(วิเคราะห์+ชวนคุย) ∀ Gundam ความสวยงามที่แตกต่าง (Part 1) "เหตุใดสันติสุขจึงไม่เกิด"

สวัสดีชาวพันทิปทุกท่านนะครับผม

คนที่จำล็อกอินของผมได้ก็คงจะทราบกันนะครับ ว่าตัวผมเองนั้นเป็นแฟนคลับกันดั้มตัวยง แต่ทุกๆท่านทราบกันรึเปล่าครับว่าจริงๆแล้วนั้นความชื่นชอบในกันดั้มของผมนั้นไม่ได้เริ่มต้นขึ้นด้วยกันดั้มภาคมาตรฐานแบบที่แฟนๆหลายคนเป็นแต่อย่างใด แต่ความชอบในกันดั้มของผมนั้นเริ่มต้นขึ้นมาด้วยภาคที่มีความ “แตกต่าง” จากกันดั้มภาคอื่นๆอย่างสิ้นเชิงในหลายๆด้าน แต่ถึงแบบนั้นมันเองก็ยังสามารถที่จะรักษาเอกลักษณ์ความเป็นกันดั้มได้เป็นอย่างดี ใช่แล้วครับผมกำลังพูดถึง “เทิร์นเอ กันดั้ม” อยู่นั่นเองถึงแม้ว่าตัวผมเองนั้นจะไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าได้ว่ามันเป็น “อนิเมะที่ดีที่สุด” หรือ “กันดั้มที่ดีที่สุด” แต่ถ้าถามถึง “อนิเมะที่มีเนื้อหางดงามที่สุดในความคิดของผม” แล้วล่ะก็เรื่องนี้จะเป็น 1 ในนั้นอย่างแน่นอนครับ และวันนี้ผมจะมาแบ่งปันความสวยงามและสิ่งที่ผมได้รับจากอนิเมะเรื่องนี้ให้ทุกท่านได้ทราบผ่านทางบทความนี้กันนะครับ


ก่อนอื่นขอเกริ่นนำเนื้อเรื่องกันก่อน
เนื้อเรื่องของกันดั้มในภาคนี้นั้นเกิดขึ้นในศักราชที่ถูกเรียกว่า Correct Century (ชื่อย่อคือ C.C) เป็นศักราชในอนาคตอันไกล ที่มนุษย์ได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์สุดแสนโหดร้ายที่ได้ทำให้ สิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่และเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างยาวนานบนโลกจนแทบจะสูญสลายหายไป มนุษย์บางส่วนที่ยังสามารถปกป้องตนเองจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้บ้างได้ตัดสินใจละทิ้งโลกที่เป็นบ้านเกิด มาอาศัยอยู่ที่ดวงจันทร์ด้วยความหวังว่าซักวันนึงโลกจะฟื้นฟูเพื่อให้พวกเขาได้กลับเข้าไปอาศัยอยู่ได้อีกครั้ง ในขณะเดียวกันมนุษย์ที่เหลืออยู่บนโลกก็ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากไม่ต่างจากมนุษย์ยุคหิน

หลังจากนั้นอีกหลายพันปีมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนดวงจันทร์ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบนโลกจึงได้ทำการส่งหน่วยสำรวจมาบนโลก 3 คนประกอบด้วย “โลรัน เซเฮ็ค(Loran Cehack),คีท เลย์จิ(Keith Laijie) และ ฟราน ดอล(Fran Doll)”

(จากรูปเรียงจากซ้ายไปขวา คีท ฟราน โลรัน)

