คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
ข้อ1 เห็นด้วยครับ ควรทำ
ข้อ2 ไม่ออกความเห็น เพราะไม่รุ้ว่า รร วัดที่คุณว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เช้น เด็กย่านนั้นมียาเสพติดไหม
ข้อ3 ก็เห็นด้วยบางส่วน แต่คุณก็ควรจะเตรียมทุนให้เค้าเยอะพอสมควร เพราะการไปให้สุดเฉพาะทาง บางคนก็ประสบผลสำเร็จก็ดีไป
แต่ถ้าไม่ประสบผลสำเร็จเค้าจะทำอย่างไร เพราะความรู้และทักษะด้านอื่นด้อยกว่าคนอื่น
และที่สำคัญผมว่าคุณน่าจะมีบ้านให้เค้า รุ่นคุณอยุ่ได้บ้านพ่อแม่ แต่พอลูกคุณโต อายุของบ้านมันน่าจะทรุดโทรมมาก แล้วยุคสมัยและสิ่งแวดล้อมในวัยของคุณ กับลูกมันต่างกัน ถ้าควบคุมไม่ดีก็มีผลกับจิตใจเด็ก
แต่อย่างไรก็ขอให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่คิดครับ
ข้อ2 ไม่ออกความเห็น เพราะไม่รุ้ว่า รร วัดที่คุณว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เช้น เด็กย่านนั้นมียาเสพติดไหม
ข้อ3 ก็เห็นด้วยบางส่วน แต่คุณก็ควรจะเตรียมทุนให้เค้าเยอะพอสมควร เพราะการไปให้สุดเฉพาะทาง บางคนก็ประสบผลสำเร็จก็ดีไป
แต่ถ้าไม่ประสบผลสำเร็จเค้าจะทำอย่างไร เพราะความรู้และทักษะด้านอื่นด้อยกว่าคนอื่น
และที่สำคัญผมว่าคุณน่าจะมีบ้านให้เค้า รุ่นคุณอยุ่ได้บ้านพ่อแม่ แต่พอลูกคุณโต อายุของบ้านมันน่าจะทรุดโทรมมาก แล้วยุคสมัยและสิ่งแวดล้อมในวัยของคุณ กับลูกมันต่างกัน ถ้าควบคุมไม่ดีก็มีผลกับจิตใจเด็ก
แต่อย่างไรก็ขอให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่คิดครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
บอกตามตรง คุณเป็นคนสุดโต่งนะ ตอนนี้ยังไม่คลอด คลอดออกมาแล้วอาจะเปลี่ยนใจ บางอย่างเราเห็นด้วย บางอย่างเราว่ามันไม่โอเค แต่ทั้งนี้เคาระการตัดสินใจตคุณค่ะ เพราะเค้าคือลูกคุณไม่ใช่ลูกเรา ถามว่าประหลาดไหม ประหลาดมาก สำหรับข้อ 2 ค่ะ
ออกตัวก่อน เราเด็กกว่าคุณแค่ปีเดียวนะคะ ประสบการณ์ชีวิตก็อาจจะน้อยกว่าคุณ เพราะเราเกิดและเติบโตมาแบบที่ไม่ต้องขวนขวายอะไรมาก พ่อแม่จัดมาให้หมดแล้ว ได้เรียนโรงเรียนที่ดี แต่ว่าทำงานบ้านมาแต่เล็กค่ะ แม่ให้ทำเองหมดทุกอย่าง เราทำงานได้หมด เว้นรีดผ้า เผอิญแม่จ้างรีดผ้ามาตลอด เราเลยรีดผ้าไม่ถนัด แต่ทุกวันนี้รีดได้นะคะ แค่ไม่ชอบแค่นั้น เราเลยไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องส่งลูกเรียนวัดเพื่อที่จะซึมซับความบ้านๆให้กับลูกเท่าไหร่ เพราะอยู่ไหนก็ติดดินเหมือนกัน สังคมที่บ้านจะเป็นตัวหล่อหลอมความเป็นเรา ไม่ใช่สังคมโรงเรียนค่ะ
สำหรับเรา การเลือกโรงเรียนก็เหมือนเลือกสังคมให้กับลูก คุณอยากให้ลูกอยู่ในสังคมแบบไหนล่ะ สำหรับเรา เรายอมจ่ายแพงเพื่อให้ลูกอยู่ในสังคมที่ดี ไม่ใช่มีแต่เด็กเกเรมาพาโวย เราทนไม่ได้ที่จะให้ลูกพูดจาหยาบคาย หรือมีกิริยาอาการที่ไม่ดี อย่างน้อยขอให้ลูกที่มีพ่อแม่อยู่ในสังคมเดียวกับเราก็พอ ไม่ต้องระดับอินเตอร์ เอาแบบคนชั้นกลางนี่แหล่ะค่ะ
