การบรรลุธรรมจิตต้องตกศูนย์ หรือก้าวลงสู่ความว่าง คือ สุญตา ก่อนจึงบรรลุ
การบรรลุธรรม ไม่ใช่เรื่องของสมอง ไม่ใช่เรื่องของการอ่านจำนึกคิด แต่เป็นเรื่องของจิต จิตของผู้บรรลุธรรมได้ จำต้องเข้าสู่ภาวะ “ตกศูนย์” หรือที่เรียกว่า “สุญตา” หรือในวิชชาธรรมกาย คือ เข้าสู่กลางในกลาง กายในกาย ไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดแห่งกายไม่มีกายอื่นละเอียดยิ่งกว่า คือ ธรรมกาย หากดูจิตแบบสติปัฏฐาน คือ จิตใจจิตที่ลึกที่สุด ในทางอรูปฌาน คือ ภาวะฌานสี่ นั่นคือ ภาวะจิตตกศูนย์ คือ เข้าสู่จิตเดิมแท้ คือ ความว่างเปล่า ความเป็น จิตพุทธะ ความไม่มีอะไรจะยึด ความไม่มีกิเลส ความไม่ต้องการโหยหา ซึ่งภาวะจิตตกศูนย์นี้มีอยู่บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน แต่เราก็ไม่ทันบรรลุธรรม เพราะ “ใจ” ไม่ได้พิจารณา “ไตรลักษณ์” ได้ทัน เราเรียกภาวะนี้ว่า “ตทังคนิพพาน” คือ ความว่างสิ้นไป สูญไปแห่งกิเลสชั่วคราว ไม่ได้ถาวรตลอดไป หรือที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า เราได้เคยลงไปอาบในพระนิพพานแล้วขึ้นมา แต่ไม่ทันได้ลงไปทั้งตัวนั่นแหละ ในเซน จะใช้โอกาสการทำงานในชีวิตประจำวัน คอยสังเกตเวลาจิตตกศูนย์ หรือภาวะสุญตา และใช้สติปัญญาพิจารณาไตรลักษณ์ในขณะนั้นทันที ก็จะ “บรรลุฉับพลัน” ได้เช่นกัน ซึ่งก็คือรอคอยจังหวะ “ตทังคนิพพาน” และ “ภาวะหลังออกจากฌานสี่สู่ฌานสาม” ก็ได้
ขณะจิตตกศูนย์ จิตต้องดำดิ่งลึก หรือลงสู่กลางกายในกายที่ลึกที่สุด (ตามหลักวิชชาธรรมกาย) หรือเข้าฌานลึกที่สุด (ฌานสี่) หรือ เข้าสู่ความว่างเปล่าอย่างแท้จริง หรืออยู่ภาวะไม่เหลือ “รูปนาม” คือ “รูปนาม” ดับไปหมด (ตามหลักสติปัฏฐานสี่) ภาวะเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องบ่งชี้บอกว่า “จิตตกสู่ศูนย์กลางดิ่งลึกแล้ว” หากใจมี “สติ” ก็จะป้อนข้อมูล “ไตรลักษณ์” ให้กับจิต จิตรับข้อมูลไตรลักษณ์ เห็นสรรพสิ่งอนิจจัง คลายการยึดทั้งปวง จิตก็เข้าสู่ “การบรรลุธรรม” แต่หากไม่เห็นไตรลักษณ์ “ขณะจิตตกศูนย์” ก็ไม่อาจบรรลุธรรม เหมือนคนที่ได้ธรรมกายแล้ว ก็ถือว่าจิตละเอียดมากแล้ว ดิ่งลงสู่ภาวะจิตตกศูนย์ได้ แต่ไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณาไตรลักษณ์ ก็ไม่บรรลุธรรม เป็นเพียงการบรรลุเจโตวิมุติ คือ ขั้นสูงสุดของสมถกรรมฐาน ที่ข่มกำราบกิเลสได้หมด แต่ไม่แจ้งในนิพพาน คือ ไม่อาจทำนิพพานให้แจ้งได้ ดังนี้ ไม่ว่าเดินมรรคในวิชชาใดๆ ก็ตาม หากเข้าสู่ความละเอียดที่สุด หรือสูงสุดแห่งวิชชาสมถะสายนั้นๆ แล้ว ให้รีบใช้ “สติปัญญา” พิจารณา “ไตรลักษณ์” ทันที ก็จะบรรลุธรรมได้ ทั้งนี้ สายวิปัสสนาก็บรรลุได้เช่นกัน
บุคคลจะบรรลุธรรมได้ ไม่ใช่การอ่านเอา การจำได้ การหมายรู้ การนึกคิด หรือการทำความเข้าใจ บุคคลนั้น พึงต้องเข้าสู่ “ภาวะจิตตกศูนย์” และได้ “พิจารณาไตรลักษณ์” ทันที จึงจะเกิดภาวะ “ทำนิพพานให้แจ้ง” ได้ นั่นคือ การบรรลุธรรมโดยแท้จริง บุคคลนั้น จะสัมผัสพระนิพพาน และอธิบายได้ในแบบของตน ที่เรียกว่า “ปัจตัง” คำว่า “ปัจตัง” นี้ ไม่ได้แปลว่า “ฉันรู้ของฉันคนเดียวคนอื่นเขาไม่รู้ด้วย” นั่นเรียกว่า “ความหลงในตนแต่ผู้เดียว” แต่ “ปัจตัง” นี้หมายถึง รู้เฉพาะตน และผู้ที่รู้เทียบเท่าตนจะสามารถตรวจสอบและเข้าใจได้เช่นตน ดังนี้ หากพระอรหันต์รูปหนึ่งได้รับการทดสอบ แล้วกล่าวอะไรที่เป็นปัจตังขึ้นมา พระอรหันต์อีกรูปหนึ่งจะเข้าใจปัจตังนั้นได้ทันทีโดยง่าย แต่หากพระอรหันต์ที่ทดสอบ เห็นว่า “รู้คนเดียว ยึดคนเดียว เพี้ยนคนเดียว” เมื่อไร สิ่งนั้น ก็ไม่เรียกว่า “ความรู้เฉพาะตน” แต่เป็นเพียง “ความหลงเฉพาะตน” ดังนี้ ปัจตัง ต้องเป็นความรู้ ไม่ใช่ความหลง และเมื่อรู้ธรรม มีดวงตาเห็นธรรม ต้องไม่ลืมว่า “ธรรมนั้นเป็นสากล” ผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วทั้งหลายย่อมรู้ได้เหมือนกัน จึงไม่ได้แปลว่าปัจตังนั้น จะไม่มีใครรู้เหมือนเราเลย มีผู้รู้ปัจตังของเรา และตรวจสอบเราได้เสมอว่าเรารู้จริง โดยพระอรหันต์ด้วยกันซึ่งบรรลุธรรมระดับเดียวกันนั่นเอง ดังนี้ จึงเรียกว่า “ปัจตัง” ไม่ใช่ “อวิชชา” ซึ่งหลายท่าน ได้เกิด “อวิชชา” คือ “ความหลงเฉพาะตน หรือ หลงในตัวตนของตน หลงในความคิดตน” ขึ้น และอ้างว่า เป็นความรู้เฉพาะตน เป็นปัจตัง ทั้งนี้ขอให้เข้าใจด้วยว่า “ปัจตัง” นั้น “เป็นความรู้ ไม่ใช่ความหลง” และ “เป็นสากลที่ผู้บรรลุด้วยกันจะตรวจสอบได้” มิใช่ “ความหลงเฉพาะตนคนเดียว” แต่วิธีการอธิบายนั้น ตนย่อมเข้าใจด้วยตนเอง ใช้ภาษาในแบบของตนเอง จึงมี “เอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง”
การบรรลุธรรม ในนิกายต่างๆ อิอิ!!!