หลังจากที่นักสำรวจทั้งสามคนลงจากโมบิลสูทสำหรับฝ่าชั้นบรรยากาศทั้งสามคนก็ได้ตกตะลึงกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากบนดวงจันทร์อย่างมากไม่ว่าจะเป็น ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีที่กว้างสุดลูกหูลูกตา สภาพความเป็นอยู่ของชาวโลก บ้านเมือง สังคม ธรรมชาติ และภาพดวงอาทิตย์ขึ้นอันสุดแสนจะงดงาม
ด้วยสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่เหล่านี้องครับทำให้นักสำรวจทั้งสามคนทั้งตื่นเต้นและยินดีที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่พวกเขาไม่เคยเจอ พวกเขาจึงตัดสินใจแยกย้ายกันไปทำงานในที่ต่างๆเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบใหม่นี้ (โลรัน ทำงานเป็นคนขับรถให้กับตระกูลไฮม์ คีท ทำงานในร้านขายขนมปัง ส่วนฟราน ทำงานเป็นนักข่าว)

หลังจากนั้นราวๆ 2 ปีมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนดวงจันทร์ได้ตัดสินใจกลับลงมาบนโลก เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ได้มาอย่างสันติ แต่กลับมาพร้อมอาวุธและความตั้งใจที่จะใช้กำลังเข้าโจมตีแทน ผลพวงจากการโจมตีในครั้งนี้ได้ทำให้มีผู้บริสุทธิ์มากมายต้องตาย

แต่ผลพวงจากการโจมตีในครั้งนี้เองก็ได้สร้างปาฎิหาริย์ขึ้นเช่นกันครับ ปาฎิหาริย์ที่ว่านี้ก็คือการค้นพบโมบิลสูทที่ถูกเรียกว่า "กันดั้ม" นั่นเอง


หลังจากนั้นเรื่องราวของ “การสร้างสันติภาพ การต่อสู้ ความขัดแย้ง และความเข้าใจ” ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
(อ่านเนื้อเรื่องคร่าวๆแล้วหลายคนที่ไม่เคยดูอาจจะคิดนะครับว่า "เทิร์นเอ กันดั้มก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากกันดั้มภาคอื่นๆนี่" ถ้าท่านคิดแบบนี้อยู่และกำลังจะกดปิดระทู้ ผมก็ขอบอกก่อนว่า "ใจเย็นๆก่อนนะครับขอให้ทุกๆคนอ่านบทความของผมจนจบกระทู้ก่อนแล้วค่อยตัดสินก็ยังไม่สาย" )

สงครามในเทิร์นเอ กันดั้ม

คำกล่าวที่ว่า "ในสงครามนั้นไม่มีผิดไม่มีถูก" ดูจะสามารถเข้ากันได้ดีกับกันดั้มภาคนี้จริงๆครับ(จริงๆก็กับกันดั้มเกือบทุกภาค)เพราะในภาคนี้นั้นถึงแม้ว่าเราจะทราบกันดีว่าฝ่ายดวงจันทร์เป็นฝ่ายที่เริ่มโจมตีหรือรุกรานชาวโลกก่อนแต่เราเองก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มหรอกคำครับว่า ชาวดวงจันทร์เป็น "ตัวร้าย" เพราะถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่ามีชาวดวงจันทร์ที่ต้องการก่อสงครามกับชาวโลกจริงแต่คนพวกนี้ก็เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นเองเมื่อเราเทียบกับชาวดวงจันทร์ทั้งหมด และชาวดวงจันทร์ส่วนใหญ่นั้นก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำลายล้างก่อสงครามหรืออะไรเลย เพราะพวกเขาแค่ต้องการที่จะ "กลับมาอาศัยอยู่ยังบ้านเกิดที่สวยงามเท่านั้นเอง" ในทางกลับกันถึงชาวโลกจะเป็นฝ่ายที่ถูกโจมตีและพวกเขาก็ไม่ได้อยากรุกรานใครก่อนแต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันครับว่า "ความหัวแข็ง ใจแคบและดื้อรั้นของชาวโลกนั่นแหละที่ทำให้สงครามไม่ยอมจบ"