ส่วนข้อ 3 อยากให้คิดเผื่อว่าถ้าลูกค้นพบตัวเองไม่เจอคุณจะทำยังไง ไม่ใช่เด็กทุกคนที่ค้นพบความรักความชอบความเป็นตัวเองแต่เล็ก ถ้าเจอแต่เล็ก ถือเป็นโชคดีของเค้า สำหรับเรา เราเน้นให้ลูกเรียนพื้นฐาน ถ้าเค้าชอบอะไร เราถึงเสริมให้ เป็นความสามารถพิเศษไป อย่างน้อยก็อยากให้เค้ามีพื้นฐานต่อยอดอะไรไปในอนาคต เผื่อว่าสิ่งที่เค้าเคยชอบมันไม่ใช่แล้ว เค้าก็ยังมีทางไปในชีวิต ไม่ใช่มุ่งไปทางเดียว แต่สุดท้ายมันตัน
แนะนำทำอะไรที่มันสายกลางดีกว่าค่ะ ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปก็ไม่ดี ตอนยังไม่คลอดออกมา อาจมีอุดมคติอะไรเยอะแยะ เราก็เคยค่ะ เราจะไม่นั่นไม่นี่ จะทำแบบนั้นแบบนี้ แต่สุดท้ายแล้วบางทีมันก็ไม่ได้อย่างที่ใจเราคิด
ออกตัวก่อน เราเด็กกว่าคุณแค่ปีเดียวนะคะ ประสบการณ์ชีวิตก็อาจจะน้อยกว่าคุณ เพราะเราเกิดและเติบโตมาแบบที่ไม่ต้องขวนขวายอะไรมาก พ่อแม่จัดมาให้หมดแล้ว ได้เรียนโรงเรียนที่ดี แต่ว่าทำงานบ้านมาแต่เล็กค่ะ แม่ให้ทำเองหมดทุกอย่าง เราทำงานได้หมด เว้นรีดผ้า เผอิญแม่จ้างรีดผ้ามาตลอด เราเลยรีดผ้าไม่ถนัด แต่ทุกวันนี้รีดได้นะคะ แค่ไม่ชอบแค่นั้น เราเลยไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องส่งลูกเรียนวัดเพื่อที่จะซึมซับความบ้านๆให้กับลูกเท่าไหร่ เพราะอยู่ไหนก็ติดดินเหมือนกัน สังคมที่บ้านจะเป็นตัวหล่อหลอมความเป็นเรา ไม่ใช่สังคมโรงเรียนค่ะ
สำหรับเรา การเลือกโรงเรียนก็เหมือนเลือกสังคมให้กับลูก คุณอยากให้ลูกอยู่ในสังคมแบบไหนล่ะ สำหรับเรา เรายอมจ่ายแพงเพื่อให้ลูกอยู่ในสังคมที่ดี ไม่ใช่มีแต่เด็กเกเรมาพาโวย เราทนไม่ได้ที่จะให้ลูกพูดจาหยาบคาย หรือมีกิริยาอาการที่ไม่ดี อย่างน้อยขอให้ลูกที่มีพ่อแม่อยู่ในสังคมเดียวกับเราก็พอ ไม่ต้องระดับอินเตอร์ เอาแบบคนชั้นกลางนี่แหล่ะค่ะ
ส่วนข้อ 3 อยากให้คิดเผื่อว่าถ้าลูกค้นพบตัวเองไม่เจอคุณจะทำยังไง ไม่ใช่เด็กทุกคนที่ค้นพบความรักความชอบความเป็นตัวเองแต่เล็ก ถ้าเจอแต่เล็ก ถือเป็นโชคดีของเค้า สำหรับเรา เราเน้นให้ลูกเรียนพื้นฐาน ถ้าเค้าชอบอะไร เราถึงเสริมให้ เป็นความสามารถพิเศษไป อย่างน้อยก็อยากให้เค้ามีพื้นฐานต่อยอดอะไรไปในอนาคต เผื่อว่าสิ่งที่เค้าเคยชอบมันไม่ใช่แล้ว เค้าก็ยังมีทางไปในชีวิต ไม่ใช่มุ่งไปทางเดียว แต่สุดท้ายมันตัน
แนะนำทำอะไรที่มันสายกลางดีกว่าค่ะ ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปก็ไม่ดี ตอนยังไม่คลอดออกมา อาจมีอุดมคติอะไรเยอะแยะ เราก็เคยค่ะ เราจะไม่นั่นไม่นี่ จะทำแบบนั้นแบบนี้ แต่สุดท้ายแล้วบางทีมันก็ไม่ได้อย่างที่ใจเราคิด
