ตัวคนเดียวแบกเป้ลุยเดี่ยว เนเธอร์แลนด์-สวิส-อิตาลี "อิตาลี วันที่3“ “ปิซ่า ในวันฝนพรำ และสวัสดีกรุงโรม”

http://pantip.com/topic/34338921  ตอนที่1 วีซ่าและการเดินทาง
http://pantip.com/topic/34353426  ตอนที่2 เนเธอร์แลนด์วันที่1
http://pantip.com/topic/34355076  ตอนที่3 เนเธอร์แลนด์วันที่2
http://pantip.com/topic/34364373  ตอนที่4 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva"
http://pantip.com/topic/34385053  ตอนที่5 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่1 "Geneva" - 2
http://pantip.com/topic/34390037  ตอนที่6 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "Lausanne - Vevey"
http://pantip.com/topic/34406378  ตอนที่7 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่2 "มาถึงแล้วนะ อินเทอลาเค่น"
http://pantip.com/topic/34435175  ตอนที่8 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่3 "อินเทอลาเค่น สวรรค์บนโลก"
http://pantip.com/topic/34476354  ตอนที่9 สวิสเซอร์แลนด์ วันที่4 "ท่องสวิสวันสุดท้าย เจอกันอิตาลี"
http://pantip.com/topic/34601851  ตอนที่10 อิตาลี วันที่1 "เวนิส เมืองโรแมนติกของฉัน"
http://pantip.com/topic/34767952  ตอนที่11 อิตาลี วันที่2“ “ฟลอเรนซ์ เมื่อฉันตกหลุมรักอีกครั้ง”

เพื่อนๆสามารถติดตามทริปต่างๆที่จะเกิดขึ้นของผมแบบ Realtime ได้ที่เฟซเพจได้นะครับ เพราะผมจะมีทริปเล็กๆน้อยๆอยู่เรื่อยๆ
จะได้ติดตามข้อมูลและลุ้นไปด้วยกันที่
http://www.facebook.com/Backpacker.Pu

เมื่อคืนผมเดินเที่ยวไม่ดึกเท่าไหร่นักเพราะวางแผนจะออกจากฟลอเรนซ์เช้าตรู่ แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะครับเมื่อร่างกายผมเริ่มจะไม่สมบูรณ์ซะแล้ว เท้าที่ใส่คอนเวิร์สหุ้มข้อเดินตลอดทริป ตอนนี้ก็กำลังเริ่มบวมแล้ว จะลุกขึ้นเดินทีนึงก็สะท้านซะเหลือเกิน   หลังที่แบกกระเป๋าใบใหญ่สิบกว่ากิโลทุกๆวัน เดินล่องลอยไปตามอารมณ์เรื่อยๆ บางวันก็วิ่งเพื่อให้ทันเที่ยวรถไฟ ตอนนี้สภาพหลังก็เริ่มยอกบ้างแล้วล่ะครับ เริ่มมีอาการปวดเวลาก้ม เริ่มปวดแล้วดึงกันทั่วทั้งหลังทั้งแขนทั้งเอวกันเลยทีเดียว   แต่จะให้ผมหยุดเดินทริปต่อแล้วเอาเวลามานอนโอดครวญในห้องพักซักแห่งในอิตาลีเพื่อรอวันกลับก็ใช่เรื่อง  
เช้านี้ผมตื่นสายเล็กน้อยตามความล้าของร่างกาย ในขณะที่เพื่อนร่วมห้องผมทั้งสองยังคงนอนอยู่   ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำและรีบมาเก็บของยัดลงกระเป๋าใบใหญ่ใบเก่งของผม

ถือกุญแจไปยังเคาร์เตอร์เพื่อ Check out และตรงดิ่งไปยังสถานีรถไฟฟลอเรนซ์(Florence) ผมเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งตามสัญญาณไฟเพื่อเข้าไปภายในสถานี


