(26 พ.ค.) ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพและข้อความจาก เฟซบุ๊กของนายเตชะ ทับทอง ซึ่งได้พบกับเรื่องราวประทับใจ หลังจากนั่งติดกับครอบครัวฝรั่ง พ่อแม่ลูกสาวตัวน้อย ขณะเดินทางกลับจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา มายังสนามบินดอนเมือง โดยมีข้อความดังนี้
"ทริปกลับบ้าน พนมเปญ-ดอนเมือง ผมนั่งแถว F คือริมหน้าต่าง เลือกเองไว้ตั้งแต่เช็คอิน เพราะคิดว่าสะดวกสบายที่สุดแน่นอน พี่ที่มาด้วยกันนั่งแถวหลังถัดไป ขณะที่นั่งรอผู้โดยสารคนอื่นทยอยขึ้นเครื่องมา มีครอบครัวอเมริกันลูกสาววัยน่ารักหัวหยิกสีทองเดินมาหยุดที่แถวเดียวกับผม พ่อนั่งอีกฝั่งของทางเดิน ลูกสาวเดินเข้ามาเบาะกลางข้างผม เธอมองหน้าผมแล้วหันไปถามแม่
เด็กน้อย : Mom ทำไมหนูไม่ได้นั่งข้างหน้าต่าง
แม่ของเด็กน้อย : เราไม่ได้จองไว้ เราจองที่นั่งตรงกลางกับริมทางเดิน เราต้องนั่งตรงตามตั๋ว
เด็กน้อย : ทำไมละ (เริ่มเบะปากเสียงสั่นเครือ) หนูต้องการที่นั่งริมหน้าต่าง หนูอยากเห็นเมฆ
ผม : (หันไปบอกแม่นาง) ผมยินดีเปลี่ยนที่นั่งได้นะ ไม่มีปัญหา
แม่ของเด็กน้อย : (ทำมือปฏิเสธ) ไม่เป็นไรคะ เธอต้องเรียนรู้
เด็กน้อย : (ทรุดนั่งที่พื้น น้ำตาไหลพรากแต่ไม่มีเสียงร้องไห้) หนูต้องนั่งริมหน้าต่างสิ เมฆรอหนูอยู่นะ
แม่ของเด็กน้อย : ไม่ได้ ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ดีๆอย่าทำให้แม่ต้องอายอย่างนี้ ลูกโตแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ใช่เบบี้ที่ยังฉี่ราดแพมเพิสอยู่
เด็กน้อย : (ยอมลุกขึ้นมานั่งแต่โดยดี)
ผม : (พยายามบอกเธออีกครั้ง) ผมเปลี่ยนที่นั่งกับสามีคุณได้เลยนะ ด้วยความยินดี
แม่ของเด็กน้อย : thank you (แล้วนางก็ยิ้มให้ พร้อมกระพริบตา แล้วหันไปทำหน้าดุใส่ลูกสาวอีกที)
เธอกำลังทำให้พ่ออายอยู่รู้ไหม ถ้าเธองอแงแบบนี้แล้วใครบนเครื่องสักคนที่รู้จักพ่อ เค้าจะมองว่าพ่อและแม่เป็นคนไม่ดี ไม่เก่ง ไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะสอนให้ลูกสาวที่กำลังโตมีความรับผิดชอบไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ถ้าพ่อกับแม่ต้องโดนคนตำหนิ เราก็จะไปทำงานที่เดิมไม่ได้ ต้องตกงาน ดังนั้นก็จะไม่มีเงินซื้อขนมที่ลูกชอบ เสื้อสวยๆที่ลูกอยากได้ เราก็จะไม่มีเงินเหลือพอที่จะซื้ออาหารให้ลูกหมาของเราได้ ต้องยกให้คนอื่นไปเลยนะ ลูกต้องการแบบนั้นใช่ไหม (ฟังแบบจับเอาใจความมานะ something like that!!!)
