Love Between The Lines เรื่องรักระหว่างบรรทัด Ep.5



            สำหรับลิงค์ตอนเก่านะคะ  

            ตอนที่ 1 : http://pantip.com/topic/35153883

            ตอนที่ 2 : http://pantip.com/topic/35159907

            ตอนที่ 3 : http://pantip.com/topic/35167630

            ตอนที่ 4 : http://pantip.com/topic/35191268

            ...


            (5)


            “โอ้โห พี่หนูลี วันนี้แต่งหน้าโทนหลินฮุ่ยเหรอพี่ ขอบตาคล้ำเชียะ!”
          
            คำพูดพร้อมน้ำเสียงยียวนป่วนประสาทแบบนี้คงจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากรุ่นน้องจอมกวนเส้นอย่างนายเต๋าเจ้าเก่า นลินีชะงักมือที่กำลังตบแป้งเบาๆ ลงที่ใต้ตาอย่างตั้งใจและตวัดสายตาเขียวขวับไปที่คนปากมากอย่างขุ่นเคือง

            “อย่ามากวนบาทา นายเต๋า วันนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี”
    
                ว่าแล้วก็หันไปตบแป้งต่ออย่างไม่คิดจะสนใจ จะไม่ให้ขอบตาเขียวคล้ำเหมือนคนโดนต่อยแบบนี้ได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อมัวแต่ทำบ้าอะไรอยู่ก็ไม่รู้จนกระทั่งผลอยหลับไปตอนเกือบเช้าแบบนี้ และที่น่าหงุดหงิดไปกว่านั้นก็คือ ไอ้สิ่งที่พยายามทำมาตลอดครึ่งคืนนั้นกลับไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเพราะสุดท้ายแล้วเธอก็ตัดใจส่งข้อความพวกนั้นไปไม่ลงอยู่ดี
  
            “ก็ผมบอกแล้ว~ ให้โทรศัพท์คุยกับแฟนน้อยๆ หน่อยจะได้นอนเร็วขึ้น ดูสิ ปล่อยให้ผู้หญิงตาคล้ำแบบนี้ได้ยังไงกัน” ภาสกรยังพูดจากวนประสาทไม่หยุดหย่อน อาจเป็นเพราะวันนี้คือวันศุกร์แห่งชาติที่ปราศจากการประชุมงานใดๆ ทุกคนเลยดูผ่อนคลายเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายรุ่นน้องจอมกวนที่ขยันมาวนเวียนแถวโต๊ะทำงานของเธอเหลือเกิน

            “พูดจาไม่รู้เรื่องนะแกเนี่ย ฉันไม่ได้คุยโทรศัพท์กับใครย่ะ พี่แค่..” นลินีปิดตลับแป้งดังกึกขณะที่พยายามไม่สบตาคนในกระจก “...แค่นอนดึกไปหน่อย ทำนู้นทำนี่ไปเรื่อยน่ะ”

              “จริงง้ะ?”
    
               “แล้วจะโกหกเพื่อ??” หญิงสาวกรอกตาอย่างหน่ายๆ อย่างน้อยเธอก็พูดความจริงครึ่งนึงละน่ะ นลินีแอบคิดในใจ
    
               “โถ น่าสงสาร คงงานเยอะน่าดู ก็คุณอีธานน่ะใช้งานพี่อย่างกับสมัยยังไม่เลิกทาส” ภาสกรลดเสียงลงเป็นกระซิบเมื่อแอบนินทาเจ้านายบังเกิดเกล้า หญิงสาวเลือกที่จะไม่พูดอะไรเมื่อนายเต๋าเข้าใจไปแบบนั้น
    
               “เอางี้ ถ้าอย่างนั้นตอนเที่ยงพี่กับผมไปกินข้าวกัน ผมรู้จักร้านอาหารเจ้าเด็ดอยู่ที่หนึ่งใกล้ๆ นี่เอง ขอรับรองด้วยเกียรติของผู้ชายที่หล่อที่สุดในบริษัทว่าพี่ต้องชอบแน่ๆ ผมฟันธง ถือว่าไปเปลี่ยนบรรยากาศกัน”
    
               “ถ้าอย่างนายหล่อที่สุดในบริษัท ฉันคงเป็นนางงามจักรวาลไปแล้วย่ะ ไอ้คนขี้โม้!”