ความคิดเห็นที่ 90
ผมอยากจะขอร้องแทนลูกที่จะเกิดมาขอบ จขกท จริงๆเลยว่า ให้คุณเปลี่ยนพฤติกรรมการคิดเถอะครับ ไม่เช่นนั้นแล้ว ลูกที่จะเกิดมาของคุณก็จะต้องลำบากแน่ๆ
1 การแค่ให้ลูกทำงานบ้าน ผมไม่เห็นว่าเป็นการฝึกความรับผิดชอบแต่อย่างใดๆ การฝึกรับผิดชอบ คือการให้เด็กใด้มีโอกาศทำเรื่องที่มีความสำคัญ โดยพ่อแม่ ต้องยอมรับและคอยดูแลผลที่เกิดขึ้นให้ได้หากเด็กทำผิดพลาดอาจจะมีการตักเตือนแนะนำตามสมควร แต่กับงานบ้าน ที่จริงๆทำก็ได้ไม่ทำก็ไม่ได้เสียหาย จะทำให้คนเรารู้จักความรับผิดชอบได้อย่างไร ละงานพวกนี้ต้องฝึกจริงๆเหรอใครจะทำก็ทำได้ทั้งนั้นแหละครับ
2 การให้ลูกเรียนโรงเรียนวัด
- ด้วยความที่ผมก็เรียนจบ รร วัดมาแล้วดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ เลือกที่ดีๆให้กับลูกเถอะ อย่าให้ลูกต้องไปอยู่ในสังคมที่รอบๆตัวมีแต่แว๊น สก๊อย ท้องวัยเรียน เด็กติดยาเลย การเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูก ขอให้ทำในทางที่ถูกต้อง การโยนลูกไปไว้ในที่ไม่ดีนั้นไม่ได้เป็นการเสริมภูมิคุ้มกัน แต่เป็นการโยนให้เด็กไปอยู่ในความเสี่ยง
- คุณกล้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเด็ก ติดยาใน รร จะไม่บังคับลูกคุณเสพยา เด็กนะครับถ้าโดนบังคับมาเค้าก็ไม่กล้าพูดหรอกถ้าโดนขู่โดนแกล้ง พอรู้ความจริงก็สายไปจนลูกติดยาไปแล้วหละ
3 จขกท แน่ใจจริงๆเหรอครับว่าถ้าลูกชอบอะไร จะสนับสนุนเต็มที่ คือผมบอกตามตรงคุณยังไม่รู้วิธีการเรียกและค้นหาพรสวรรค์ของลูกเลย
- คุณบอกจะปล่อยให้ลูกเล่นดินเล่นทรายตามเรื่องตามราว แล้วคิดจริงๆเหรอเค้าจะรู้ว่าเค้าชอบอะไร ของแบบนี้ไม่สามารถตรัสรู้ได้เองนะครับ ไม่อย่างนั้นทำไมคนนี้ถึงประสบปัญหา ไม่รู้จะเรียนอะไรเวลาเข้ามหาวิทยาลัยกันเยอะแยะ นั่นเพราะพ่อแม่ไม่ได้เสริมพัฒนาการและประสบการณ์ให้ตามสมควรต่างหาก
- การจะให้เด็กได้ค้นหาตัวเองว่าชอบอะไรนั้น คือการต้องพาเค้าไปทำกิจกรรมหลากหลาย ให้เค้าสัมผัสถึงสิ่งต่างๆให้มากที่สุด แล้วเค้าจะรู้เอง ว่าเค้าชอบสิ่งไหน ทำสิ่งไหนได้ดี การค้นหาความชอบของลูกไม่ใช่แค่ปล่อยไปละมันจะเจอนะ พ่อแม่นี่แหละเป็นสิ่งผลักดันหลักที่จะสนับสนุนให้เจอ แน่นอนใช้ทุนทรัพไม่ใช่น้อย และความอดทน เวลา ของพ่อแม่อย่างมาก ถ้าพ่อแม่วันหยุดมีเวลาให้แต่กับตัวเองก็จบ
ละที่สำคัญที่สุด คุณบอกอยากส่งเสริมให้ลูกรู้ถึงความลำบาก แต่พอเค้ารู้แล้วได้อะไรหละ พอเค้าลำบากแล้วคุณได้สร้างอะไรแบ๊กอัพให้เค้าไว้ หรือจะให้เค้าลำบากไปจนตาย ส่วนใหญ่บอกตรงๆ การเลี้ยงแบบนี้ลูกลำบากตั้งแต่ต้น แต่สุดท้ายก็ยังลำบากอยู่ดีแหละครับ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณคงไม่ใช่เป็นประเภทที่อยากให้ลูกเลี้ยงตอนแก่ด้วยอะนะทั้งๆที่สนับสนุนเค้าแค่หางอึ่ง
