสนา " เป็นเรื่องของ ศรัทธา ขนบประเพณี พิธีกรรม ฯ .....นี่เรื่องหนึ่ง ซึ่งจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ " พุทธ "

        ส่วน  " ธรรมะ " คือสภาวะตามเป็นจริงๆ ของสิ่งซึ่งดำรงอยู่ที่ไม่มีอะไรปรุงแต่งในเอกภพนี้ ดำรงอยู่จริงแบบเดียว กับ ข้อเท็จจริงในวิทยาศาสตร์แขนงอื่นๆ เช่น กลศาสตร์ควันตั้ม เคมี ชีวะ ฯลฯ เพียง"ธรรมะ" ที่พระพุทธองค์สอน ทรงจำกัดอยู่แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับกาย ใจ ของเราเท่านั้น ( ใบไม้ในกำมือ )...ในยุคของเรานี้เราชาวพุทธให้เกียรติ เจ้าชายพระองค์หนึ่งที่ทรงเอาตนเองทดลองจนทราบผลว่า แล้วเอามาบอกต่อว่าเป็น " ธรรมะ " ของพระองค์ เท่านั้นเอง ( ทรงเป้นคนเจอ )

        ถ้าคุณเอาโปรตีนดิบมาให้ความร้อน มันจะสุก เหมือนกับไข่ ไม่ว่าจากแม่ไก่ อัฟริกัน ญี่ปุ่น ไก่ยุโรป ฯ

            คนจีน อบอริจิ้น ไทย อเมริกัน เอสกิโม เดินเหยียบตะปู เจ็บเหมือนกัน เช่นเดียวกัน ไม่ว่าคุณแปะป้ายว่าศาสนาไหน เหยียบตะปูเข้าก็เจ็บเหมือนกัน  ดังนั้นหากเป็นมนุษย์ที่ครบสามสิบสอง มีกายใจ เลือดเนื้อ สุข ทุกข์ เหมือนกัน " ธรรมะ "  ให้ผลเหมือนกัน ไม่สำคัญ ว่าจะนับถือศาสนาไหน หรือไม่นับถือสักศาสนา

        น้องสถาปนิกคนที่ผมให้เขาปฎิบัติ เขาก็ไม่ใช่พุทธ ตอนเขาทำเขาก็ยังศาสนาเดิม ไปปฎิบัติตามศาสนา นับถือศาสดาเดิมของเขา ผมเองก็ไม่เคยชวน เคยหว่านล้อม หรือยื่นเขื่อนไขอะไรเกี่ยวกับศาสนาพุทธับเขา  เขาทำแล้วได้ผล จะเปลี่ยนเป็นพุทธ หรือไม่เปลี่ยน ผมไม่สนใจเลย และพระพุทธองค์้ไม่ทรงสนใจว่าใครจะเปลี่ยนด้วยหรือไม่เช่นกัน

       วันที่น้องเขาไปบวชที่วัดธรรมมงคล ตอนออกมาจากโบสถ์ เขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ทะเลาะกับแฟน แล้วเห็นความโกรธพุ่งขึ้นมาเป็นสายกลางตัวแล้วดับวับไป  อีกทีตอนไปกรอฟัน ก็รู้สึกว่าความรู้สึกจี๊ดที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นของแปลกปลอมอย่างหนึ่งที่มาแทรกอยู่ในฟัน เขาบอกว่าพี่เด๋วนี้ผมใจเย็นขึ้นเยอะเลย.....