จากสิ่งที่ผมบอกด้านบนทุกๆท่านก็คงจะพออนุมานได้แล้วใช้ไหมครับว่าโดยเนื้อแท้จริงๆแล้วนั้นไม่ว่าฝ่ายไหนก็ไม่อยากให้มีการนองเลือดเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายจึงได้ยอมสงบศึกหรือหยุดยิงกันชั่วคราวและย้ายสังเวียนการต่อสู้จากในสนามรบ มาเป็นการต่อสู้บน "โต๊ะเจรจา" แทนโดยที่ทั้งสองฝ่ายเองก็หวังเอาใว้ว่าการเจรจากันในครั้งนี้จะสามารถแก้ใขปัญหาและความหยุ่งเหยิงที่ฝ่ายตัวเองกำลังเผชิญอยู่ได้(ฉะนั้นในเรื่องนี้ช่วงแรกๆนั้นเราจะไม่ได้เห็นฉากสงครามสเกลใหญ่ๆที่มีโมบิลสูทโผล่มาเป็นร้อยแน่นอนครับ)


แต่อย่างไรก็ตามผลจากการเจรจาในครั้งแรกนั้นบอกได้เลยครับว่า "ล้มเหลว" ส่วนสาเหตุว่าทำไมถึงได้ล้มเหลวนั้นผมกำลังจะบอกพวกคุณในหัวข้อถัดไปนี่ล่ะครับ

สาเหตุที่การเจรจาในช่วงแรกนั้นล้มเหลว

สาเหตุที่การเจรจาของทั้งสองฝ่ายนั้นล้มเหลวตัวผมเองคิดว่ามีอยู่ 3 ข้อใหญ่ๆดังนี้ครับ

1.ทั้งสองฝ่ายไม่รู้จักยอมลงให้กัน


จากการอ่านหนังสือวิชาประวัติศาสตร์ หรือวรรณคดีที่กล่าวถึงสภาวะทางการเมืองและการสงครามของแต่ละประเทศนั้นทำให้ผมได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆมากมายครับแต่เรื่องที่ผมเลือกที่จะพูดถึงในหัวข้อนี้เนื่องจากผมคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในกันดั้มภาคนี้มากก็คือเรื่องของ"การยอมให้กัน"ครับ บ่อยครั้งครับที่เราจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ว่าการยอมโอนอ่อนไปตามลม หรือ การยอมทิ้งศักศรีดิ์ และการยอมเสียเปรียบชั่วคราวนั้นอาจจะทำให้ตัวเองหรือพรรคพวกรอดพ้นจากการถูกสังหาร หรือเรื่องเลวร้ายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับพรรคพวกได้

เห็นผมเกริ่นมาซะยืดยาวขนาดนี้หลายๆท่านเองก็อาจจะเริ่มรำคาญแล้ว (ฮา) งั้นผมเข้าเรื่องเลยละกันครับว่าผมต้องการจะบอกอะไร สิ่งที่ผมต้องกาจะบอกก็คือ "บางทีถ้าฝ่ายโลกและดวงจันทร์รู้จักยอมลดทิฐิของตัวเองลงมาซักนิดนึงสงครามในช่วงหลังของเรื่องก็อาจจะไม่เกิดขึ้นหรืออย่างน้อยคงจะก็ไม่ยืดเยื้อมาขนาดนี้"