สุดท้าย อยากให้ จขกท ทบทวนดูใหม่นะครับ ว่าคุณได้ให้โอกาศกับลูกคุณอย่างเต็มที่รึยัง สมัยนี้โลกไปเร็วขนาดไหน ถ้าไม่สนับสนุนให้เค้าตามให้ทัน เค้าก็จะต้องเป็นชนชั้นแรงงานไปชั่วชีวิต ทำงานทั้งชีวิตจะได้มีบ้านมีเงินเก็บเป็นของตัวเองไหม ถ้าวันนึงประสบอุบัติเหตหรือป่วยจะทำอย่างไร เราเป็นคนทำให้เค้าเกิดมานะครับ ละยังต้องให้เค้าลำบากอีกเหรอ
1 การแค่ให้ลูกทำงานบ้าน ผมไม่เห็นว่าเป็นการฝึกความรับผิดชอบแต่อย่างใดๆ การฝึกรับผิดชอบ คือการให้เด็กใด้มีโอกาศทำเรื่องที่มีความสำคัญ โดยพ่อแม่ ต้องยอมรับและคอยดูแลผลที่เกิดขึ้นให้ได้หากเด็กทำผิดพลาดอาจจะมีการตักเตือนแนะนำตามสมควร แต่กับงานบ้าน ที่จริงๆทำก็ได้ไม่ทำก็ไม่ได้เสียหาย จะทำให้คนเรารู้จักความรับผิดชอบได้อย่างไร ละงานพวกนี้ต้องฝึกจริงๆเหรอใครจะทำก็ทำได้ทั้งนั้นแหละครับ
2 การให้ลูกเรียนโรงเรียนวัด
- ด้วยความที่ผมก็เรียนจบ รร วัดมาแล้วดังนั้น ถ้าเป็นไปได้ เลือกที่ดีๆให้กับลูกเถอะ อย่าให้ลูกต้องไปอยู่ในสังคมที่รอบๆตัวมีแต่แว๊น สก๊อย ท้องวัยเรียน เด็กติดยาเลย การเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูก ขอให้ทำในทางที่ถูกต้อง การโยนลูกไปไว้ในที่ไม่ดีนั้นไม่ได้เป็นการเสริมภูมิคุ้มกัน แต่เป็นการโยนให้เด็กไปอยู่ในความเสี่ยง
- คุณกล้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเด็ก ติดยาใน รร จะไม่บังคับลูกคุณเสพยา เด็กนะครับถ้าโดนบังคับมาเค้าก็ไม่กล้าพูดหรอกถ้าโดนขู่โดนแกล้ง พอรู้ความจริงก็สายไปจนลูกติดยาไปแล้วหละ
3 จขกท แน่ใจจริงๆเหรอครับว่าถ้าลูกชอบอะไร จะสนับสนุนเต็มที่ คือผมบอกตามตรงคุณยังไม่รู้วิธีการเรียกและค้นหาพรสวรรค์ของลูกเลย
- คุณบอกจะปล่อยให้ลูกเล่นดินเล่นทรายตามเรื่องตามราว แล้วคิดจริงๆเหรอเค้าจะรู้ว่าเค้าชอบอะไร ของแบบนี้ไม่สามารถตรัสรู้ได้เองนะครับ ไม่อย่างนั้นทำไมคนนี้ถึงประสบปัญหา ไม่รู้จะเรียนอะไรเวลาเข้ามหาวิทยาลัยกันเยอะแยะ นั่นเพราะพ่อแม่ไม่ได้เสริมพัฒนาการและประสบการณ์ให้ตามสมควรต่างหาก
- การจะให้เด็กได้ค้นหาตัวเองว่าชอบอะไรนั้น คือการต้องพาเค้าไปทำกิจกรรมหลากหลาย ให้เค้าสัมผัสถึงสิ่งต่างๆให้มากที่สุด แล้วเค้าจะรู้เอง ว่าเค้าชอบสิ่งไหน ทำสิ่งไหนได้ดี การค้นหาความชอบของลูกไม่ใช่แค่ปล่อยไปละมันจะเจอนะ พ่อแม่นี่แหละเป็นสิ่งผลักดันหลักที่จะสนับสนุนให้เจอ แน่นอนใช้ทุนทรัพไม่ใช่น้อย และความอดทน เวลา ของพ่อแม่อย่างมาก ถ้าพ่อแม่วันหยุดมีเวลาให้แต่กับตัวเองก็จบ
ละที่สำคัญที่สุด คุณบอกอยากส่งเสริมให้ลูกรู้ถึงความลำบาก แต่พอเค้ารู้แล้วได้อะไรหละ พอเค้าลำบากแล้วคุณได้สร้างอะไรแบ๊กอัพให้เค้าไว้ หรือจะให้เค้าลำบากไปจนตาย ส่วนใหญ่บอกตรงๆ การเลี้ยงแบบนี้ลูกลำบากตั้งแต่ต้น แต่สุดท้ายก็ยังลำบากอยู่ดีแหละครับ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณคงไม่ใช่เป็นประเภทที่อยากให้ลูกเลี้ยงตอนแก่ด้วยอะนะทั้งๆที่สนับสนุนเค้าแค่หางอึ่ง
สุดท้าย อยากให้ จขกท ทบทวนดูใหม่นะครับ ว่าคุณได้ให้โอกาศกับลูกคุณอย่างเต็มที่รึยัง สมัยนี้โลกไปเร็วขนาดไหน ถ้าไม่สนับสนุนให้เค้าตามให้ทัน เค้าก็จะต้องเป็นชนชั้นแรงงานไปชั่วชีวิต ทำงานทั้งชีวิตจะได้มีบ้านมีเงินเก็บเป็นของตัวเองไหม ถ้าวันนึงประสบอุบัติเหตหรือป่วยจะทำอย่างไร เราเป็นคนทำให้เค้าเกิดมานะครับ ละยังต้องให้เค้าลำบากอีกเหรอ
ความคิดเห็นที่ 95
เท่าที่อ่านมาเรื่อยๆ ดูคุณยึดมั่นถือมั่นชัดเจนในแนวทางของคุณดีนะคะ
คอมเมนท์ที่มาแชร์ส่วนใหญ่ไปทิศทางเดียวกันเรื่องโรงเรียนแต่คุณก็ยังมั่นอกมั่นใจในแบบแผนของคุณอยู่
ก็แล้วแต่ว่าคุณจะนำพาลูกคุณไปในทางไหนแล้วกันนะคะ
ขอตอบคำถามของคุณแล้วกันค่ะ ถ้าถามเราว่าคุณประหลาดไหม เอาเป็นว่า เราว่าคุณค่อนข้างมีกลุ่มความคิดที่เหมารวมเกินไป และสุดโต่ง
และเราไม่แน่ใจว่ากลุ่มความคิดที่คุณมั่นใจนั้นคุณศึกษามันดีแล้วหรือยัง เช่น การเรียนโรงเรียนวัดเท่านั้นคือการให้ลูกใช้ชีวิตเป็นเด็กธรรมดา?,
โรงเรียนเอกชนส่วนใหญ่สปอยด์เด็ก โรงเรียนวัดไม่มีส่วนนี้?, การอยากให้ลูกรู้จักความลำบากก่อนความสบายด้วยการเรียนโรงเรียนวัด?
อันนี้ส่วนตัวเราว่าไม่เกี่ยวค่ะ คุณสอนให้ลูกรู้จักลำบากในวัยที่สมควรได้ เช่น เมื่อเค้าโตขึ้นอยากได้ของอะไรสักชิ้นคุณให้เค้าทำงานแลกเปลี่ยน นี่ก็ถือได้ว่าเป็นวิธีให้ลูกรู้จักอดทนเพื่อตนเองได้แล้ว ถึงจะเรียนเอกชนก็ฝึกลูกได้ค่ะ
แล้วความลำบากที่คุณอยากให้ลูกรู้จักคือความลำบากรูปแบบไหนคะ อยากให้ยกตัวอย่าง
อยากเห็นภาพตามว่าอะไรคือคำจำกัดความว่านี่คือลำบากสำหรับลูก โดยเฉพาะลูกที่อยู่ในวัยพัฒนาการอย่างนี้
แล้วคุณจะรับมืออย่างไรหากลูกไม่ต้องการลำบากแบบนั้นคะ ฝืน หรือปล่อยอยู่ดี
อย่าลืมว่าพัฒนาการณ์ทางด้านอารมณ์และความรู้สึกของเด็กก็มีส่วนสำคัญนะคะ
จากที่อ่านมารู้สึกได้แค่ คุณมีอคติกับโรงเรียนเอกชนแล้วพยายามหาเหตุผลดีๆให้โรงเรียนวัดก็เท่านั้นค่ะ
คอมเมนท์ที่มาแชร์ส่วนใหญ่ไปทิศทางเดียวกันเรื่องโรงเรียนแต่คุณก็ยังมั่นอกมั่นใจในแบบแผนของคุณอยู่
ก็แล้วแต่ว่าคุณจะนำพาลูกคุณไปในทางไหนแล้วกันนะคะ
ขอตอบคำถามของคุณแล้วกันค่ะ ถ้าถามเราว่าคุณประหลาดไหม เอาเป็นว่า เราว่าคุณค่อนข้างมีกลุ่มความคิดที่เหมารวมเกินไป และสุดโต่ง
และเราไม่แน่ใจว่ากลุ่มความคิดที่คุณมั่นใจนั้นคุณศึกษามันดีแล้วหรือยัง เช่น การเรียนโรงเรียนวัดเท่านั้นคือการให้ลูกใช้ชีวิตเป็นเด็กธรรมดา?,
โรงเรียนเอกชนส่วนใหญ่สปอยด์เด็ก โรงเรียนวัดไม่มีส่วนนี้?, การอยากให้ลูกรู้จักความลำบากก่อนความสบายด้วยการเรียนโรงเรียนวัด?