           ยังไม่ทันที่นลินีจะตอบว่าอะไร เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ตอนนี้กำลังเบะปากอย่างหมั่นไส้ก็เข้ามาขวางลำเสียก่อน ในอ้อมแขนนั้นเต็มไปด้วยเอกสารซึ่งนำไปก็อปปี้มาแล้วเรียบร้อย

           “อย่างเธอน่ะเป็นได้แค่นางงามจักรยาน!” เด็กหนุ่มตอบโต้ทันควัน “อุตสาห์ดีใจนึกว่าวันนี้ไม่มาทำงาน จะรีบเดินกลับมาทำไมฮึ”

           “ก็รีบกลับมาเป็นก้างขวางคอน่ะซี เพราะแถวนี้หมามองเครื่องบินมันเยอะ”

           ดารกาจงใจกระแทกร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้าโต๊ะของนลินีไปให้พ้นทาง ก่อนจะบรรจงวางเอกสารที่เข้าเล่มเรียบร้อยแล้วลงบนโต๊ะของเธอโดยไม่สนใจคนที่ทำหน้ากินเลือดกินเนื้ออยู่ด้านหลัง

           “เอกสารที่พี่หนูลีให้เพลงจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ” เด็กสาวรายงานพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ ก่อนจะหันควับไปที่ภาสกรและยิ้มเยาะขณะที่พูดต่อว่า “นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว เตรียมตัวไปทานข้าวกันเถอะค่ะพี่หนูลี”

           “เฮ้ย ได้ไง ฉันชวนพี่หนูลีก่อนเธอนะ!” เด็กหนุ่มโวยวายแทบเต้น

           “ฉันชวนพี่หนูลีทานข้าวทุกวัน ตั้งแต่เมื่อวาน เมื่อวันก่อนโน้น ทั้งอาทิตย์ที่แล้ว และก็ทั้งหลายๆ อาทิตย์ที่ผ่านมาด้วย นายจะมานัดก่อนฉันได้ยังไงกันฮึ” ดารกาตอบอย่างหน้ามึนเป็นที่สุดจนเด็กหนุ่มถึงกับอ้าปากค้าง

           “งั้นก็ไปด้วยกันหมดนี่แหละ ไปกินร้านที่เต๋าบอกก็ได้” นลินีรีบตัดสินก่อนที่ศึกฝีปากจะปะทุขึ้นอีกรอบ แค่นี้เธอก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้วเนื่องจากอาการอดนอนเมื่อคืน

            “ไม่เอาค่ะ!!/ไม่เอาครับ!!” ทั้งสองคนรีบตอบเป็นเสียงเดียว              

              “ไม่เอาอ่ะพี่ ผมไม่พายัยเด็กนี่ไปด้วยเด็ดขาด กระเดือกข้าวไม่ลงกันพอดี!”
    
              “เพลงก็ไม่อยากไปกับอีตานี่เหมือนกันค่ะพี่หนูลี ประเดี๋ยวอาหารจะไม่ย่อย!”


           ต่างฝ่ายต่างอุธรณ์เสียงดังโดยไม่มีใครยอมใคร นลินีแทบจะเอาสองมือกุมขมับกับสงครามน้ำลายที่ไม่มีวันจบสิ้นเสียทีของหนุ่มสาวสองคนนี้ ให้ห้ามทัพในเวลาปกติก็ยังพอว่าแต่ตอนนี้เธอปวดหัวเกินกว่าจะเข้าไปเป็นตัวกลางให้ใครหรืออะไรทั้งสิ้น หญิงสาวจึงปล่อยให้เด็กทั้งสองคนเถียงกันตามสบายโดยไม่คิดจะห้าม ทันใดนั้นเสียงข้อความที่ถูกส่งเข้ามาในโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นพอดีราวกับเสียงสวรรค์ นลินีจึงใช้จังหวะนี้หลบฉากออกมาอย่างแนบเนียนแล้วจึงเดินเลี่ยงไปยังโถงทางเดินข้างนอกซึ่งไร้ผู้คน


             ‘แกเห็นรูปล่าสุดในหน้าเพจเขารึยัง?’


            เป็นตันหยงจริงๆ ที่ส่งข้อความมาตามที่เธอนึกไว้ไม่มีผิด นลินีอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะรีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว


            ‘ฉันกำลังจะส่งข้อความไปหาแกพอดีเลย หยง’

            ‘เหอะ! นึกว่ามัวแต่ดราม่าจนไม่เป็นอันทำอะไร ฉันรึอุตสาห์ถ่างตารอแกส่งข้อความตอบกลับมาทั้งคืน’ เพื่อนสาวประท้วงมาพร้อมสติกเกอร์ตัวการ์ตูนตาโหล

            ‘อ้าว ไม่รู้ว่ารออยู่ ฉันกลัวว่ามันดึกมากแล้วก็เลยไม่กล้าส่งไป คุ้นๆ ว่าแกเคยบอกว่ามีงานตอนเช้า’

            ‘จริงๆ ก็มีนั่นแหละ นี่ก็เพิ่งเสร็จพอดี กำลังจะไปกินข้าว แต่ประเดี๋ยวก่อนเถอะ แกยังไม่ได้ตอบฉันเลยว่าเข้าไปเช็คหน้าเพจคุณทีตามที่บอกไปตั้งแต่เมื่อคืนหรือยัง’

            ‘ถ้าไม่เห็นจะรีบตอบข้อความแกขนาดนี้รึ?’