       ส่วนเรื่อง อิธิฤทธิปาฎิหารย์ นั้นน่ะ มีหรือเปล่า? จากประสพการณ์ส่วนตัว หลังจากเข้ามาอยู่ในวงการแล้ว ขอบอกว่า มีจริง แต่เป็นแค่ side effect ,by product , street furniture ไม่ใช่สาระหรือเป้าหมายแท้จริงของ " ธรรมะ " ที่ทรงสอน ใครจะเชื่อ หรือไม่ใช่ ใครจะประนามว่า งมงาย ไร้สาระ พิสูจน์ไม่ได้ ไม่เป็นไร เพราะอะไรก็ตามถึงมีจริง แต่จับต้องไม่ได้ ไม่เชื่อว่ามีอยู่ มันก็ย่อมไม่มีประโยชน์อะไรกับคนๆนั้นอยู่แล้ว   ท่านพุทธทาสท่านถึงไม่สอนแม้แต่ เรื่องภพชาติ การเวียนว่ายตายเกิด  เพราะท่านรู้ว่าคนสมัยใหม่ตามระบบการศึกษาตะวันตก อะไรที่จับต้อง  พิสูจน์ให้เห็นคาตาไม่ได้ก็ไม่เชื่อกันอยู่แล้ว ท่านถึงสอนแต่เฉพาะประโยชน์ในปัจจุบัน   ไม่ใช่ว่าท่านไม่เชื่อนะครับว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มี เคยมีคนเล่าให้ผมฟังว่าที่ท่านอ่านหนังสือที่ท่านพุทธทาสสอนแล้วคิดว่า ท่านไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด พอมีโอกาสเลยถามท่านด้วยตัวเอง ท่านตอบกลับมาว่า เธอคิดว่าฉันเป็นมิจฉาทิฎฐิหรือ

      ครูบาอาจารย์ของผมท่านสอนไว้ว่า ในฐานะชาวพุทธ ไม่ควรเชื่อทันที หรือปฎิเสธทันที แต่ควรพิสูจน์หรือสอบสวนทวนความเสีย่อนว่า จริง หรือไม่จริง
ความคิดเห็นที่ 15
ถ้าคุณเคยฝึกกรรมฐานมาบ้าง จะไม่พูดเช่นนี้
ความคิดเห็นที่ 2
จริงก็ศาสดาทั้งหมดนั้นแหละ ไม่มีพลังวิเศษอะไรหรอกครับ
ความคิดเห็นที่ 67
ออกตัวครับผมนับถือศาสนาพุทธ ที่ธรรมะเป็นส่วนใหญ่ครับ ตามเจ้าของกระทู้ ผมเห็นด้วยกับ Twitter นั้นและครับ แต่อยากจะขออกความคิดเห็นในมุมที่สนใจพุทธศาสนาที่แก่นแท้
1. ผมสนใจตัวเนื้อหาที่สอน มากกว่าตัวบุคคล ทำถามแรกที่เราควรจะถามตัวเราเอง คือเรามีศาสนาไว้ทำไม สำหรับผมสนใจในการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้พ้นจากทุกข์ ทุกวันนี้ก็เรียกว่ายังห่างไกล แต่รู้สึกว่าเข้าใจคำสอนมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น
2. ผมไหว้ พระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้ไหว้พระท่านมีอำนาจอะไร ผมก็ไหว้ท่านเป็นดั่งครูบาอาจารย์ครับ ถามไหว้พระไหมก็เรียกว่าไหว้ตามสถานะการณ์ครับ เพราะบางที่ก็แยกยากว่าใครประพฤติดีหรือไม่ดี
3. ผมเชื่อเรื่องบาป บุญคุณโทษ แต่เรื่องสวรรค์หรือนรกนี่ ยังไม่ค่อยเชื่อเพราะยังไม่ได้มีโอกาสพิสูจน์  