อันนี้ส่วนตัวเราว่าไม่เกี่ยวค่ะ คุณสอนให้ลูกรู้จักลำบากในวัยที่สมควรได้ เช่น เมื่อเค้าโตขึ้นอยากได้ของอะไรสักชิ้นคุณให้เค้าทำงานแลกเปลี่ยน นี่ก็ถือได้ว่าเป็นวิธีให้ลูกรู้จักอดทนเพื่อตนเองได้แล้ว ถึงจะเรียนเอกชนก็ฝึกลูกได้ค่ะ
แล้วความลำบากที่คุณอยากให้ลูกรู้จักคือความลำบากรูปแบบไหนคะ อยากให้ยกตัวอย่าง
อยากเห็นภาพตามว่าอะไรคือคำจำกัดความว่านี่คือลำบากสำหรับลูก โดยเฉพาะลูกที่อยู่ในวัยพัฒนาการอย่างนี้
แล้วคุณจะรับมืออย่างไรหากลูกไม่ต้องการลำบากแบบนั้นคะ ฝืน หรือปล่อยอยู่ดี
อย่าลืมว่าพัฒนาการณ์ทางด้านอารมณ์และความรู้สึกของเด็กก็มีส่วนสำคัญนะคะ
จากที่อ่านมารู้สึกได้แค่ คุณมีอคติกับโรงเรียนเอกชนแล้วพยายามหาเหตุผลดีๆให้โรงเรียนวัดก็เท่านั้นค่ะ
แสดงความคิดเห็น
คิดจะเลี้ยงลูกแบบนี้ มีแต่คนหาว่าชั้น "ประหลาด"
ตอนนี้เรากะลังท้อง คลอดประมาณต้นปี ซึ่งแนวการเลี้ยงเราคิดมานานแล้ว
ตั้งแต่ยังไม่มีลูก ว่าถ้ามีจะเลี้ยงแบบไหน ต้องการให้เค้าเป็นคนเช่นไร
จขกท.อายุ 37 ละ ผ่านโลกมาพอสมควร ชีวิตส่วนตัว ถือว่าตนเองประสบความสำเร็จในชีวิตละ
ประสบความสำเร็จในด้านของความสุขในชีวิตนะคะ ไม่ใช่วัตถุ
ซึ่งชีวิตวัยเด็ก ลำบาก อดทน กว่าจะได้อะไรแต่ละอย่าง เลือดตาแทบกระเด็น
สิบปีก่อน เคยคิดว่า ถ้ามีลูกจะให้เค้าในสิ่งที่เราเคยขาด ไม่ให้เค้าต้องลำบากเหมือนเรา
แต่ ณ วันนี้ มีความสุขในชีวิตแล้ว เข้าใจถึงการเกิดมา ความคิดการเลี้ยงลูกก็เปลี่ยนไป
ปัจจุบัน จขกท. จบ ป.ตรี มีงานที่มั่นคง เงินเดือนรวมกับแฟนก็ประมาณ 6 หมื่น (ไม่เยอะ แต่ก้ไม่เดือนร้อน)
แต่ ไม่มีรถ เพราะไม่อยากซื้อ ใช้มอไซค์ก็สะดวกดี และไม่มีบ้าน เพราะตั้งใจเก็บเงิน อยากได้บ้านที่มีเนื้อที่ (อีกเมื่อไหร่ไม่รู้ ฮา) แต่ เรา 2 คน มีบ้านของพ่อแม่อยู่แล้วนะคะ แต่ไม่มีเป็นของตนเอง
เอาละมาเรื่องการเลี้ยงลูกเลยนะ
1. ตั้งใจว่า 4 ขวบเป็นต้นไป จะให้เริ่มทำงานบ้าน จากเล็ก ๆ ไปเรื่อย ๆ เริ่มต้นจาก กรอกน้ำ หุงข้าว กวาดบ้าน
รดน้ำต้นไม้ ประมาณนี้ ค่อย ๆ สอนไปจนโต
---คนใกล้ตัว ไม่จำเป็นต้องสอนหรอก โตมาก็ทำเป็นเอง
--- เรา : ต้องการฝึกความรับผิดชอบและหน้าที่ให้เค้าติดตัวตั้งแต่เด็ก ๆ
2. ตั้งใจให้เข้าเรียน ตั้งแต่ 4 ขวบเป็นต้นไป และ.... ให้เรียนโรงเรียนวัด เท่านั้น แต่เป็นโรงเรียนที่เราโตมาและใกล้บ้าน
---คนใกล้ตัว บ้ารึป่าว สติดีปะเนี่ย แทนที่จะให้ลูกเรียน โรงเรียนเอกชน อย่างน้อยก็ 2 ภาษา เป็นฐานแต่เด็ก ๆ
