โยโย่ เอฟเฟค 4 แบบ ที่เคยเจอมา

กระทู้สนทนา
หวัดดีครับ
วันนี้จะมารีวิวกับประสบการณ์โยโย่ที่ผมเคยเจอมาว่าเจอมา 4 แบบ
‪#‎แบบที่‬ 1 โยโย จากการทานน้อยเป็นเวลานาน(ลักธิ 500 แคล หรืออาหารศาลพระภูมินั้นเอง)
>>>ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเมื่อ 4-5 ปีก่อนมีความรู้ทางด้านนี้น้อยมากไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี้ค้าเรียกว่าโยโย่ตอนนั้น กินข้าวกลางวันอย่างเดียวมื้อเดียวต่อวันครับโดยรูปถัดมาผอมมากผอมแบบโทรมเลยยิ่งทำงานช่วงปิดเทอมยิ่งโทรม พอเราเลิกกินปุ๊ป ก็เป็นอย่างที่เห็นรูปถัดไปเลยที่เกิดโย่โย่
เพราะว่าเวลาร่างกายของเราพออดอาหารหรือทานน้อยเป็นเวลานานๆ ร่างกายก็จะต้องรักษาพลังงานเพื่ออยู่รอดและเพราะเจ้าของร่างกาย “ยิ้มเล่นกินน้อย เลยไม่มีสารอาหารเพียงพอเหมือนแต่ก่อนเอ้าวะ ปรับบ้างเพราะไม่อยากให้มันตายๆ” ร่างกายก็เลยปรับเข้าสู่ Safe Mode นั้นเอง
>>>ระบบเซฟโหมด(Safe Mode)คือการที่ร่างกายปรับตัวลงให้ระบบเผาผลาญต่ำนั้นเอง นั้นหมายความว่าเราเวลาทานอะไรมาร่างกายก็เก็บคาโบเก็บสารอาหารมาแปลเปลี่ยนเป็นพลังงานสำรอง(เป็นไขมันตักตุนไว้นั้นเอง)และใช้อำนาจเคอฟิลสูงสุด555 สั่งการสลายพังมวลกล้ามเนื้อดึงมาใช้เป็นพลังงานทำให้(อารยธรรมกล้ามเนื้อที่อยู่กับเรามานานแสนนานสลายไป) เอาไปใช้ยังชีพเพราะร่างกายยังคงต้องใช้พลังงานในการมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเมื่อเราทานน้อยร่างกายก็ต้องปรับตัวให้เผาผลาญน้อยตาม เมื่อเรากลับมาทานอาหารในปริมาณมากๆหรือเท่าที่เคยกินปกติ ร่างกายก็ปรับตัวตามไม่ทันประมาณว่า “เอ๊ยกรูยังไม่ไว้ใจ จะหลอกให้กรูดีใจใช่มะ กรูไม่หลงกลหรอก” ร่างกายก็เก็บตุนต่อไป เพราะเคยรับแต่ปริมาณน้อยๆและเผาผลาญน้อยมาตลอด ดังนั้นเมื่อเผาผลาญสิ่งที่ทานเข้าไปไม่หมด ไอ้ที่กินเข้าไปก็สะสมมาเป็นไขมันเกาะอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกายนั้นเอง ยิ่งร่างกายตักตุนเป็นพลังงานสำรอง(ไขมัน) ไว้มากๆทำให้เราอ้วนและเท่านั้นยังไม่สาแก่ใจอิแย้มมม 555
>>>กล้ามเนื้อที่เราเคยมีอยู่ที่ช่วยแบ่งเบาภาระแต่ก่อนที่กินปกติก็ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่มีตัวช่วยเสริม ทำให้ไขมันถูกใช้น้อยไปอีกก หือๆร้องไห้แป๊ป