ลูกสาว : (นางพยักหน้ากับแม่เป็นครั้งๆไป พร้อมมองหน้าแม่และคิดตามไปทีละคำถาม มีเสียงสะอื้นเป็นครั้งคราว)
แม่ของเด็กน้อย : ถ้าอย่างนั้นลูกตัดสินใจยังไง จะร้องไห้เสียงดัง จะแย่งที่นั่งคนอื่นเค้า หรือจะเป็นเด็กสาวที่โตแล้วอย่างมีความรับผิดชอบ
ลูกสาว : (นางสะอื้นไปตอบไป) ไม่ หนูต้องการเป็นเด็กสาวที่โตและมีความรับผิดชอบและไม่ยอมให้ยกหมาให้ใครไป
แม่ของเด็กน้อย : งั้นลูกจะต้องทำอย่างไร บอกแม่สิ
ลูกสาว : หนูจะนั่งตรงนี้ และเป็นเด็กดี
แม่ของเด็กน้อย : (หันมาคุยกับผม) ขอบคุณมากในความใจดี แต่ฉันต้องสอนให้ลูกได้รับบทเรียน
ผม : เป็นการสอนลูกได้ดีมาก ผมชื่นชมครับ เดี๋ยวพอคนนิ่งแล้วผมจะเปลี่ยนที่นั่งให้นะครับ
แม่ของเด็กน้อย : ขอบคุณมาก (แล้วเธอหันไปบอกสามีที่นั่งถัดไปริมทางเดินอีกฝั่งนึง) มีคนไทยใจดีเค้าจะยอมเปลี่ยนที่ให้เรา แค่เค้าเห็นหน้าในวินาทีแรกที่ลงไปนั่งพื้น เค้าก็เอ่ยปากบอกเราเลยว่ายินดีมอบที่นั่งริมหน้าต่างให้เด็กคนนี้
(เธอหันมาบอกลูกน้อย) นี่ คนไทยใจดีคนนี้เค้ายินดีจะยกที่นั่งนี้ให้เธอนะ ต้องทำอย่างไร
ลูกสาว : ต้องกล่าวขอบคุณ (นางหันมายิ้มแก้มปริ) Thank you
แม่ของเด็กน้อย : เค้าเป็นคนไทย ยูต้องทำอย่างไร
ลูกสาว : (ยกมือขึ้นมาไหว้อย่างน่ารัก) Thank you
แม่ของเด็กน้อย : ดีมาก
จากนั้นลูกสาวก็กลายเป็นเริ่มคุยสนุกสนานหัวเราะกับแม่ ส่วนแม่ก็คุยกับผมเรื่องพนมเปญ เรื่องไทย จนเครื่องว่างจากคนเดินขึ้นเครื่อง ผมจึงลุกขึ้นเปลี่ยนที่นั่งให้ สาวตัวน้อยกล่าวขอบคุณอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่น่ารัก......
เพียงแค่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติสักครอบครัวได้ความรู้สึกดีๆนี้ไปจากคนไทย ผมคิดว่าเป็นเครื่องการันตีว่าเค้าจะบินกลับมาเที่ยวบ้านเราอีกแน่นอนครับ
ช่วยกันครับ เพื่อการท่องเที่ยวของไทย และชื่อเสียงดีๆของไทย คนอเมริกันส่วนใหญ่ยังน่ารักเสมอครับ ครอบครัวนี้มาไทยปีละ 1 ครั้ง เหมือนคล้ายๆ ว่าคุณพ่อจะทำงานหรือทำธุรกิจที่กรุงเทพด้วย และจะไปต่อที่ลาว กัมพูชา หรือพม่าแล้วแต่ความสะดวกแต่ละปีครับ
ปล. ทั้งหมดเป็นการแปลโดยผมเอง ไม่ได้โอ้อวดอะไร เพราะมีความสามารถเพียงพอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้แบบไปไหนไม่อดตายนะครับ บางคำอาจไม่เข้าใจร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็เข้าใจได้ด้วยรูปประโยคและภาษากายที่ประกอบครับ บางประโยคก็ something like that!!!