--- เรา : ต้องการให้ลูกได้ใช้ชีวิต เริ่มต้นแบบธรรมดา ใช้ชีวิตธรรมดา ให้เค้าได้อยู่ได้ทำอะไรด้วยตนเองให้มากที่สุด
ซึ่ง รร.เอกชนส่วนใหญ่จะ สปอยด์เด็ก แต่โรงเรียนวัด หรือรัฐจะไม่มีส่วนนี้ และที่สำคัญ เราต้องการสอนพื้นฐานการเรียนให้ลูกเอง และที่สำคัญกว่า เราไม่เห็นด้วยกับการให้เด็ก 2.5 ขวบ หลุดพ้นวัยเด็กเร็วเกินไป เราต้องการให้เค้าใช้ชีวิตที่เป็นเด็ก จริง ๆ เล่นดิน เล่นทราย ให้เค้ามีจินตนาการ และอยากให้เค้าดึงพรสวรรค์และความสามารถตัวเองออกมา
และอีกสิ่งที่เราไม่เห็นด้วยคือ การให้ลูกเรียน 2 ภาษานั้น สำหรับเราคือ ถ้าจะเรียน ก็ส่ง รร.อินเตอร์ไปเลย ถ้าส่งเรียนเอกชน แล้ว
เรียนไทยด้วย อังกฤษด้วยแบบท่องจำ โดยที่ผู้ปกครอง ก็ไม่ได้มีส่วนอะไรมากนัก เช่น กลับมาบ้านก็พูดไทย ไม่ได้ฝึก
ฝนอะไร นอกจากรู้ว่า ต้องเรียน ABC ด้วย ถ้าเรียนได้แค่นี้ เราไม่เอา
เราตั้งใจ ส่งเรียนคอร์สภาษา ตอนโตมาหน่อย เราว่าก็ไม่สาย
3.เราตั้งใจว่า ถ้าลูกมีพรสวรรค์ ด้านใด จะดันให้เค้าเก่งด้านนั้นไปเลย เช่น เก่งฟุตบอล ก็จะดันไปเรียนทางกีฬา หรือ
ชอบคณิตศาตร์ ก็ส่งเรียนไปทางนั้น หรือชอบศิลปะ ก็ส่งเรียนให้มันสุด ๆ ไปเลย ให้มันได้ทำสิ่งที่รักออกมาดีที่สุด
โดยใบปริญญาจากลูก ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เราต้องการให้เค้า ประสบความสำเร็จในชีวิต ที่สามารถดูแลตนเองได้
ด้วยวิธีการใดก็ได้
---คนใกล้ตัว บ้าไปแล้วความคิดแบบนี้ แทนที่จะส่งลูกเรียนหมอ วิศวะ จะได้ทำงานดี ๆ มีหน้ามีตา
--- เรา : คนที่จบปริญญา ไม่ประสบความสำเร็จเยอะแยกมากทุกวันนี้ เพราะทุกคนเรียนไปตามพ่อแม่
ไม่ได้เรียนเพราะใจรัก หรือบางคน จนแก่แล้วยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าตัวเองถนัดอะไรกันแน่
เอาแค่ 3 ข้อนี้ละ เท่าที่คุยกับพ่อแม่หลาย ๆคน เค้าหาว่าเราประหลาด
มีลูกแทนที่จะให้เรียนที่ดี ๆ ส่งเรียนสูง ๆจะได้ไม่อายใคร
แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวเราความสุขในชีวิตทุกวันนี้ที่เราควบคุมมันได้ เราคิดแล้วว่า
ลูกเราต้องมีภูมิคุ้มกันชีวิต ยามผิดหวังเสียใจ เค้าต้องประคองตัวได้
ยามเราไม่อยู่แล้ว หรือยามโตไปใช้ชีวิต ด้วยตนเอง เค้าต้องดูแลตนเองได้
และไม่เป็นภาระผู้อื่น รวมทั้งดูแลผู้อื่นที่ตนเองรักได้ด้วยตามกำลัง
เราไม่แคร์ ถ้าลูกเราจะไม่เด่น ไม่ดัง ไม่จบสูง ไม่ได้ทำงานดี ๆ
แต่เราจะเสียใจ ถ้าลูกไม่ได้ตามฝันของตัวเอง และต้องทนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้อยากทำ
เราคิดแบบนี้ หลาย ๆ ท่านว่าเราประหลาดมั้ย????