เช็คตารางเที่ยวรถซะหน่อยครับ



ภายในสถานีครับ


วันนี้ผู้คนค่อนข้างจะหนาแน่นเลยล่ะครับ อาจจะเพราะเป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ เอ๊ะ!หรือจะไม่เกี่ยวกัน   ผมมีอีกวิธีที่จะเช็คว่ารถไฟขบวนไหนจะต้องจองค่าจองที่นั่งหรือไม่ ด้วยวิธีที่พึ่งคิดออกได้ไม่นานนี่แหละครับ ผมเดินเข้าไปที่ตู้ขายตั๋วอัตโนมัติและกดสถานีที่ผมจะไป ถ้าต้องจองที่นั่งแล้วหน้าจอจะปรากฎให้เราเลือกที่นั่ง แต่ถ้าไม่มีให้เลือกแสดงว่าไม่ต้องเสียครับ555 ผมว่าวิธีนี้เป็นวิธีเบื้องต้นที่จะเช็คสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เตรียมตัวแบบผมนี่แหละครับ แต่ถ้าไม่อยากเครียดหรือเป็นกังวลก็แนะนำให้ศึกษาข้อมูลไว้เนิ่นๆครับ แต่ผมก็ชอบวิธีนี้เหมือนกันแหละ เพราะรู้สึกว่ามันมีรสชาติดีพลุโอ่งพลุโอ่ง


      ผมนั่งวางกระเป๋าพิงผนังและนั่งลงกับพื้นเบาๆเพราะเที่ยวที่ผมจะใช้เดินทางไป Pisa นั้นะมีอีกกว่า2ชั่วโมงแหนะ อากาศก็เย็นๆครับ งานอดิเรกสำหรับคนโสดอย่างผมที่ทำได้ดีที่สุดก็คือ การนั่งเหล่สาวๆอิตาลี สาวจีน สาวเกาหลี นี่แหละครับ5555 (แต่ตอนเขียนนี่ไม่โสดแล้วนะครับ อาการเหล่ก็ลดลงเกือบหมดแล้วด้วย555) ผมนั่งดูบรรยากาศรอบข้าง นั่งซึมซับกับที่ที่ผมเคยอยากจะมา นั่งซึมซับกับที่ที่ผมไม่เคยมา ที่ที่ผมคิดว่ามันจะเป็นแค่ความฝัน จนผมเริ่มจะเบื่อกับการรอคอย
และในที่สุดรถไฟที่ผมจะโดยสารก็พร้อมแล้วล่ะครับ ผมเดินไป Validate ตั๋วที่ติดไว้ตามเสาแล้วแบกกระเป๋าเดินไปยังชานชาลาและก้าวขึ้นไปนั่งแบบโล่งๆบนรถไฟ

ผมเริ่มจะอาลัยกับการจากลาอีกครั้งแล้วล่ะครับ ผมเริ่มจะคิดถึงที่ที่ผมกำลังจะจากไปซะแล้วสิ เม่าเหม่อ


ออกเดินทางกันเร้วววว


      รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาเมืองฟลอเรนซ์ มุ่งหน้าสู่เมืองปิซ่า วันนี้คนไม่ค่อยเยอะครับผมเลยได้นั่งคนเดียว เช่นเคยครับ ผมนั่งข้างหน้าต่างมองซ้ายมองขวาไปเรื่อยๆซึมซับบรรยากาศไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เริ่มออกจากสถานีก็มีฝนโปรยลงมาเบาๆ มองไปข้างหน้าก็เห็นกลุ่มเมฆสีเทาเข้มที่บ่งบอกผมว่า “วันนี้เตรียมตัวเปียกได้ละเอ็ง”


      รถไฟวิ่งช้าๆเข้าเทียบชานชาลาเมืองปิซ่า ผมรีบขึ้นกระเป๋าแล้วเดินต่อแถวไปยังประตูทางออก ก้าวขาลงจากขบวนรถไฟ(ลืมไปแล้วว่าขาไหนก่อน5555) “ฝนตกครับ!!!!”