            ‘ไม่เห็นแกจะตื่นเต้นดีใจอย่างที่ฉันคิดเลย นี่อะไรกัน เฉยมากถึงมากที่สุด’


            นลินีหลุดยิ้มใส่หน้าจอโทรศัพท์ที่กำลังพิมพ์อยู่ ตันหยงเอ๋ย ตันหยง หากหล่อนได้มาเห็นสภาพเธอเมื่อคืนคงจะไม่ได้พูดอย่างนี้เป็นแน่


            ‘ไอ้ตื่นเต้นดีใจน่ะมันก็มีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉันง่วงนอนมากกกกกกก’ ราวกับลำพังคำพูดยังอธิบายได้ไม่ดีพอ เธอจึงจัดการส่งภาพสติกเกอร์ง่วงเหงาหาวนอนเกือบทุกแบบที่มีอยู่ไปให้เพื่อนรักเพื่อเป็นการยืนยัน

            ‘อ้าว แล้วมัวแต่ทำอะไรอยู่ถึงไม่ได้นอน ฉันจำได้ว่าส่งข้อความหาแกครั้งสุดท้ายยังไม่ทันเที่ยงคืนด้วยซ้ำไป’ ตันหยงยิงคำถามก่อนจะรีบเสริมโดยไม่รอคำตอบ ‘เดี๋ยวนะ ฉันขอทาย แกโทรหาเขาแล้วใช่รึเปล่า?? โทรคุยกันทั้งคืนเลยใช่ไหม???’

            ‘แกติดโรคมโนแจ่มจากยัยพลอยมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยฮึ’ นลินีกระเซ้า

            ‘อ้าว แล้วอะไรยังไง’ คำพูดของตันหยงแสดงความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจนแม้จะไม่ได้เห็นหน้า ‘แกจำได้เหมือนฉันใช่ไหมว่านั่นคือโต๊ะลีลาวดีที่พวกเรานั่งในคืนนั้นน่ะ’

            ‘ต้องจำได้สิ’

            ‘เขาจงใจถ่ายรูปมาลงขนาดนี้แล้วยังจะรอสวรรค์วิมานอะไรอยู่อีก รีบหาทางติดต่อพูดคุยกับเขาไปสิยะ’

               ที่แนบท้ายข้อความมาด้วยคือตัวการ์ตูนยืนเท้าสะเอวด้วยอารมณ์ไม่ได้ดั่งใจ
    
             ‘ฉันพยายามแล้ว’ นลินีแก้ตัวอ่อยๆ ก่อนจะตัดใจเล่าวีรกรรมโต้รุ่งของเธอให้เพื่อนรักฟังอย่างไม่ค่อยเต็มใจสักนิด

           ‘เอาเข้าไปยัยหนูลี โทรหาเขาก็ไม่โทร ส่งข้อความก็ไม่ส่ง แค่คอมเม้นท์ใต้รูปยังไม่กล้าทำ ถ้าหากรักนี้ไม่บอกไม่พูดไม่กล่าว แล้วเค้าจะรู้ว่ารักหรือเปล่า อาจจะไม่แน่ใจ เคยได้ยินเพลงนี้ไหมยะ ระวังเถ๊อะเดี๋ยวจะแห้วรับประทานเป็นเพื่อนไอ้ไทมัน’

           ‘ปัดโธ่เอ๊ย แก ก็ฉันยังคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่ารูปดอกลีลาวดีที่เขาโพสนั่นมันหมายความว่ายังไง อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญอีกเรื่องรึเปล่าก็ไม่รู้ อย่าลืมสิว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไปที่ร้านนั่นเพื่อทานข้าวกับครอบครัวของเขาเท่านั้นเองนะ’

           ‘ถ้าอย่างนั้นทำไมต้องมาถ่ายรูปที่โต๊ะเรา? โต๊ะอื่นๆ มีเป็นสิบ ซุ้มกุหลาบที่เขานั่งอยู่ก็สวยจะตาย ทำไมถึงต้องเป็นโต๊ะลีลาวดีด้วยถ้าไม่ใช่เพราะแกนั่งอยู่ตรงนั้น!’ ตันหยงยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

           ‘สมมุติถ้าเขาเห็นฉันจริงๆ ทำไมถึงไม่เดินเข้ามาทักเลยล่ะ หรืออย่างน้อยส่งข้อความมาบอกตรงๆ เลยก็ได้ จะมัวมาถ่ายรูปปริศนาแบบนี้อยู่ทำไมกัน แกตอบฉันได้ไหม’


           ตันหยงเงียบไปราวกับอับจนด้วยคำพูด นลินีถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นเจนจบชะโงกหน้ามาจากหัวมุมโถงทางเดิน


            “หนูลีอยู่นี่เอง!” หนุ่มใหญ่ทักและส่งยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง “พี่ตามหาอยู่เชียว เจ้าเต๋าบอกว่าหนูลีออกมาคุยโทรศัพท์แถวนี้”     

              “พี่เจนมีอะไรให้หนูลีช่วยหรือเปล่าคะ?”