ปล.ผมชื่นชมการเลี้ยงลูกของคุณแม่อเมริกันคนนี้มาก ก่อนลงเครื่อง คุณพ่ออุ้มเธอมาให้ขอบคุณผมอีกครั้งหนึ่ง น่ารักมากสาวน้อยคนนี้"
ทั้งนี้ เรื่องราวดังกล่าวมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย หลายคนชื่นชมความมีน้ำใจของผู้โพสต์ และการสอนลูกที่ดีของครอบครัวชาวต่างชาติ ซึ่งชาวไทยหลายคนน่าจะนำมาปรับใช้ในการสอนลูกหลานได้
ขอขอบคุณภาพและเรื่องราวจากเฟซบุ๊กคุณเตชะ ทับทอง
คุณแม่สอนบทเรียนให้ลูกบนเครื่องบิน อ่านแล้วต้องยิ้ม
(26 พ.ค.) ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ภาพและข้อความจาก เฟซบุ๊กของนายเตชะ ทับทอง ซึ่งได้พบกับเรื่องราวประทับใจ หลังจากนั่งติดกับครอบครัวฝรั่ง พ่อแม่ลูกสาวตัวน้อย ขณะเดินทางกลับจากกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา มายังสนามบินดอนเมือง โดยมีข้อความดังนี้
"ทริปกลับบ้าน พนมเปญ-ดอนเมือง ผมนั่งแถว F คือริมหน้าต่าง เลือกเองไว้ตั้งแต่เช็คอิน เพราะคิดว่าสะดวกสบายที่สุดแน่นอน พี่ที่มาด้วยกันนั่งแถวหลังถัดไป ขณะที่นั่งรอผู้โดยสารคนอื่นทยอยขึ้นเครื่องมา มีครอบครัวอเมริกันลูกสาววัยน่ารักหัวหยิกสีทองเดินมาหยุดที่แถวเดียวกับผม พ่อนั่งอีกฝั่งของทางเดิน ลูกสาวเดินเข้ามาเบาะกลางข้างผม เธอมองหน้าผมแล้วหันไปถามแม่
เด็กน้อย : Mom ทำไมหนูไม่ได้นั่งข้างหน้าต่าง
แม่ของเด็กน้อย : เราไม่ได้จองไว้ เราจองที่นั่งตรงกลางกับริมทางเดิน เราต้องนั่งตรงตามตั๋ว
เด็กน้อย : ทำไมละ (เริ่มเบะปากเสียงสั่นเครือ) หนูต้องการที่นั่งริมหน้าต่าง หนูอยากเห็นเมฆ
ผม : (หันไปบอกแม่นาง) ผมยินดีเปลี่ยนที่นั่งได้นะ ไม่มีปัญหา
แม่ของเด็กน้อย : (ทำมือปฏิเสธ) ไม่เป็นไรคะ เธอต้องเรียนรู้
เด็กน้อย : (ทรุดนั่งที่พื้น น้ำตาไหลพรากแต่ไม่มีเสียงร้องไห้) หนูต้องนั่งริมหน้าต่างสิ เมฆรอหนูอยู่นะ
แม่ของเด็กน้อย : ไม่ได้ ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ดีๆอย่าทำให้แม่ต้องอายอย่างนี้ ลูกโตแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ใช่เบบี้ที่ยังฉี่ราดแพมเพิสอยู่
เด็กน้อย : (ยอมลุกขึ้นมานั่งแต่โดยดี)
ผม : (พยายามบอกเธออีกครั้ง) ผมเปลี่ยนที่นั่งกับสามีคุณได้เลยนะ ด้วยความยินดี
แม่ของเด็กน้อย : thank you (แล้วนางก็ยิ้มให้ พร้อมกระพริบตา แล้วหันไปทำหน้าดุใส่ลูกสาวอีกที)
เธอกำลังทำให้พ่ออายอยู่รู้ไหม ถ้าเธองอแงแบบนี้แล้วใครบนเครื่องสักคนที่รู้จักพ่อ เค้าจะมองว่าพ่อและแม่เป็นคนไม่ดี ไม่เก่ง ไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะสอนให้ลูกสาวที่กำลังโตมีความรับผิดชอบไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ถ้าพ่อกับแม่ต้องโดนคนตำหนิ เราก็จะไปทำงานที่เดิมไม่ได้ ต้องตกงาน ดังนั้นก็จะไม่มีเงินซื้อขนมที่ลูกชอบ เสื้อสวยๆที่ลูกอยากได้ เราก็จะไม่มีเงินเหลือพอที่จะซื้ออาหารให้ลูกหมาของเราได้ ต้องยกให้คนอื่นไปเลยนะ ลูกต้องการแบบนั้นใช่ไหม (ฟังแบบจับเอาใจความมานะ something like that!!!)
