ส่อง‘บุญชัย-เรืองไกร’ในคดีธัมมชโย! โดย จิตกร บุษบา

ส่อง‘บุญชัย-เรืองไกร’ในคดีธัมมชโย!
ที่มา http://www.naewna.com/politic/columnist/24980

มีความเคลื่อนไหวของคน 2 คนที่น่าสนใจ ในคดีธัมมชโย นั่นคือนายบุญชัย เบญจรงคกุล กับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย

เจ้าสัวบุญชัยนั้น ออกคลิประดมคนให้เข้าปฏิบัติธรรมที่วัดพระธรรมกายให้เป็นล้าน “...สวัสดีครับ ลูกพระธรรม ลูกคุณครูแม่ใหญ่ทั่วโลกนะครับ วันนี้ผมมาเชิญชวนทุกท่านให้มาร่วมกันปฏิบัติธรรม ใจใสๆ แผ่เมตตา จากเช้านี้ผมก็เชื่อว่า ทุกท่านได้เห็น จากข่าวที่ออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมก็คิดว่า พลังที่เราจะมาร่วมกันนับล้าน เพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อแผ่เมตตา ให้กับสิ่งที่มันไม่ดี ที่จะเกิดขึ้นกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา ให้มันหายไปนะครับ

...หลวงพ่อมีความหมายต่อเรามากครับ ถ้าไม่มีหลวงพ่อก็ไม่มีเรา หลวงพ่อเปรียบประดุจเหมือนแสงสว่างให้กับชาวโลก สันติสุขของโลกจะเกิดขึ้นได้ถ้าทุกคนนั่งขัดสมาธิ แล้วก็นั่งตรึกนึกถึงศูนย์กลางกาย สิ่งเหล่านี้จะหายไปหมดเลยครับ ถ้าเกิด
มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อของเรา

...ขอเรียนเชิญทุกท่านที่นั่งดูอยู่ว่า ถ้าท่านเดินทางมาได้ เดินทางมาร่วมกันปฏิบัติธรรมกับกระผมนะครับ กับพี่น้องของเราอีกจำนวนมากนะครับ ยิ่งมากันได้ทั้งประเทศก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ดีครับ เริ่มตั้งแต่วันนี้พรุ่งนี้ มะรืนนี้ มากันให้หมดนะครับ เราไม่ต้องรอนะครับ เรื่องพวกนี้คราวนี้คงไม่ต้องรอแล้วนะครับ เรียนเชิญมาร่วมปฏิบัติธรรมครั้งใหญ่ของเรา เพื่อให้พลังแห่งสันติสุขมันเกิดขึ้น นำความสันติสุขมาสู่ประเทศไทยของเราอีกครั้งหนึ่ง

...ไอ้เรื่องที่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เป็นเรื่องที่มองข้ามไป ได้เป็นที่ประจักษ์ ให้หลวงพ่อเรา ท่านได้รับความยุติธรรม ให้พ้นมลทินจากที่ถูกใส่ร้าย อานิสงส์ผลบุญที่เรามาร่วมกันเป็นจำนวนล้านนะครับ ก็จะทำให้เราอยู่ในวงบุญของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทุกภพทุกชาติ ไปตราบจนถึงที่สุดแห่งธรรม เรียนเชิญนะครับผมจะรอคอยทุกท่านอยู่…” เสี่ยบุญชัยกล่าว

ส่วนนายเรืองไกรนั้น ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบการทำหน้าที่ของดีเอสไอ ที่ถือหมายค้นกับหมายจับเข้าไปในวัดพระธรรมกาย ทั้งๆที่สรุปสำนวนการสอบสวน ส่งให้อัยการพิจารณาแล้ว โดยความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 766/2546 ซึ่งมีความเห็นไว้ว่า “พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนเพิ่มเติมภายหลังจากที่ได้ส่งสำนวนการสอบสวนให้แก่พนักงานอัยการแล้ว เพราะพนักงานสอบสวนหมดอำนาจที่จะทำการสอบสวนคดีต่อไป”

เจ้าสัวบุญชัย เจอกับแรงต้านของสังคม ด้วยการยกเลิกบริการเครือข่ายโทรศัพท์ของ dtac ซึ่งมีคนเขียนเข้ามาถามผมในเฟซบุ๊ค ปู- จิตกร บุษบา ว่า “คุณบุญชัยเขาก็มีสิทธิจะคิดและเชื่อในหลวงพ่อของเขา ชวนเพื่อนศิษย์มานั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม ทำไมต้องไปด่าไปบอยคอตต์เขาด้วยล่ะ แค่เขาคิดให้เหมือนคุณ” ผมเลยตอบไว้เป็นข้อๆ ดังนี้