ฝ่ายโลกมัวแต่ยึดติดกับรูปแบบความคิดที่ว่า"พวกมันฆ่าคนของเรา เราต้องฆ่ามันกลับ" แม้จะเป็นรูปแบบความคิดแบบนี้ที่เราสามารถเข้าใจได้ว่าเกิดขึ้นมาเพราะอะไร แต่รูปแบบความคิดแบบนี้นั้นผมมองว่ามันไม่ควรจะมีอยู่ในหัวของชนชั้นผู้นำในสถานการณ์แบบในเรื่องนี้เลยครับเพราะเทคโนโลยีของชาวโลกในเรื่องนี้ยังอยู่ในช่วงที่กำลังฟื้นตัวจากเหตุการณ์ในอดีต(เทคโนโลยีที่พวกเขามีในตอนแรกนั้นแทบไม่ต่างจากเทคโนโลยีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 !) แต่กลับกันชาวดวงจันทร์นั้นยังคงมีเทคโนโลยีที่เหลืออยู่จากในอดีตก่อนที่โลกจะกลับสู่ยุคหิน หรือพูดง่ายๆก็คือที่ชาวโลกกำลังทำอยู่ในตอนนั้นไม่ต่างจาก"การเอาหินไปสู้กับปืน !" ฉะนั้นการมีแนวคิดแบบนี้นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์นการเจรจาแล้วยังเป็นการลากประชาชนของตัวเองเข้าสู่สงครามอีกด้วย

ส่วนฝ่ายดวงจันทร์นั้นเองก็มัวแต่คิดว่า"ชาวโลกเป็นพวกป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม "และยังคิดว่าตัวเองนั้นยังเหนือกว่าอีกฝ่ายมาโดยตลอด ทำให้ในการเจรจาครั้งแรกนั้นชาวดวงจันทร์ไม่รู้จักมองในมุมมองของชาวโลกเลยว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร และจะเกิดผลกระทบอะไรกับชาวโลกบ้างถ้าชาวดงจันทร์ย้ายถิ่นที่อยู่มาบนโลก แนวการคิดแบบนี้นั้นทำให้เกิดผลเสียอย่างมากในระยะยาวครับ เพราะในเมื่อชาวดวงจันทร์ต้องการจะเรียกร้องแต่สิทธิประโยชน์ของฝ่ายตัวเองท่าเดียวโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าชาวโลกจะเป็นยังไงแบบนี้ชาวโลกก็คงจะไม่ยอมเสียประโยชน์อยูฝ่ายเดียวหรอกครับ

2.ทั้งสองฝ่ายขาดความเข้าใจกัน

(ก่อนที่ผมจะพูดอะไรต่อเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้ผมขออนุญาต ยกประโยคเด็ดจากเรื่อง Ender's game มาให้ทุกท่านได้อ่านกันก่อนนะครับ)
"In the moment when I truly understand my enemy, understand him well enough to defeat him, then in that very moment I also love him."แปลเป็นไทยได้ว่า"เมื่อตัวผมเข้าใจศัตรูของผมได้ดีพอจนสามารถเอาชนะเขาได้ ตอนนั้นเองผมก็จะเริ่มรักพวกเขาด้วย" ประโยตนี้นั้นผมตีความหมายได้แบบนี้ครับ"เมื่อเราเข้าใจในตัวของศัตรูมากพอ เราก็จะสามารถมองเรื่องที่เกิดขึ้นในมุมมองของศัตรูใด้สามารถเข้าใจในเหตุผลและการกระทำต่างๆของพวกเขาใด้ เมื่อเราเข้าใจและยอมรับเหตุผลเหล่านั้นได้ตัวเราก็จะเริ่มรู้สึกสงสารพวกเขา และรักพวกเขาในแบบที่พวกเขารักตัวเอง"

หลายๆท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ก็คงจะเข้าใจแล้วใช่ไหมล่ะครับว่าสิ่งที่ผมเขียนเกริ่นใว้ด้านบนมันเกี่ยวกับปัญหาข้อสองนี้ยังไง ใช่แล้วละครับสิ่งที่ผมเกริ่นมาด้านบนนั่นก็คือสิ่งที่ชาวโลกและชาวดวงจันทร์ไม่ได้มีให้กันนั่นเอง และนอกจากพวกเขาจะไม่เข้าใจกันแล้วพวกเขาเองก็ยังไม่มีใครคิดที่จะมาทำความเข้าใจอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำเมื่อไม่มีใครคนไหนคิดจะทำความเข้าใจอีกฝ่ายพวกเขาก็จะไม่มีความสงสารให้กัน เมื่อพวกเขาไม่มีความสงสารหรืออะไรดีๆให้กันเลยพวกเขาก็คงไม่มีวันที่จะมีความคิดอยากอยู่ร่วมกันหรอกครับ