****แก้ไขเพิ่มเติม
ขอบคุณ ทุก ๆ ความเห็นค่ะ ได้หลายแนวคิดเลยทีเดียว
ขอเพิ่มเติมข้อ 3 นิดนึง
ถ้าลูกมีพรสวรรค์ เราเน้นจริงค่ะ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทิ้งการเรียนแบบปกตินะคะ
เพียงแต่เป็นการเน้นความสามารถให้ดึงออกมาเต็มที่ตามที่เค้าจะมี คล้ายๆ แบบ ชนาธิป ประมาณนั้น
เช่น เค้าอาจชอบภาษา เราก็คงให้เค้าเรียนเน้นไปทางด้านนั้นเยอะหน่อย อนาคตจะเป็นล่ามหรืออะไรก็ว่าไป
เพราะเราค้นพบตัวเอง ว่ามีเรามีความสามารถด้านนึง ก็ตอนอายุ 19 แล้ว แต่เรายังกลับมาฝึกฝนได้ทัน
ปัจจุบันได้ทำงานที่ตัวเองชอบ เลยรู้สึกมีความสุขในงานที่ทำ
ส่วนเรื่องโรงเรียนวัด เรามีทัศนคติที่ดี ในตอนที่เราเรียนมา และโรงเรียนที่เรา
ดูไว้ ก็มีสภาพแวดล้อม และความน่าเชื่อถือในเรื่องของความปลอดภัย
แล้วเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกินว่า หลานและลูกเพื่อนที่สนิทกัน
เรียนเอกชน แล้วลูกเค้ามีนิสัยที่เราไม่ช่อบเลย
เช่น กล้าแสดงออก แต่ก้าวร้าว
พฤติกรรม ต่อหน้าพ่อแม่ กับลับหลังพ่อแม่เป็นคนละแบบ เช่นอยู่กับพี่ป้าน้าอา
พฤติกรรม อยู่กะเพื่อน ก็เหมือนเด็กเรียน รร. วัดทั่วไป พูดจาหยาบคาย
แต่ทั้งนี้ บางส่วนก็มาจากการเลี้ยงดูจากที่บ้านด้วย อันนี้ ไม่มีข้อสรุปตายตัว
เราจึงยังไม่เห็นความดีงามของ รร. เอกชน (บางที่) เท่าที่ควรอะคะ
แต่ เรามองว่า อยากให้ลูกรู้จักความลำบาก ก่อนความสบาย มากว่าอยู่ดีค่ะ
ส่วนเรื่องภาษา พอดีมีเพื่อน ๆ น้อง ๆ สนิท ๆ หลายคน
มาเรียนเพิ่มตอนโต และมาเสียงส่วนใหญ่ว่า ไม่สายเกินไปค่ะ
และ จขกท. ได้ภาษาประมาณสื่อสารได้ เลยตั้งใจ จะใช้จุดนี้
สอนเค้าในตอนเล็ก ๆ ไปเรื่อย ควบคู่กับการเรียนปกติ
แล้วไปเพิ่มตอน ประถมภายหลัง ประมาณนี้
ลืมบอกนิดนึง จขกท. ได้เรียน ทั้งเอกชน รร. วัด และรัฐบาลนะคะ
ถ้าวัดจากประสบการณ์ตนเอง รร. เอกชน ไม่ประทับใจเท่าที่ควร