4. ผมไม่เชื่อเรื่องพลังพิวิเศษต่าง ๆ แต่เนื่องจากถูกปลูกฝังมานานจากที่บ้าน วัด บางทีมันก็มีเผลอคล้อยตามไปบ้าง แต่ลึก ๆ แล้วคิดว่ามันไม่มีเหตุผล
5. เรื่องการให้พรนี่ ผมคิดว่ามันงมงาย และที่ดูแล้วขัดกับหลักธรรมคือ ให้รวย เนี่ยแหละ ตามจริงพระควรให้ พร ประมาณนี้ ให้มีสติ ให้ไม่ประมาท นะ
6. การทำบุญผมว่ามันก็เป็นการปรับจิตใจเราให้อ่อนลงได้ จากการยึดถือโน้นนี่นั่นในชีวติปัจจุบัน ผมเองก็ชั่งใจในการทำบุญกับพระกับทำบุญช่วยคน ผมให้น้ำหนักเท่ากันเพราะการทำบุญนั่นสอนให้เราเราเสียสละ เป็นการสอนตัวเองให้ไม่ยึดติดยึดมั่น ถ้ามัวแต่มาสร้างเงื่อนไง ก็การเป็นว่าตัวเราต้องยึดติดกับยึดมั่นกับบุญมากเกินไป ทำไปทำมาก็จะขุ่นใจ อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวผมเลย ที่ต้องทำบุญให้คนที่ต้องการจริง ๆ จะโดนหลอกไหม จริงไหม ทำเสร็จก็ไม่เห็นจะรู้สึกสบายใจเลย
7. ส่วนตัวผมก็ไม่ห้ามตัวเองว่าเป็นพุทธแล้วจะนับถือศาสนาอื่นไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยสอนว่า เลือกพุทธแล้วอย่าไปเลือกศาสนาอื่น ผมก็เลือกเอาอันไหนที่เราถูกจริตและเข้ากันกับแนวของเราก็สามารถนำมาประยุกต์ได้
8. ศาสนาส่วนใหญ่มักถูกบิดเบือนโดยผู้เผยแผ่ศาสนาครับ แก่นของธรรมะ ไม่เคยมีส่วนไหนแสดงอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์ แต่สอนให้ปฏิบัติเพื่อให้รู้และเห็นจริงครับ
9. ปัจจุบันนี้ต้องบอกว่าเราถูกบิดเบือนมาเยอะครับ อย่าลืมครับ 2559 ปีผ่านมา คงไม่เหมือนเดิมแน่ ๆ เหมือนเอาคนมา 100 คน แล้วพูดปากต่อปาก คุยสัก 100 คน คนที่ 100 ฟังเป็นอีกเรื่อง หรือผิดวัตถุประสงค์ไปแน่นอน เจตน์จำนงค์ในการต้องการให้คนศึกษาธรรมะ เริ่มต้นคงจะตั้งใจดีโดยการใช้กุศโลบายในการชีชวนใครคนสนใจ แต่การถ่ายทอดคนสู่คน รุ่นสู่รุ่นของผู้เผยแพร่ศาสนาพุทธ จึงทำให้เหตุและผลและหลักธรรมะผิดเพี้ยนไปจากเดิม หนึ่งในสาเหตุที่ควรจะนำมาคิด ก็เป็นเรา ๆ ท่าน ๆ ที่แหละครับ ปู่ย่า สอนพ่อแม่ พ่อแม่สอนลูก ลูกไปบวชเป็นพระ ไปสอนคนอื่น
10. จากข้อ 2 ในพระธรรมะ จึงมีเรื่องความเชื่อต่าง ๆ เพราะความเชื่อที่ไม่ปฏิบัติหรือทดสอบให้รู้แจ้งเห็นจริง อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเถียงกัน ทะเลาะกัน หรือเป็นความเชื่อที่ผิดจึงทำให้เกิดทุกข์ เหมือนที่เรากำลังทำอยู่ในกระทู้นี้แหละครับ