3.นักการเมืองที่ชื่อ เกวน ไลน์ฟอร์ด (Guin Lineford)


อย่างที่ผมบอกไปในข้อแรกสาเหตุที่ผมมองว่าทำให้ชาวโลกไม่ยอมที่จะลดทิฐิที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการเจรจาครั้งนี้ของตัวเองลงเป็นเพราะ"ความแค้นและความรักบ้านเกิด"แต่สาเหตุของเกวนนั้นจะแตกต่างจากคนอื่นครับเพราะสาเหตุของเขานั้นก็คือ"ความโลภ"ครับ ที่ตัวเขาเองเริ่มเข้าร่วมในการเจรจาครั้งนี้นั้นก็เป็นเพียงเพราะเขาต้องการเพิ่มอำนาจให้กับตัวเองโดยเอาสันติภาพมาบังหน้าเท่านั้นและความโลภของเขาก็ถูกมองออกโดยผู้บังคับบัญชาของทหารชาวโลก ทำให้กองทหารโลกเลิกหวังพึ่งการเจรจาและตัดสินใจใช้กำลังแทน

แค่นี้ทุกๆท่านก็คงจะมองออกแล้วซินะครับว่า"การเจรจาที่มีตัวแทนที่เห็นแก่ตัวนั้นไม่มีทางเลยครับที่จะทำให้เกิดสันติภาพได้"

ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรกันล่ะจึงจะมีสันติภาพ?

คำตอบของผมนั้นก็คงจะไม่ต่างกับการกลับด้านของสาเหตุด้านบนนักครับซึ่งก็คือ"ทั้งสองฝ่ายต้องการกลุ่มคนที่กล้าลดทิฐิของตนเองลงจนสามารถทำความเข้าใจอีกฝ่ายได้ และนอกจากนั้นต้องไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตน"มาเป็นตัวแทนในการเจรจาครั้งนี้ ในตอนที่ 5 ของเทิร์นเอ นั้นตัวแทนคนนี้ก็ได้ปรากฎตัวขึ้นจนได้ครับแต่น่าเสียดายที่การปรากฏตัวของเธอนั้นช้าเกินไปแล้ว เพราะตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอเหยียบเท้าลงบนพื้นโลกแผนการในการก่อสงครามของทั้งสองฝ่ายก็ได้เริ่มต้นไปเป็นที่เรียบร้อย แต่อย่างไรก็ตามตัวเธอเองก็ยังคงพยายามทำทุกๆอย่างที่ทำได้เพื่อหยุดยั้งสครามที่กำลังเกิดขึ้น แม้การกระทำบางอย่างนั้นจะได้ผลในขณะที่การกระทำอีกหลายอย่างไม่ได้ผล แต่เธอก็ยังคงทำทุกๆอย่างต่อไป จนทิฐิอันสูงลิบของทั้งสองฝ่ายเริ่มจะลดลงทีละนิดๆ นอกจากนั้นการกระทำของเธอก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนรอบตัวเธอหันมาต่อต้านสงครามด้วยเช่นกัน เธอก็คือตัวละครที่ชื่อว่า เดียน่า ซอเรียล (Diana Soreil) นั่นเอง


แต่ถ้าถามว่าแล้วตกลงการกระทำของเธอส่งผลยังไงกับตัวละครและเนื้อเรื่องโดยรวมแล้วล่ะก็ ผมคงต้องขอยกยอดไปกระทู้หน้าแล้วล่ะครับส่วนในตอนนี้ผมต้องขอตัวก่อน


ปล.ถ้าใครมีอะไรก็คุยกันได้ที่คห.ด้านล่างนะค
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่