การบรรลุธรรม ไม่ใช่เรื่องของสมอง ไม่ใช่เรื่องของการอ่านจำนึกคิด แต่เป็นเรื่องของจิต จิตของผู้บรรลุธรรมได้ จำต้องเข้าสู่ภาวะ “ตกศูนย์” หรือที่เรียกว่า “สุญตา” หรือในวิชชาธรรมกาย คือ เข้าสู่กลางในกลาง กายในกาย ไปเรื่อยๆ จนถึงที่สุดแห่งกายไม่มีกายอื่นละเอียดยิ่งกว่า คือ ธรรมกาย หากดูจิตแบบสติปัฏฐาน คือ จิตใจจิตที่ลึกที่สุด ในทางอรูปฌาน คือ ภาวะฌานสี่ นั่นคือ ภาวะจิตตกศูนย์ คือ เข้าสู่จิตเดิมแท้ คือ ความว่างเปล่า ความเป็น จิตพุทธะ ความไม่มีอะไรจะยึด ความไม่มีกิเลส ความไม่ต้องการโหยหา ซึ่งภาวะจิตตกศูนย์นี้มีอยู่บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน แต่เราก็ไม่ทันบรรลุธรรม เพราะ “ใจ” ไม่ได้พิจารณา “ไตรลักษณ์” ได้ทัน เราเรียกภาวะนี้ว่า “ตทังคนิพพาน” คือ ความว่างสิ้นไป สูญไปแห่งกิเลสชั่วคราว ไม่ได้ถาวรตลอดไป หรือที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า เราได้เคยลงไปอาบในพระนิพพานแล้วขึ้นมา แต่ไม่ทันได้ลงไปทั้งตัวนั่นแหละ ในเซน จะใช้โอกาสการทำงานในชีวิตประจำวัน คอยสังเกตเวลาจิตตกศูนย์ หรือภาวะสุญตา และใช้สติปัญญาพิจารณาไตรลักษณ์ในขณะนั้นทันที ก็จะ “บรรลุฉับพลัน” ได้เช่นกัน ซึ่งก็คือรอคอยจังหวะ “ตทังคนิพพาน” และ “ภาวะหลังออกจากฌานสี่สู่ฌานสาม” ก็ได้
ขณะจิตตกศูนย์ จิตต้องดำดิ่งลึก หรือลงสู่กลางกายในกายที่ลึกที่สุด (ตามหลักวิชชาธรรมกาย) หรือเข้าฌานลึกที่สุด (ฌานสี่) หรือ เข้าสู่ความว่างเปล่าอย่างแท้จริง หรืออยู่ภาวะไม่เหลือ “รูปนาม” คือ “รูปนาม” ดับไปหมด (ตามหลักสติปัฏฐานสี่) ภาวะเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องบ่งชี้บอกว่า “จิตตกสู่ศูนย์กลางดิ่งลึกแล้ว” หากใจมี “สติ” ก็จะป้อนข้อมูล “ไตรลักษณ์” ให้กับจิต จิตรับข้อมูลไตรลักษณ์ เห็นสรรพสิ่งอนิจจัง คลายการยึดทั้งปวง จิตก็เข้าสู่ “การบรรลุธรรม” แต่หากไม่เห็นไตรลักษณ์ “ขณะจิตตกศูนย์” ก็ไม่อาจบรรลุธรรม เหมือนคนที่ได้ธรรมกายแล้ว ก็ถือว่าจิตละเอียดมากแล้ว ดิ่งลงสู่ภาวะจิตตกศูนย์ได้ แต่ไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณาไตรลักษณ์ ก็ไม่บรรลุธรรม เป็นเพียงการบรรลุเจโตวิมุติ คือ ขั้นสูงสุดของสมถกรรมฐาน ที่ข่มกำราบกิเลสได้หมด แต่ไม่แจ้งในนิพพาน คือ ไม่อาจทำนิพพานให้แจ้งได้ ดังนี้ ไม่ว่าเดินมรรคในวิชชาใดๆ ก็ตาม หากเข้าสู่ความละเอียดที่สุด หรือสูงสุดแห่งวิชชาสมถะสายนั้นๆ แล้ว ให้รีบใช้ “สติปัญญา” พิจารณา “ไตรลักษณ์” ทันที ก็จะบรรลุธรรมได้ ทั้งนี้ สายวิปัสสนาก็บรรลุได้เช่นกัน