11. หลาย ๆ กระทู้บนเถียงกันระหว่างสายวิทย์ กับความงมงาย อันนี้ผมเห็นด้วยว่าส่วนใหญ่คนนับถือศาสนะพุทธงมงายครับ แต่ถ้าคุณยังไม่ได้ศึกษาแก่นแท้ศาสนาแล้วมาบอกว่า ศาสนาพุทธเป็น ศาสนาผี และงมงาย ผมว่ามันก็ไม่แฟร์ ตามหลักวิทยาศาตร์แล้วก็ต้องมีการทดสอบทดลองถึงบอกว่าได้ ทฤษฏีไหนจริงไม่จริง คุณแค่ไปเห็นบทความนึงมา แล้วมาตัดสินอันนี้มันก็ผิดหลักวิทยาศาสตร์ไปหน่อยนะครับ เพราะถ้าคุณสังเกตตามจริงแล้วความงมงายเกิดที่คนครับ ไม่ใช่ศาสนา แต่เอาเหอะตัวธรรมะไม่ได้ขอให้ใครมานับถือนะครับ เปรียบเสมือนหนังสือ 1 เล่มครับ ใครใคร่อ่านก็มาเปิดครับ ด่ามันไปมันก็ไม่เจ็บครับ
12. อ่านเจอ คห 61 อันนี้ผมว่าออกแนวประชดไปหน่อย ลองไปศึกษาดูก่อนครับแล้วคุณจะทราบว่าไม่ใช่
13. อ่านเจอ คห 63 อันนี้ผมว่าก็ไม่ใช่แก่นของธรรมะนะครับ จากที่ศึกษา ผมว่าศาสนา การเข้าใจความคิดตัวเอง และการควบคุมความทุกข์ที่เกิดจากการปรุงแต่งจากปัจจัยทั้งภายในจิตเราและจากรอบข้าง
ความคิดเห็นที่ 135
ผมบังเอิญเรียนจบมาด้านใกล้ๆด้านนี้
-ผมเคยเข้าใจสมัยเด็กๆว่า ศาสดาแต่ละองค์ คือผู้ทรงอภินิหาร เปรียบดั่งผู้อยู่เหนือกฏธรรมชาติทั้งปวง ตามประสาเด็กที่ได้ยินผู้ใหญ่สอนมา ว่าพุทธองค์ท่านยิ่งใหญ่เพียงใด
-ผมสนใจไตรภูมิพระร่วง หรือเตภูมิกถา อ่านแล้วสนุก ชอบก็เชื่อ เอาไปเล่าให้คนโน้นนี้ฟัง ว่าอาณาจักรในเรื่องในตำราเนี่ย โคตรแฟนตาซีเลย วอลดิสนี่อายอ่ะ ป่า เขา แม่น้ำ ทวีป 4 กำแพงจักรวาล หรือภูมิทั้ง 3 กามภูมิ รูปภูมิ อรูปภูมิ (ไม่ใช่ โลก สวรรค์ นรก 3 ภูมินะ ทั้ง 3 อันนี้อยู่ในกามภูมิ)
-ผมโตขึ้นได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างในโลกของความเป็นจริง มันไม่เหมือนกันเท่าไหร่นัก
-ผมได้เรียนป.ตรีในสายที่เข้มข้นในประวัติศาสตร์และศาสนาพุทธมาก รวมถึงไตรภูมิที่ผมชอบนักชอบหนาด้วย
-ผมได้เห็นศาสนาพุทธในมุมมองที่หลากหลายต่างๆกันไปในแต่ละสถานที่ในโลก รวมถึงศาสนาอื่นๆ (รายละเอียดเยอะมาก อธิบายไม่ถูก)
-ผมเริ่มเห็นพุทธองค์ตัวเล็กลง แต่กลับเห็นว่าท่านยิ่งใหญ่กว่าเดิมมาก เทียบกับในสมัยที่ผมเห็นท่านเป็นผู้ทรงอภินิหาร
-ผมศรัทธาศาสนาพุทธมากกว่าเดิม ที่พระพุทธเจ้า ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป ไม่ใช่ผู้มีพลังวิเศษ แต่คือคนธรรมดา ที่สามารถคิด ค้นพบสัจธรรม เสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อค้นหาความจริง และนำพาผู้คน ให้คิดได้ ให้พ้นทุกข์ได้ โดยไม่มีใครมาคิดให้ก่อน พระพุทธเจ้าท่าน คือมหาบุรุษอย่างแท้จริง
-ผมเห็นว่าศาสนามีผลต่อการปกครอง การคานและแย่งชิงอำนาจเป็นอย่างมาก และแน่นอน ถ้าท่านรู้ประวัติศาสตร์ของทุกมุมโลก มันมีส่วนมากจริงๆ ตั้งแต่เอาไปผสมกับวัฒนธรรมประเพณีให้เหมาะสมกับแต่ละสถานที่ ไปจนถึงการทำสงครามเลยทีเดียว หรือการเพิ่มอำนาจให้กับผู้นำอีกด้วย
-แต่ผมยอมรับความจริง ว่ามันก็เป็นเช่นนั้น เรารู้คือรู้ก่อน เราก็ไม่ไหลตามไปกับมัน แต่เราเดินไปตามทางของมันได้แบบปกติ เมื่อเราเดินไปตามทางเห็นว่ามันจม มันตัน เราก็หยุด แล้วเดินไปทางอื่น ไม่จมไปด้วย
-ผมไม่สนับสนุนวัตถุนิยม ไม่เชื่ออภินิหาร ผมเห็นศาสนาพุทธในบ้านเมืองเรา กลายเป็นศาสนาแห่งพลังอภินิหาร พระเครื่องมีพลังงั้นงี้ ไหว้ที่นั่นที่นี่จะได้ลูกชายลูกสาว จะถูกหวย ผิดหลักศาสนาพุทธอย่างสิ้นเชิง แต่คนไทยก็หน้ามืดกล้าพูดว่าชั้นนับถือพุทธ แต่ไม่มีเหตุผลตามพุทธเลย
-ผมเข้าใจว่าศาสนาพุทธในเมืองไทย มีพื้นฐานผสมกันมาจากความเชื่อหลายๆอย่าง โดยมีแกนหลักคือศาสนาพุทธเองและไตรภูมิพระร่วง แต่ไตรภูมิพระร่วงนั้น ความเห็นส่วนตัวผมเข้าใจว่า ไม่ใช่พุทธแท้ แต่คือการผสมเอาหลายศาสนาหลายลัทธิหลายความเชื่อ มาหาข้อสรุปให้เป็นเหมือนคัมภีร์สรุปความเป็นจริงของธรรมชาติ โดยใช้ข้อมูลของทุกตำรามารวมมาเปรียบเทียบกัน ในสมัยสุโขทัยเรา โดยพระยาลิไท หรือพระมหาธรรมราชาที่ 1 โดย ณ ตอนนั้น ความเชื่อ หรือสิ่งที่คนคิดกัน ก็มากมายหลายหลาก และแน่นอน เต็มไปด้วยพลังเหนือธรรมชาติอย่างแน่นอน ซึ่งนั่น ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดหรอก แฟนตาซีซะขนาดนั้น
-ผมไม่เชื่อเรื่องกรรมในแง่ของพลังเหนือธรรมชาติ แต่ผมเชื่อในแง่ของความเป็นจริง ทำดีก็อิ่มเอมมีความสุข ทำชั่วก็มีตราบาปค้างไว้ในใจ ใครรู้ใครเห็นก็น่ารังเกียจ น่าอับอาย
-ผมเชื่อว่าคนเราทำดีได้ เป็นคนดีได้ โดยไม่ต้องเชื่อว่าจะมีสวรรค์รออยู่ข้างหน้า หรือจะได้สิ่งตอบแทนเป็นพลังบุญ หรืออย่างไร เราทำดีได้ เพราะดี คือดี เป็นคนดี ทางกลับกัน เราละเว้นความชั่ว ไม่ใช่เพราะกลัวบาป แต่เพราะตระหนักรู้ ว่ามันไม่ดี ไม่ถูกต้อง คนอื่นจะเดือดร้อน
        ผมไม่มีภาษายากๆมาอธิบายนะครับ ก็เขียนได้ตามความรู้สึก ภาษาบ้านๆง่ายๆเท่านี้ครับ ถูกผิดประการใด ต้องขออภัยท่านผู้อ่านด้วยครับ เห็นคุณ จขกท.ตั้งกระทู้น่าสนใจ เลยมาแชร์ความคิดครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่