ถ้าจะให้เปรียบโย่โย่ ก็เหมือนกับเป็นระบบเศรษกิจนั้นแหละ เช่นอาหารขาดตลาด ข้าวน้ำตาล น้ำมัน ขาดตลาด ราคาแพงขึ้น ประชาชนก็ “เอ้าเว๊ยเพื่อความอยู่รอด”  รีบซื้อของกักตุนไว้ กลัวไม่มีกินกลัวอดตาย ก็กักๆๆๆตุนไปสะสมไว้เรื่อย เมื่อช่วงเศรษกิจอันเลวร้ายผ่านไปแล้ว กลับมาเป็นเหมือนเดิม แล้วประชนชนละก็ยังกลัวอยู่ ยังไม่แน่นอนก็ขอซื้อกักตุนไว้ก่อน เอาไห้แน่ใจว่ามันกลับมาปกติแล้วจริงๆ ผ่านไปสักพักแน่ใจก็จะกลับมาซื้อของปกติ แต่หันไปในครัวนี้ ของในคลังแสงบ้านอื้เลยทีเดียวก็เหมือนกับไขมันที่โดนกักเก็บไว้อื้อตามผิวหนังในส่วนต่างๆเรา
_________________________________
#แบบที่ 2 โย่โย่จากการกินยาลดความอ้วน(แบบกดประสาท)
<กรณีนี้ผมเคยลอง กินที่ฮิตตอนนั้น บางคนในที่นี้อาจจะเคยทานมาก่อน ก็คือ reduce ผงบุก บาชิ hoodia >
>>>พวกนี้ผมเคยทานมาหมดแว๊ววววว ประมาน 3 -4 เดือนนี้แหละ หุ่นนี้ผอมเร็วดีน้ำหนักลดฮวบเพราะมันกดประสาททำให้ไม่ค่อยอยากกระเดือกกินอะไรสักเท่าไร แต่อาการประจำวันที่เจอบ่อยๆคือแรงหาย หน้ามืด ตื่นมาแล้วจะลุกขึ้นไปอาบน้ำนี่ เกือบล้มหัวฟาดพื้นความจำเสื่อม 555 แต่เข็ดมั้ยก็ไม่ยังกินต่อยันเข้าเดือนที่ 3 แต่เปลี่ยนยี้ห้อไปเรื่อย จนเบื่อเลยเลิกกินแต่ปัญหาก็เกิดครับเป็นปัญหาแบบเดียวกับข้างบนเลยคือโย่โย่เพราะกินน้อย เพราะกินน้อยจากการโดนยากดประสาทให้กินน้อยเข้าลักธิ 500 แคล ซึ่ง ยาลดน้ำหนักเป็นเหมือน แปะเจียเวลายัดเงินให้ลูกได้เรียนอะ แต่นี้เป็นแปะเจียที่จ่ายไปเพื่อใช้ยากดประสาทให้ให้ได้เข้าลักธิ 500 แคลง่ายขึ้นสำหรับคนที่อดด้วยตัวเองไม่ได้
>>>สำหรับยาลดน้ำหนักมันมีอีกหลายรูปแบบเลยทั้งบล็อกไขมัน ดักจับนู๊นดักจับนี้ ช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญ ไอพวกนี้ไม่เคยลอง เคยลองแต่แบบกดประสาทให้กินน้อย ใครมีประสบการมาเล่นให้ฟังด้วยนครับ
_____________________________________________
#แบบที่ 3 คือโยโย่ ของการออกกำลังกาย มากแต่กินน้อย
>>>คืออันนี้ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เจอกับตัวเองแต่เพื่อนเคยเป็นเคสนี้แล้วปัจจุบันยังอยู่ในช่วงโย่โย่อยู่คือ เพื่อนคนนี้ต้องบอกก่อนว่า ตอนที่มันออกกำลังกายตอนนั้นมันกินน้อยมาก แต่ไม่น้อยเท่า 500-1000 แคลนะ คร่าวๆที่มันบอกเมนูน่าจะประมาน เกือบๆ 1500 แคล แล้วมันจะออกกำลังกายช่วงตอนเย็นมันออกหนักมากทั้งวิ่ง ทั้งว่ายน้ำในมอ แล้วก็เต้นแอโรบิคในหอหญิงนี้แหละประเด็นคือมันออกกำลังกายประมาน 2-3 ชั่วโมงแหนะ ทีนี้ผมก็ไม่รู้เพราะมันไม่เคยมาถามแล้วมันเล่นไปสักพักเริ่มน้ำหนักไม่ลง แล้วมันก็ท้อๆแท้เลิกออกกำลังกายลดลงแต่มันยังกินเหมือนเดิมนะที่นี้ผ่านมาเกือบ 2 อาทิตย์มันบอกว่าน้ำหนักมันพุ่งมาก ตัวก็เริ่มจับแล้วเหลวกว่าเดิม(ช่วงนี้เรียนจบไปแล้วนะ) แล้วมันเพิ่งจะมาปรึกษาได้ไม่นานหลังจากผมโพสรีวิวตัวเองไปในเฟสเมื่อหลายเดือนก่อน
>>>สาเหตุของการโย่โย่ของมันเกิดจากเรื่องอาหารและการออกกำลังกายที่มันสวนทางกันทำให้ช่องว่างร่างกายที่ต้องการสารอาหารกว้างขึ้น ถึงแม้จะกินประมาน 1500 แคลก็จริง แต่การออกกำลังกายร่วมๆเกือบ 3 ชั่วโมงนั้น จะขอตีประมาน 700-800 แคล เมื่อบวกลบกับการกินแล้ว จึงทำให้ เหลือพลังงานที่ใช้ในการทำกิจกรรมอื่นๆที่นอกเหนือ ออกกำลังกายแค่เพียง 700-800 แคลเท่านั้น จึงทำให้เป็นเหมือนเคส กินน้อยและยากดประสาท ที่ทำให้ร่ากายอยู่ใน save mode
_________________________
#แบบที่ 4 แบบนี้เป็นแบบที่ผมเจ็บที่สุดคือ การโยโย่จากการตัดสารอาหาร
>>>ซึ่งตอนนั้นก็พอรู้แล้วแหละว่าโยโย่คืออะไร แต่ยังไม่เคยเจอเคสนี้เห็นเค้าแนะนำกันให้งดกินแป้ง “เค้านี้ใครวะยิ้มไม่เคยเห็นไม่รู้เป็นใครแต่ยิ้มมีอิธิพลกับกรูจัง555”  ซึ่งผมอดแป้งเป็นเดือนๆไม่กินแป้งเลยไม่กินทุกอย่างที่มีคาโบเลย กินแต่เนื้อกับผักนิดหน่อย ซึ่งผลของมันหอมหวานมากเดือนเดียวลดไปสิ 12 โล กินแบบนี้ไป 2-3 เดือน “โอ๊วจอรจ มันยอดมว๊ากกก”  น้ำหนักจากเกือบ 80กว่าๆเหลือ 50 ต้นๆโอ้วววผลของมันดีใจมาก แต่ๆยังมีโปรโมชั่นบริการหลังการขายตามมาด้วยนะนั้นคือ คือช่วงแรกคือแบบไม่มีแรงหน้ามืด ไม่อยากทำอะไร อยากนอนอย่างเดียวคือประมาณว่าไปเรียนเสร็จกลับมานอนเลย ตื่นมากินไส้กรอกเซเว่นกินนอนต่ออีก แต่พอผ่านไป 2 อาทิตย์ก็มีแรงเป็นปกติแบบเดินเหินได้ทั่วๆไป(มีแรงสิวะ มันเอาพลังงานสำรองมาเป็นทางเลือกใหม่ของมันไง)
>>>พอผมผอมอย่างที่ต้องการแล้วก็กลับมากินปกติ คือแบบ………อะไรกันเนี่ยย กินข้าว ปกติน้ำหนักขึ้นวันละ 1 โล(แอบชั่งหน้าเซเว่น) กินไปอาทิตย์นึงน้ำหนักมา 60 แล้ว “โอ๊ยยยบรรลัยใส่เกียร์หมากันเลยทีเดียว” ช่วงนั้นจะไปสหกิจ(เป็นการฝึกงานแบบมีเกรดและมีตำแหน่งในบริษัทเป็นของตัวเอง)ทุกคนโต๊กกกกกกะจัยมาก โดนเพื่อนถามทำไมอ้วนเร็วจังโดนเพื่อนล้อเฮ้ยให้ไปสหกิจไม่ใช่ให้ไปกินถังน้ำมันเครื่องในรถนะ(ทำงานที่มาสด้า)กินถังน้ำมันพ่องงงงสิครัช แล้วไล่ตบกระบานทั้งเส็ค ช่วงนั้นประชดชีวิต กินเหล้า จากที่ไม่ค่อยกิน เล่นไพ่ เข้าผับ เปิดเพลงเต้นในหอเพื่อนทั้งคืน กินทุกอย่างที่มี แบบไม่สนใจอะไรแล้วเครียดต้องกินๆๆๆๆจนน้ำหนักมาถึง 100 โล แล้วเวลานอนหายใจไม่สะดวกตอนนั้นเรามาคิดแล้วว่า “เอ๊ะนี่ตัวนะทำไม่ไม่รักตัวเองเลยละนึกถึงหน้าพ่อกับแม่มาก”  เลยเป็นจุดเปลี่ยนแค่แว๊บเดียวจริงๆเท่านั้น แล้วก็หันมาเราก็เริ่มศึกษาทุกอย่างเรื่องร่างกายเรื่องออกกำลังกาย เรื่องคุมอาหารอย่างจริงจัง จัดตารางเล่น ศึกษาข้อมูลทุกอย่างมา 2-3 เดือน คือแบบไปเรียนกลับมาห้องนี้ศึกษาทุกอย่างทุกเว็บศึกษากรณีข้อมูลใหนขัดแย้งก็เอาไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในเพจต่างๆหาอ่านเคส แปลจากต่างประเทศจนพอเข้าใจนิดหน่อย เราเลยถึงได้รู้สาเหตุที่เจ็บแสบในชีวิตทั้งหมด