บุคคลจะบรรลุธรรมได้ ไม่ใช่การอ่านเอา การจำได้ การหมายรู้ การนึกคิด หรือการทำความเข้าใจ บุคคลนั้น พึงต้องเข้าสู่ “ภาวะจิตตกศูนย์” และได้ “พิจารณาไตรลักษณ์” ทันที จึงจะเกิดภาวะ “ทำนิพพานให้แจ้ง” ได้ นั่นคือ การบรรลุธรรมโดยแท้จริง บุคคลนั้น จะสัมผัสพระนิพพาน และอธิบายได้ในแบบของตน ที่เรียกว่า “ปัจตัง” คำว่า “ปัจตัง” นี้ ไม่ได้แปลว่า “ฉันรู้ของฉันคนเดียวคนอื่นเขาไม่รู้ด้วย” นั่นเรียกว่า “ความหลงในตนแต่ผู้เดียว” แต่ “ปัจตัง” นี้หมายถึง รู้เฉพาะตน และผู้ที่รู้เทียบเท่าตนจะสามารถตรวจสอบและเข้าใจได้เช่นตน ดังนี้ หากพระอรหันต์รูปหนึ่งได้รับการทดสอบ แล้วกล่าวอะไรที่เป็นปัจตังขึ้นมา พระอรหันต์อีกรูปหนึ่งจะเข้าใจปัจตังนั้นได้ทันทีโดยง่าย แต่หากพระอรหันต์ที่ทดสอบ เห็นว่า “รู้คนเดียว ยึดคนเดียว เพี้ยนคนเดียว” เมื่อไร สิ่งนั้น ก็ไม่เรียกว่า “ความรู้เฉพาะตน” แต่เป็นเพียง “ความหลงเฉพาะตน” ดังนี้ ปัจตัง ต้องเป็นความรู้ ไม่ใช่ความหลง และเมื่อรู้ธรรม มีดวงตาเห็นธรรม ต้องไม่ลืมว่า “ธรรมนั้นเป็นสากล” ผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วทั้งหลายย่อมรู้ได้เหมือนกัน จึงไม่ได้แปลว่าปัจตังนั้น จะไม่มีใครรู้เหมือนเราเลย มีผู้รู้ปัจตังของเรา และตรวจสอบเราได้เสมอว่าเรารู้จริง โดยพระอรหันต์ด้วยกันซึ่งบรรลุธรรมระดับเดียวกันนั่นเอง ดังนี้ จึงเรียกว่า “ปัจตัง” ไม่ใช่ “อวิชชา” ซึ่งหลายท่าน ได้เกิด “อวิชชา” คือ “ความหลงเฉพาะตน หรือ หลงในตัวตนของตน หลงในความคิดตน” ขึ้น และอ้างว่า เป็นความรู้เฉพาะตน เป็นปัจตัง ทั้งนี้ขอให้เข้าใจด้วยว่า “ปัจตัง” นั้น “เป็นความรู้ ไม่ใช่ความหลง” และ “เป็นสากลที่ผู้บรรลุด้วยกันจะตรวจสอบได้” มิใช่ “ความหลงเฉพาะตนคนเดียว” แต่วิธีการอธิบายนั้น ตนย่อมเข้าใจด้วยตนเอง ใช้ภาษาในแบบของตนเอง จึงมี “เอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง”