ตกลงเป็นรถยี่ห้ออะไรกันแน่ ? หน้าตาเหมือนกันแต่ทำไมแปะโลโก้คนละอย่าง

วันนี้อยากพูดถึงกลยุทธ์ทางการตลาด ที่เรียกว่า “Badge Engineering” หรืออธิบายง่ายๆว่า การเปลี่ยนโลโก้ ชื่อรุ่น เพื่อให้เข้าถึงคนท้องถิ่นมากขึ้น ถ้าพูดให้เห็นภาพมากขึ้นก็คือ รถยนต์คันนึงเนี่ย เมื่อมันถูกส่งออกหรือนำไปขายที่ประเทศต่างๆ มันอาจถูกปรับโลโก้หรือเปลี่ยนชื่อรุ่น ให้เหมาะกับประเทศนั้นๆ แล้วเดี๋ยวเราไปดูตัวอย่างกันครับ

และนี่ก็คือ Vauxhall และ Opel ในชื่อรุ่น Astra


เหตุผลที่โลโก้แตกต่างกันก็เพราะ เมื่อ Opel ถูกนำไปขายที่ประเทศอังกฤษจะเปลี่ยนเป็น Vauxhall เพื่อความคุ้นชินของคนท้องถิ่น


สามารถอ่านเหตุผลและความหมายของ “Badge Engineering”  ได้ที่นี่เลยครับ

แบบที่เปลี่ยนทั้งโลโก้และชื่อรุ่นก็มีให้เห็นเหมือนกันครับ กับ GM Global โดยแยกตลาดออกเป็น 3 ภูมิภาคอย่างชัดเจน แต่หน้าตารถยนต์ที่ขายก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยครับ


ยี่ห้อ Holden ในชื่อรุ่น Commodore ถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อจำหน่ายในตลาดออสเตรเลีย



ขยับไปตลาดอเมริกา ถูกจำหน่ายในแบรนด์ Chevrolet ในชื่อรุ่น SS โฉมฝั่งอเมริกาอาจจะมีจุดต่างนิดหน่อย แต่เป็นคันเดียวกันกับที่ขายในออสเตรเลียนี่แหละครับ



ไปกันต่อที่ตลาดยุโรป ถูกจำหน่ายภายใต้แบรนด์ Opel ในชื่อรุ่น Insignia


จุดประสงค์อะไรที่ทำให้รถยนต์ต้องเปลี่ยนโลโก้ไปตามประเทศต่างๆที่วางจำหน่าย อ่านต่อที่นี่

แบบที่ไม่ได้ขายภายใต้ชื่อแบรนด์อื่นแต่เปลี่นรูปแบบของโลโก้ก็มีครับ
AUDI ที่เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ตั้งใจที่จะปรับเปลี่ยนโลโก้ใหม่ จากรูป 4 ห่วงให้กลายเป็น คำว่า "AUDI" แบบตรงตัว เพื่อที่จะสื่อถึงความทันสมัย



แล้วเดี๋ยวผมจะยกตัวอย่าง  “Badge Engineering”  ที่เกิดขึ้นจริงในไทย เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นครับ

Toyota GR86 และ Subaru BRZ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างคลาสสิกของความร่วมมือในการพัฒนาและผลิตรถยนต์ (Joint Venture) ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือรถคู่แฝดที่ใช้กลยุทธ์ Badge Engineering



ยังมีอีกครับ ใกล้ตัวและพบเห็นในชีวิตประจำวันบ่อยที่สุดแล้ว นั่นก็คือ Isuzu D-Max และ Mazda BT-50

Isuzu D-Max และ Mazda BT-50 (รุ่นปัจจุบัน) พวกเขาก็คือ "คู่แฝดคนละโลโก้" ที่ใช้กลยุทธ์ Badge Engineering

ความเหมือนคือ ใช้ โครงสร้าง (Platform), เครื่องยนต์ (1.9L/3.0L) และ เกียร์ ของ Isuzu D-Max ในการผลิต