1) ในขณะที่คุณคิดว่า เจ้าสัวบุญชัยมีสิทธิจะคิดแบบนั้น ทำไมคุณไม่คิดบ้างล่ะว่า คนอื่นๆ ก็มีสิทธิจะคิดกับเจ้าสัวบุญชัยไปอีกแบบ แต่ประเด็นสำคัญ มันไม่ใช่เรื่องสิทธิ แต่เป็นเรื่องของการ “เคารพกฎหมาย” และ “ให้ความร่วมมือ” กับกระบวนการยุติธรรม ร้อยวันพันปี เจ้าสัวบุญชัยไม่เคยออกโรงชวนคนไปปฏิบัติธรรมแบบนี้ครั้งนี้เกิดคึกอะไร ออกมาชวนให้คนไปกันเป็นล้าน

2) ในฐานะของคนที่มีการศึกษา และมีฐานะชนิดไม่ต้องขอใครกินก็อยู่ได้ สังคมจึงคาดหวังกับเจ้าสัวบุญชัยว่า น่าจะเป็นหลักทาง“สติปัญญา” ให้แก่หมู่ศิษย์ที่กำลังงมงาย โป้ปด และขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง แต่เมื่อเห็นเจ้าสัวกระทำตรงกันข้าม ราวกับคนอับปัญญา เขาก็ย่อมผิดหวัง รังเกียจ และแสดงออกอะไรบางอย่างในขอบเขตที่เขาทำได้ ก็เท่านั้นเอง

3) ธัมมชโย ถูกกล่าวหาว่า “สมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร” ซึ่งลูกศิษย์บอกว่าหลวงพ่อบริสุทธิ์ เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อ ทำไมไม่เอาหลวงพ่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมล่ะ กลับระดมคนมาวัด อ้างว่ามาปฏิบัติธรรม เพื่อปัดเป่าปัญหา มลทินที่ถูกใส่ร้าย และความเข้าใจผิด ให้หลวงพ่อ ถามว่ามันถูกต้องไหม ฉลาดไหม ตรงไปตรงมาไหม

4) อ้างว่าหลวงพ่ออาพาธ ทำไมไม่เข้าโรงพยาบาล ทำไมไม่แถลงอาการอาพาธอีกเลย ใบรับรองแพทย์ที่ยื่นให้ดีเอสไอ ให้ศาล ก็เป็นใบรับรองแพทย์ที่ “ทำขึ้นเอง” โดยใช้เอกสารของทางราชการ พร้อมตราประทับ ทั้งๆ ที่คนไข้ไม่เคยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ทำไมลูกศิษย์ไม่รู้สึกอับอาย ขยะแขยง ว่าพระแก่ๆ กับหมอระดับรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล ทำไม สมคบกันออกใบรับรองแพทย์ที่ไม่ถูกต้องออกมา ศีลข้อมุสา ยังรักษาไม่ได้เลย ทำไมพวกคุณยังจะปกป้องคนแบบนี้

5) หากพวกคุณเป็นชาวพุทธ คุณควรศึกษาแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ได้เอาการนั่งสมาธิมามอมเมาคน แต่ทำสมาธิเพื่อความสงบระงับ อันจะนำไปสู่ “ความมีสติ” แล้วนำไปสู่ “ปัญญา”ไม่ใช่พากันมานั่งสมาธิ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า กำลังขัดขวางกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริง แล้วนำไปสู่ความลุ่มหลง-หลงผิด-ติดยึด ปกป้องตัวคนมากกว่าปกป้องหลักธรรมและหลักการที่ถูกต้องของบ้านเมือง

6) เมื่อนายบุญชัย ซึ่งยังนั่งในตำแหน่ง “ประธานกรรมการบริหาร” ของ dtac ทำอย่างนี้ สังคมก็ไม่ไปยุ่งกับตัวบุคคล ไม่คุกคามไม่ข่มขู่ ไม่ยิงเอ็ม 79 แต่เขาทำในสิ่งที่เรียกว่า “การลงโทษทางสังคม”คือ คิดจะย้ายค่ายโทรศัพท์มือถือกัน นั่นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของคนจ่ายเงินไม่ใช่หรือ ว่าเขาอยากจะจ่ายให้ใคร

7) มันจึงเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ที่เห็นเจ้าสัวออกมาปกป้องคนที่มีมลทิน แล้วไม่กล้าหาญที่จะยืนยันความบริสุทธิ์ตามกระบวนการขาดความสามารถที่จะแยกแยะ “ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว” วัดซึ่งล้อมลวดหนามปิดประตู เหลือทางเข้าออกอยู่เพียงรูเดียว ปากก็พูดทุกวันว่ากลัวมือที่ 3มือที่ 3 จะมาจากไหน ทุกวันนี้ หมาสักตัวจากนอกวัด จะเข้าไปในวัดยังไม่ได้เลย มีแต่พวกคุณที่แห่แหนกันเข้าไป แล้วยังปลุกระดมคนให้มารวมกันอีก มันผิดปกติวิสัยไหมล่ะ ธรรมดาที่ไหนที่มีความเสี่ยง เขาจะ“กันคนออกไป” ไม่ใช่เรียกคนเข้ามา เพื่อง่ายต่อการดูแลสถานการณ์ ยิ่งมีความเสี่ยง ยิ่งต้องให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าไปดูแล ไม่ใช้ล้อมวัดตัวเอง แน่นหนาขนาดนั้น คนเขาดูพฤติกรรมเขาก็รู้แล้วว่า ยิ้มทั้งนั้น

8) สังคมจึงมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ ในขอบเขตที่ไม่ดูหมิ่นหมิ่นประมาท หรือข่มขู่ แต่วิจารณ์ได้ว่า ในทางพุทธ สิ่งที่เจ้าสัวสะท้อนออกมา เป็นผู้มีปัญญาแล้วพุทธไหม การกระทำของเขาถูกต้องไหม การเชิญชวนของเขาสะท้อนปัญญาไหม และการปกป้องผู้ต้องหาที่มีหมายจับ ผิดทั้งกฎหมายและค่านิยมของสังคมใช่ไหม ทั้งหมดที่ว่ามา จึงนำมาสู่ปฏิกิริยาของสังคมที่มีต่อเจ้าสัวครับ!!

ส่วนเรืองไกร ซึ่งอ้างเหมือนลูกศิษย์ธรรมกาย ว่าเรื่องอยู่ชั้นอัยการแล้ว ทำไมยังบุกเข้าวัดเพื่อจะจับกุมตัวอีก ดีเอสไอก็แถลงออกมาทันควันว่า

“ตามที่ปรากฏข่าวทางสื่อสารมวลชนหลายช่องทาง กรณีมีบุคคลวิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษในการขออนุมัติศาลอาญาเข้าตรวจค้นบริเวณวัดพระธรรมกายในวันที่ 16 มิถุนายน 2559ที่ผ่านมาว่า เป็นการดำเนินการโดยมิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากคดีดังกล่าวมีการสอบสวนเสร็จสิ้นและส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการก่อนที่จะยื่นศาลเพื่อขอหมายค้น นั้น

เพื่อเป็นการอธิบายขั้นตอนการปฏิบัติงานให้สาธารณชนได้ทราบและเข้าใจ รวมทั้งป้องกันการสร้างกระแสข่าวเพื่อบิดเบือนกฎหมายและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงขอชี้แจง ดังนี้

(1) กรมสอบสวนคดีพิเศษได้สอบสวนดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจรอันสืบเนื่องมาจากคดีการทุจริตภายในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ที่เป็นคดีพิเศษไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยคดีนี้เป็นคดีพิเศษที่ 27/2559

(2) ทางการสอบสวนมีการดำเนินคดีกับพระเทพญาณมหามุนีหรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย พร้อมกับผู้ต้องหารายอื่นรวม 5 คน และพระเทพญาณมหามุนี ไม่มาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยศาลอาญาได้ออกหมายจับไว้ในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจรเพื่อให้เจ้าพนักงานจับตัวมาดำเนินคดี ต่อมาพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องพระเทพญาณมหามุนี กับพวก รวม 5 คน ในข้อหาดังกล่าว และส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2559

(3) พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีฐานะเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 โดยยังมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามหมายหรือคำสั่งศาลในการติดตามจับกุมตัวบุคคลตามหมายจับในคดีพิเศษมาดำเนินคดีตามกฎหมาย

(4) มีข้อมูลว่าพระเทพญาณมหามุนี ซึ่งเป็นบุคคลมีหมายจับอยู่ในบริเวณวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นที่ส่วนบุคคล (ที่รโหฐาน)ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 81 กำหนดว่าไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม ห้ามมิให้จับในที่รโหฐาน เว้นแต่จะได้ทำตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยการค้นในที่รโหฐาน จึงได้ยื่นคำร้องขอหมายค้นต่อศาลเพื่อจับบุคคลดังกล่าวและศาลอาญาได้ใช้ดุลยพินิจซักถามเหตุผลความจำเป็นแล้วจึงออกหมายค้นให้

กรณีดังกล่าว จึงเป็นกระบวนการตามกฎหมายทุกประการ และมิใช่กรณีไปทำการสอบสวนดังที่มีผู้วิจารณ์ อันเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็มีการปฏิบัติทำนองเดียวกันนี้ สำหรับการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับค้างเก่า จึงประชาสัมพันธ์มาเพื่อทราบโดยทั่วกัน/คณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ 20 มิถุนายน 2559”

สรุปว่า งานสอบสวนก็ทำ และส่งให้อัยการ แต่งาน “ติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับของศาล” ยังอยู่ แยกกัน ซึ่งก็ต้องทำด้วยเช่นกัน เรืองไกรจึงไม่ควร “งง” อีกต่อไป เช่นเดียวกับลูกศิษย์ธรรมกาย ซึ่งตอนดีเอสไอส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการ โวยวายราวกับแม่ชีจันทร์ไม่ช่วยปัดระเบิดให้อีกแล้ว ว่าทำไมเร่งรีบส่งสำนวนให้อัยการจัง แต่ตอนหลังกลับบอกว่า เรื่องอยู่ในชั้นอัยการแล้ว ทำไมไม่รอให้อัยการสั่งคดีออกมาเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดก่อนล่ะ

โง่จนงงคงไม่เป็นอะไร แต่อย่าทำให้คนทั่วไป งงจนโง่ตามคุณไปด้วย!!
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่