      ผมเดินเข้าไปภายในอาคารของสถานีเพื่อหลบฝน และนิ่งๆอยู่พักใหญ่ก่อนตัดสินใจเดินฝ่ากลุ่มฝนที่กำลังตกลงมาไปอีกอาคารที่อยู่ใกล้ๆ วันนี้มีตลาดนัดด้วยแฮะ5555 จริงๆจะเป็นเหมือนบู๊ทขายของอ่ะครับ มีร้านขายอาหารเยอะพอสมควร แต่ผมก็คงกินกับเขาไม่เป็นหรอก ภายในอาคารจะมีร้านกาแฟเล็กๆอยู่ร้านนึง มีโดนัท มีเบเกอร์รี่ขาย   ผมจึงเดินเข้าไปแล้ววางเป้ใบใหญ่ลงจากบ่า เมนูแรกของวันผมเลยเริ่มที่ช็อคโกแลตร้อนๆกับโดนัทอีก2อัน เป็นมื้ออาหารที่ง่ายๆครับ ราคาราวๆ5ยูโร

      หลังจากนั่งเอื่อยๆให้ฝนซาๆลง ตอนนี้ก็ได้เวลาที่ผมจะต้องลุกขึ้นเดินต่อแล้วล่ะครับ โดยใช้แผนที่แบบออฟไลน์ที่ผมโหลดไว้ก่อนแล้วมาเปิดดูที่ที่ผมจะมุ่งหน้าไป

      ผมออกจากร้านกาแฟและมุ่งหน้าไปตามที่แผนที่บอก เพื่อไปยังหอเอนปิซ่าครับ  ระหว่างทางก็พบกับนักเรียนของที่นี่เดินสวนไปมามากมาย การแต่งตัวหรือสไตล์ของแต่ละคนละคนก็แตกต่างกันออกไป  ผมเริ่มมีความสุขกับสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า ลักษณะของผู้คน แต่...เดี๋ยวก่อนๆ!!! ผมเริ่มจะชุ่มไปทั้งตัวแล้วล่ะสิ  ผมเดินแวะเข้าหลบฝนที่ใต้อาคารหลังหนึ่งแล้วหยิบเอาหมวกไหมพรมออกมาใส่กันฝน ก็ช่วยได้ในระดับนึงแหละครับเพราะผมจะมาเสียเวลากับการหลบฝนต่อไปไม่ได้แล้วเพราะช่วงบ่ายแก่ๆผมต้องรีบไปขึ้นรถไฟเพื่อเดินทางไปยังกรุงโรมต่อ ผมต้องไปค้างคืนที่นั่นครับ

      หลังจากเดินตามแผนที่มาเรื่อยๆ ตอนนี้ผมต้องลดความเร็วของเท้าลงเมื่อได้พบกับสิ่งปลูกสร้างที่ทำเอาน้ำตาแทบไหล “หอเอนปิซ่า” หอเอนในหนังเรื่อง หนีตามกาลิเลโอ ที่ทำฉันนั่งน้ำตาซึม ตอนนี้มาอยู่ต่อหน้าฉันแล้ว เจ้าเริงร่า


ว้าววววว หอเอนปิซ่า



      ผมเริ่มหยิบกล้องออกมาจากกระเป๋า ซึ่งเป็นครั้งแรกของวันที่ได้หยิบมันเพราะกลัวกล้องโดนฝน และกล้องตัวนี้ซื้อมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
ผมเริ่มบรรจงหามุมดีๆแล้วแชะทีละภาพอย่างมืออาชีพ แต่เปล่าเลย...ผมพึ่งเคยจับกล้อง DSLR และไม่เคยถ่ายรูปมาก่อนเลยครับ55555
การถ่ายภาพค่อนข้างจะยากครับเพราะภาพที่ผมจินตนาการไว้ก็มีแต่หอเอนกับสิ่งปลูกสร้างข้างๆ แต่ภาพที่ผมเจอจริงๆกลับมีผู้คนจำนวนไม่น้อยในบริเวณนี้ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมาไม่ค่อยตรงกับความต้องการซักเท่าไหร่ จึงทำให้ผมเก็บกล้องและเดินหามุมดีๆเพ่งมองไปหาสิ่งนั้นแทน ผมว่ารูปภาพสามารถเก็บความทรงจำของเราได้ครับ แต่ในระดับนึง
แต่ผมเชื่อว่ารูปภาพไม่สามารถเก็บรายละเอียดทุกอย่างได้ทั้งหมด ผมจึงเลือกที่จะวางกล้องและใช้สายตาเก็บรายละเอียดสิ่งที่เห็บเบื้องหน้าไปอย่างช้าๆ


Baptistery



Duomo


      ครั้งนี้ผมไม่ได้ขึ้นไปบนหอเอนหรอกนะครับเพราะคนต่อแถวรอซื้อตั๋วซะยาวเหยียดขนาดนั้น ผมเลือกที่จะเดินผ่านเข้าไปใกล้ๆฐานของหอเอนและวิเคราะห์ถึงโครงสร้างของมันว่าทำไมมันถึงไม่ล้มคลืนลง ก็ผมเป็นวิศวกรโยธานี่นา ก็สงสัยเป็นธรรมดาแหละ  ผมเดินฝ่าผู้คนที่เริ่มจะเยอะขึ้นเพราะตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว เพื่อไปดูสิ่งปลูกสร้างที่อยู่รอบๆ ไม่ว่าจะเป็น Baptistery และมหาวิหาร หรือ Duomo นั่นเอง

      ด้วยระยะเวลาที่ผมจัดทริปอันน้อยนิดที่ปิซ่า ทำให้ผมรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เข้าชมสถานที่เหล่านี้ ส่วนมหาวิหารก็กำลังดำเนินการซ่อมแซมอยู่  ผมเดินเก็บภาพและชื่นชมความงามอยู่พักใหญ่ๆก็ถึงเวลาที่ผมต้องเดินกลับไปสถานีรถไฟแล้วล่ะครับ ยอมรับตรงนี้เลยว่าผมรู้สึกทรมารมากๆกับอาการปวดเท้าปวดน่องขา เพราะผมเดินมากมายจริงๆตั้งแต่เริ่มทริปมา เท้าผมเริ่มพังมาซักพักแล้วเหมือนกัน









มาดูมุมนี้กัน



นี่อีกมุมครับ





      ผมหันหลังให้หอเอนและเหล่าอาคารโดยรอบอย่างอาลัยอาวรมุ่งหน้ากลับสถานี ในใจก็คิดอยากจะขึ้นรถเมล์อยู่หรอกแต่กลัวขึ้นไม่เป็นเลยใช้เรื่องทิวทัศน์ระหว่างทางมาเป็นข้ออ้างให้ตัวเองเดิน วิวตอนกลับก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายครับเพราะผมเริ่มจะล้ากับเท้าและเป้ใบใหญ่ที่อยู่บนหลัง ในที่สุดผมก็ทุลักทุเลมาจนถึงสถานีรถไฟครับ นั่งรอรถไฟเพื่อจะเดินทางต่อไปยังกรุงโรม เมื่อก้าวขาขึ้นรถและเดินหาที่นั่งได้แล้วผมก็รู้สึกสบายและผ่อนคลายเลยทีเดียว ถือโอกาสได้พักร่างกายตัวเองไปในตัว



เอ่ออออ ไปทางไหนดี



เคว้งจังแฮะ



ถ่ายรูปแป๊บนะ



โหหหหห ขอยืนสูดหายใจแรงๆหน่อยละกัน



      รถไฟใช้เวลาเดินทางจากปิซ่าถึงกรุงโรม ประมาณ3ชั่วโมงเศษๆเห็นจะได้ ที่นี่สถานีใหญ่ใช้ได้เลยแหละครับ ผู้คนก็เยอะแยะไปหมด ทั้งนักเดินทางเดี่ยวแบบผม หรือนักเดินทางเป็นกลุ่มผมต้องรีบหาทางไปเช็คอินที่โฮสเตลที่ผมผมได้จองไว้ก่อนหน้า เดี๋ยวจะวางกระเป๋าแล้วเดินตัวปลิวลงมาหาอะไรกินซักหน่อย แล้วผมจะรีบกลับมารีวิวกรุงโรมต่อ
แต่เดี๋ยวนะ..เหมือนผมจะลืมอะไรไป

“สวัสดีนะกรุงโรม”
เพี้ยนชนะเลิศเพี้ยนฝันดี


สวัสดีกรุงโรมฮะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่