              “อ๋อ เปล่าหรอก พี่แค่จะมาชวนให้ไปกินข้าวพร้อมกันน่ะ เนี่ยนายเต๋ากับเพลงก็กำลังรอเราอยู่” เจนจบอธิบายก่อนจะสังเกตเห็นโทรศัพท์เครื่องบางในมือของเธอ “อ้าว ยังคุยโทรศัพท์ไม่เสร็จทีเหรอ?”

            “เกือบเสร็จแล้วค่ะพี่” นลินีรีบตอบ “แต่แค่สงสัยนิดหน่อยว่านายเต๋ากับเพลงยอมไปด้วยกันแล้วหรือคะ เมื่อกี้ตอนหนูลีออกมายังเถียงกันไม่จบอยู่เลย”

            เจนจบอมยิ้มมุมปาก “เผอิญเมื่อกี้พี่ตามหาไอ้เต๋า เจอมันเถียงหน้าดำหน้าแดงกับเจ้าเพลงอยู่ พี่รำคาญเลยบังคับหักคอพวกมันไปกินข้าวด้วยกันซะเลยจะได้เลิกทะเลาะกันเสียที ไม่ต้องไปที่ไหนไกลหรอก แค่ร้านข้าวใกล้ๆ นี่ก็พอ”

            นลินียิ้มขำกับคำตอบของหนุ่มใหญ่และขอเวลาจัดการธุระเพียงชั่วครู่ก่อนจะรีบตามกลับไปที่โต๊ะซึ่งทุกคนกำลังรออยู่


          ‘หยง ฉันต้องรีบไปแล้ว เค้ารอกินข้าวกันอยู่ พี่เจนออกมาตามเองเลยเนี่ย’

          ‘ว่าแล้วเชียว คุยอยู่ดีๆ ก็หายไปเลย’ ตันหยงบ่นอุบ ‘งั้นแกรีบไปก่อนเถอะ ให้ผู้ใหญ่รอนานๆ มันไม่ค่อยดี’
    
            ‘โอเค งั้นไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ’


                 นลินีส่งสติกเกอร์ตัวการ์ตูนโบกมือลาเป็นการส่งท้ายบทสนทนาที่ยังค้างคาใจ ก่อนจะปิดโปรแกรมทั้งหมดลงแล้วตรงดิ่งกลับไปยังโต๊ะทำงานของตนเองที่ทุกคนกำลังคอยอยู่ ยังไม่ทันไรโทรศัพท์เจ้ากรรมของเธอก็ส่งเสียงเตือนข้อความขึ้นมาอีกรอบ หญิงสาวเปิดหน้าจอขึ้นมาดูอย่างสงสัยและพบว่าเป็นข้อความสุดท้ายจากตันหยง


          ‘เมื่อกี้ฉันยังไม่ได้ให้คำตอบแกที เอาเข้าจริงฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดของผู้ชายคนนี้มากไปกว่าแกสักเท่าไหร่เลย เพราะฉะนั้นฉันคงตอบไม่ได้หรอกว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้ก็คือมันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขาถ่ายภาพดอกลีลาวดีพวกนั้นด้วยความตั้งใจเพราะแก ลำพังแค่คนรู้จักกันธรรมดาเขาไม่ทำขนาดนี้หรอกนะ หนูลี ลองไปคิดดูให้ดีๆ’



              (มีต่อ)


              .....



              สวัสดีค่ะ แอบหายหน้าหายตาไปซะนานเลยทีเดียว ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับงานศพของคุณย่าเลยไม่มีเวลามาจัดการเรื่องอื่นๆ สักเท่าไหร่ ยังไม่รู้จะมีคนตามอ่านเหลืออยู่อีกรึเปล่าเนี่ย นิยายของหลายๆ ท่านก็ไม่ได้ตามอ่านเลย T^T เสียใจ เอาเป็นว่าถ้ามีเวลาจะรีบมาต่อให้เลยนะคะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ มีคำแนะนำติชมอะไรเชิญได้เลยนะคะ เข้าหน้าฝนแล้ว รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่