>>>>‪#‎โดยสาเหตุแบบที่‬ 4 โย่โย่สารอาหาร คือการที่ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารนั้นนานๆร่างกายจากที่เคยต้องการ ขอยกตัวอย่างสารอาหารคาโบไฮเดรต ร่างกายมันก็ “เอ๊ะ อะไรกันเนี่ยทำไมคาโบที่ได้ทุกวันทำไมไม่ได้หะๆๆๆ อารมเดียวกับประมานว่าทำไมเมืองขึ้นข้องข้า ไม่ยอมส่งคาโบไฮเดรตมาเป็นเครื่องบรรณาการละ 555”  เช่นนั้นร่างกายบอกกับตัวเองว่า ถ้าคิดจะไม่ใช้คาโบกับ ข้าก็จะปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของเช่นกัน นั้นคือร่างกายจะถูกปรับให้ตัดคาโบไฮเดรตนั้นออกจากการเผาพลาญหรือระบบย่อย แล้วหาสารอาหารทางเลือกสำรอง(ไขมันและมวลกล้ามมาเป็นพลังงานทางเลือกแทนก็ได้แว๊) ซึ่ง ถ้าจู่ๆเราเกิดอยากกลับมากินข้าวกินแป้งกินคาโบ เข้าไป สิ่งที่จะเกิดคือการที่ร่างกายปฏิเสธที่จะเผาพลาญหรือย่อย เพราะมันจะเกิดความจำเสื่อม ว่าเอ๊ะนั้นคืออะไร ร่างกายขอความจำเสื่อมชั่วคราว ร่างกายจำวิธีย่อยคาโบและการเอามาใช้ไม่ได้ แล้วแป้งในท้องนั้นละ? มันก็ค้างเต๋อ ทำให้เกิดสะสม(และเริ่มเปลี่ยนเป็นพลังงานสำรอง(ไขมัน))แล้วเกิด โย่โย่เอฟเฟค อีกตามเคย กว่าจะหายอันนี้นานจริงอะไรจริง
>>>‪#‎ซึ่งถ้าจะยกตัวอย่างให้เข้าใจเช่น‬ สมหมี ตัดสินที่จะลดน้ำหนักโดยการ ตัดคาโบไฮเดรต ออกจากร่างกายซึ่งงดแป้งงดอาหารที่มีคาโบออกหมด แรกๆสมหมี ไม่มีแรงเวียนหัว เหมือนจะตายแต่ผ่านไป สัก 10 วันสมหมีก็มีอาการปกติ มีแรง ถึงแม้จะไม่ได้กินคาโบไฮเดรต “ก็แหง๋ละ มีพลังงานสำรองเยอะแยะ(ไขมัน)”  เนื่องจากภาวะที่ร่างกายปรับตัว เพื่อให้อยู่รอด จึงทำให้ ร่างกายตัดมันซะเลย ซึ่งผ่านมา 3 เดือน สมหมีมีรูปร่างสวยพอใจแล้ว อยากกลับไปกิน คาโบไฮเดรต พอได้กินร่างกายก็ตกใจเลยว่า “เฮ้ย คาโบมันคืออะไรมันมาได้ไงคุ้นๆเนอะ(แฟนเก่าป่าวเนี่ย)555” แล้วร่างกายก็เกิดปฏิกริยาปฏิเสธที่จะเผาพลาญเพราะลืมกระบวนการเอาไปใช้ แล้วเมื่อร่างกายปฏิเสธขึ้นมาทำให้มันคงค้างอยู่ภายใน สะสมไปเรื่อยๆเป็นไขมันจนเกินภาวะ โย่โย่ เอฟเฟค สำหรับผมกว่าจะง้อร่างกายสำเร็จ ก็โดนไปหลายโลอยู่ก็(ร้อยต้นๆแหละ) กว่าร่างกายจะยอมคืนดีกับคาโบ แล้วให้ไขมันเป็นตัวสำรองต่อไป 555555
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่