ลูกสาว : (นางพยักหน้ากับแม่เป็นครั้งๆไป พร้อมมองหน้าแม่และคิดตามไปทีละคำถาม มีเสียงสะอื้นเป็นครั้งคราว)
แม่ของเด็กน้อย : ถ้าอย่างนั้นลูกตัดสินใจยังไง จะร้องไห้เสียงดัง จะแย่งที่นั่งคนอื่นเค้า หรือจะเป็นเด็กสาวที่โตแล้วอย่างมีความรับผิดชอบ
ลูกสาว : (นางสะอื้นไปตอบไป) ไม่ หนูต้องการเป็นเด็กสาวที่โตและมีความรับผิดชอบและไม่ยอมให้ยกหมาให้ใครไป
แม่ของเด็กน้อย : งั้นลูกจะต้องทำอย่างไร บอกแม่สิ
ลูกสาว : หนูจะนั่งตรงนี้ และเป็นเด็กดี
แม่ของเด็กน้อย : (หันมาคุยกับผม) ขอบคุณมากในความใจดี แต่ฉันต้องสอนให้ลูกได้รับบทเรียน
ผม : เป็นการสอนลูกได้ดีมาก ผมชื่นชมครับ เดี๋ยวพอคนนิ่งแล้วผมจะเปลี่ยนที่นั่งให้นะครับ
แม่ของเด็กน้อย : ขอบคุณมาก (แล้วเธอหันไปบอกสามีที่นั่งถัดไปริมทางเดินอีกฝั่งนึง) มีคนไทยใจดีเค้าจะยอมเปลี่ยนที่ให้เรา แค่เค้าเห็นหน้าในวินาทีแรกที่ลงไปนั่งพื้น เค้าก็เอ่ยปากบอกเราเลยว่ายินดีมอบที่นั่งริมหน้าต่างให้เด็กคนนี้
(เธอหันมาบอกลูกน้อย) นี่ คนไทยใจดีคนนี้เค้ายินดีจะยกที่นั่งนี้ให้เธอนะ ต้องทำอย่างไร
ลูกสาว : ต้องกล่าวขอบคุณ (นางหันมายิ้มแก้มปริ) Thank you
แม่ของเด็กน้อย : เค้าเป็นคนไทย ยูต้องทำอย่างไร
ลูกสาว : (ยกมือขึ้นมาไหว้อย่างน่ารัก) Thank you
แม่ของเด็กน้อย : ดีมาก
จากนั้นลูกสาวก็กลายเป็นเริ่มคุยสนุกสนานหัวเราะกับแม่ ส่วนแม่ก็คุยกับผมเรื่องพนมเปญ เรื่องไทย จนเครื่องว่างจากคนเดินขึ้นเครื่อง ผมจึงลุกขึ้นเปลี่ยนที่นั่งให้ สาวตัวน้อยกล่าวขอบคุณอีกครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่น่ารัก......
เพียงแค่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติสักครอบครัวได้ความรู้สึกดีๆนี้ไปจากคนไทย ผมคิดว่าเป็นเครื่องการันตีว่าเค้าจะบินกลับมาเที่ยวบ้านเราอีกแน่นอนครับ
ช่วยกันครับ เพื่อการท่องเที่ยวของไทย และชื่อเสียงดีๆของไทย คนอเมริกันส่วนใหญ่ยังน่ารักเสมอครับ ครอบครัวนี้มาไทยปีละ 1 ครั้ง เหมือนคล้ายๆ ว่าคุณพ่อจะทำงานหรือทำธุรกิจที่กรุงเทพด้วย และจะไปต่อที่ลาว กัมพูชา หรือพม่าแล้วแต่ความสะดวกแต่ละปีครับ
ปล. ทั้งหมดเป็นการแปลโดยผมเอง ไม่ได้โอ้อวดอะไร เพราะมีความสามารถเพียงพอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้แบบไปไหนไม่อดตายนะครับ บางคำอาจไม่เข้าใจร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็เข้าใจได้ด้วยรูปประโยคและภาษากายที่ประกอบครับ บางประโยคก็ something like that!!!
ปล.ผมชื่นชมการเลี้ยงลูกของคุณแม่อเมริกันคนนี้มาก ก่อนลงเครื่อง คุณพ่ออุ้มเธอมาให้ขอบคุณผมอีกครั้งหนึ่ง น่ารักมากสาวน้อยคนนี้"
ทั้งนี้ เรื่องราวดังกล่าวมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากมาย หลายคนชื่นชมความมีน้ำใจของผู้โพสต์ และการสอนลูกที่ดีของครอบครัวชาวต่างชาติ ซึ่งชาวไทยหลายคนน่าจะนำมาปรับใช้ในการสอนลูกหลานได้
ขอขอบคุณภาพและเรื่องราวจากเฟซบุ๊กคุณเตชะ ทับทอง